ASEAN Roundup ประจำวันที่ 7-12 พฤศจิกายน 2565
ผู้นำอาเซียนรับรองถ้อยแถลง 3 ฉบับ ตกลงในหลักการติมอร์-เลสเต สมาชิกรายที่ 11
วันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 ที่กรุงพนมเปญ ผู้นำสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้รับรองถ้อยแถลงหลายฉบับในการประชุมสุดยอดที่กรุงพนมเปญ เมืองหลวงของกัมพูชา โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความร่วมมือเพิ่มเติมเพื่อการฟื้นฟูหลังการแพร่ระบาด และเพื่อจัดการกับความท้าทายที่สำคัญร่วมกันการประชุมครั้งนี้มีผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียน 9 ประเทศเข้าร่วม ส่วนเมียนมาไม่เข้าร่วม
ที่ประชุมสุดยอดครั้งที่ 40 ซึ่งมีสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาเป็นประธาน ได้รับรอง ถ้อยแถลง 3 ฉบับ ได้แก่ ถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนในโอกาสครบรอบ 55 ปีอาเซียน ถ้อยแถลงวิสัยทัศน์ผู้นำอาเซียนว่าด้วย ASEAN A.C.T: Addressing Challenges Together และถ้อยแถลงผู้นำอาเซียนว่าด้วยวาระความเชื่อมโยงของอาเซียนหลังปี 2025
ถ้อยแถลง ระบุว่า ผู้นำอาเซียนเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างหลักการของอาเซียนตามที่บัญญัติไว้ในกฎบัตรอาเซียน เพื่อสนับสนุนการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของกลุ่มให้เป็นภูมิภาคที่สงบสุข มั่นคง มีความสามารถในการปรับตัว และแข่งขันทางเศรษฐกิจได้
ผู้นำอาเซียนเห็นพ้องที่จะ “เสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในกลไกที่นำโดยอาเซียนในการส่งเสริมสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญรุ่งเรือง และสร้างสถาปัตยกรรมระดับภูมิภาคที่เปิดกว้าง โปร่งใส ครอบคลุม และยึดกฎหมายเป็นพื้นฐาน”
ถ้อยแถลงระบุว่า บรรดาผู้นำให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยผลักดันให้มีการดำเนินการตามข้อตกลงเขตการค้าเสรีของอาเซียน (FTA) อย่างมีประสิทธิภาพ และข้อตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม (CEPs) กับพันธมิตรภายนอก เช่น ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP)
นอกจากนี้ยังเห็นพ้องที่จะ “เร่งพยายามจัดการผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากโควิด-19 อย่างครอบคลุมและเพื่อพื้นฟูจากวิกฤติด้วยเป้าหมายที่จะรักษาการเติบโตอย่างทั่วถึง ความสามารถในการปรับตัว แข่งขันได้และยั่งยืน” ถ้อยแถลงระบุ
ผู้นำอาเซียนยังเรียกร้องให้ภาคีภายนอกทั้งหมดของอาเซียนแสดงให้เห็นถึงความพยายามร่วมกันเพื่อบรรลุสันติภาพ ความมั่นคง เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองในภูมิภาคผ่านกลไกและกรอบการทำงานที่นำโดยอาเซียน
บรรดาผู้นำเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความร่วมมือและความเป็นหุ้นส่วนภายในอาเซียนและกับพันธมิตรภายนอกผ่านกลไกที่นำโดยอาเซียน โดยยึดหลักการของการปรึกษาหารือและมติเอกฉันท์ ความเสมอภาค ความเป็นหุ้นส่วน และความเคารพซึ่งกันและกัน ถ้อยแถลงระบุ
นอกจากนี้ยังเห็นพ้องที่จะ “เสริมสร้างความเป็นศูนย์กลางของอาเซียนในสถาปัตยกรรมระดับภูมิภาค มุ่งสู่สันติภาพ เสถียรภาพ ความปรองดอง และความเจริญรุ่งเรือง”
ผู้นำอาเซียนยังให้คำมั่นว่าจะ “คงอาเซียนในฐานะภูมิภาคแห่งสันติภาพ เสรีภาพ เสถียรภาพและความมั่นคง ที่ซึ่งความแตกต่างและข้อพิพาทได้รับการแก้ไขโดยสันติวิธี และปราศจากอาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงอื่น ๆ”
ผู้นำเห็นพ้องกันที่จะเร่งการเปลี่ยนผ่านของอาเซียนไปสู่ภูมิภาคเศรษฐกิจที่มีการบูรณาการสูง แข่งขันได้ ยั่งยืน ทั่วถึง และมั่งคั่ง โดยส่งเสริมนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์
นอกจากนี้ ยังเห็นพ้องที่จะส่งเสริมการมีส่วนร่วมของอาเซียนในเศรษฐกิจโลก โดยใช้ข้อตกลงการค้าเสรีที่มีอยู่ของอาเซียนอย่างเต็มที่ และเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคหลังการระบาดของโควิด-19 ถ้อยแถลงระบุ
ผู้นำเห็นพ้องที่จะผลักดัน “วาระความเชื่อมโยงของอาเซียนหลังปี 2025” โดยกล่าวว่า สิ่งสำคัญคือต้องส่งเสริมแนวทางที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง การพัฒนาที่ยั่งยืน การบูรณาการระดับภูมิภาค และนโยบายที่มุ่งเน้นอนาคต รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ทนทานต่อสภาพภูมิอากาศและยั่งยืน เมืองอัจฉริยะ การเปลี่ยนโฉมทางดิจิทัล การเชื่อมโยงห่วงโซ่อุปทาน และการเติบโตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ผู้นำ “ตั้งใจแน่วแน่ที่จะส่งเสริมประชาคมอาเซียนที่เอื้ออาทรและแบ่งปัน สงบสุข มั่งคั่ง และเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้เป็นอาเซียนที่พร้อมสำหรับอนาคต” ถ้อยแถลงระบุ
ผู้นำ “เห็นพ้องว่าการพัฒนาวาระความเชื่อมโยงของอาเซียนหลังปี 2025 จะต้องดำเนินการด้วยแนวทางของประชาคมโดยรวม ในลักษณะที่ครอบคลุม ปฏิบัติได้ มีส่วนร่วม ทั่วถึง ตอบสนอง สอดคล้องกันและประสานกัน เพื่อประสานและส่งเสริมความพยายามในการเชื่อมต่อ ข้ามภาคส่วน” ถ้อยแถลงระบุ
ผู้นำยังเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคเอกชน องค์กรระหว่างประเทศและระดับภูมิภาค ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง และพันธมิตรภายนอก เพื่อสนับสนุนการดำเนินการตามแผนแม่บทเกี่ยวกับความเชื่อมโยงของอาเซียน (Master Plan on ASEAN Connectivity-MPAC) ปี 2025 และการพัฒนาวาระความเชื่อมโยงของอาเซียนหลังปี 2025
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้คณะมนตรีประสานงานอาเซียน(ASEAN Coordinating Council) ดูแลการพัฒนาวาระความเชื่อมโยงของอาเซียนหลังปี 2025 ซึ่งจะสอดคล้องกับการพัฒนาวิสัยทัศน์หลังปี 2025 ของประชาคมอาเซียน ถ้อยแถลงระบุ
อาเซียนก่อตั้งในปี 2510 สมาชิกประกอบด้วย บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม
ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 40 และการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 41 ยัง ตกลงในหลักการที่จะรับติมอร์-เลสเตเป็นสมาชิกลำดับที่ 11 ของอาเซียน โดยในขั้นแรกได้ให้สถานะผู้สังเกตการณ์แก่ติมอร์-เลสเตและอนุญาตให้ติมอร์-เลสเตเข้าร่วมการประชุมอาเซียนทั้งหมด รวมทั้งในการประชุมสุดยอด
ขั้นตอนต่อไปติมอร์-เลสเตต้องจัดทำแผนงานเพื่อเข้าเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบ และมอบหมายให้คณะมนตรีประสานงานอาเซียน (ACC) จัดทำแผนงานและรายงานต่อการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 42 และให้ประเทศสมาชิกอาเซียนและพันธมิตรภายนอกทั้งหมดสนับสนุนติมอร์-เลสเตอย่างเต็มที่ เพื่อบรรลุเป้าหมาย ด้วยการส่งเสริมขีดความสามารถ และการสนับสนุนที่จำเป็นและเกี่ยวข้องอื่นๆในการเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบในอาเซียน
ผู้นำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ยังได้เรียกร้องให้ผู้นำทหารของเมียนมาดำเนินการตามแผนสันติภาพ โดยมุ่งเป้าไปที่การหยุดการนองเลือดในประเทศที่มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนนับตั้งแต่กองทัพเข้ายึดอำนาจในการรัฐประหารเมื่อปีที่แล้ว
วิกฤตการณ์เมียนมาเป็นประเด็นสำคัญในการประชุมวันแรกของการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งนี้
ผู้นำอาเซียนไม่ให้ ผู้นำทหารของเมียนมา พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย เข้าร่วมการประชุม อันเนื่องจากความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศ และจากความไม่พอใจที่ผู้นำทหารเมียนมาไม่สนใจที่จะดำเนินการตามแผนสันติภาพ
บรรดาผู้นำของกลุ่มอาเซียนได้เห็นชอบแผนสันติภาพ “ฉันทามติ 5 ข้อ” กับผู้นำเมียนมาเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ กองทัพก็ยังเพิกเฉยต่อแผนดังกล่าว
ประธานาธิบดีโจโก วิโดโด อินโดนีเซีย กล่าวกับผู้สื่อข่าวนอกรอบการประชุมเมื่อวันศุกร์ ว่า เขาได้เสนอให้ขยายการห้ามผู้แทนทางการเมืองเมียนมาในกิจกรรมอาเซียน ซึ่งเป็นสิ่งที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนเรียกร้อง
“อินโดนีเซียผิดหวังอย่างยิ่งกับสถานการณ์ในเมียนมาที่เลวร้ายลง” วิโดโด กล่าว
เมื่อวันศุกร์ ผู้นำประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ออก “คำเตือน” ให้เมียนมาดำเนินการตามแผนสันติภาพที่วัดผลได้ มิฉะนั้นเสี่ยงที่จะถูกกันออกจากการประชุมของกลุ่ม ในขณะที่ความวุ่นวายทางสังคมและการเมืองทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศ
สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ระบุว่า หลังจาก “มีความคืบหน้าเล็กน้อย” เกี่ยวกับฉันทามติสันติภาพ 5 ข้อที่ตกลงร่วมกันเมื่อปีที่แล้ว ผู้นำได้สรุปว่าจำเป็นต้องมี “ตัวชี้วัดที่เป็นรูปธรรม ปฏิบัติได้ และวัดผลได้โดยมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน”
นอกจากนี้ อาเซียนจะทบทวนการเข้าร่วมของเมียนมาในการประชุมทุกระดับ หลังจากห้ามผู้นำทหารของเมียนมาจากการประชุมระดับสูงตั้งแต่ปีที่แล้ว ที่นั่งของเมียนมาจึงว่างในการประชุมสุดยอดที่กรุงพนมเปญเมื่อวันศุกร์
เร็ตโน มาร์ซูดี รัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งในสัปดาห์ที่แล้วชี้ว่า ต้องตำหนิรัฐบาลทหารแต่เพียงผู้เดียวสำหรับกระบวนการสันติภาพที่ล้มเหลว ได้กล่าวว่าถ้อยแถลงของวันศุกร์นั้นเป็น “สารที่มีพลังหรือเรียกได้ว่าเป็นคำเตือนถึงรัฐบาลทหาร”
กระทรวงต่างประเทศของรัฐบาลทหารออกมาคัดค้านแถลงการณ์ของอาเซียน โดยกล่าวว่าจะไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของอาเซียนที่ก่อนหน้านี้ได้วิจารณ์ว่า ไม่มีความคืบหน้าในการควบคุมการแพร่ระบาดและขัดขวางการเคลื่อนไหวต่อต้านด้วยอาวุธ
ความวุ่นวายทางการเมือง สังคม และเศรษฐกิจได้เกาะกุมเมียนมา นับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งซึ่งนำโดยออง ซาน ซูจีเมื่อปีที่แล้ว และเปิดฉากการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อผู้เห็นต่าง ซึ่งเป็นการขจัดการขับเคลื่อนไปสู่ประชาธิปไตย
อาเซียนซึ่งมีประเพณีไม่แทรกแซงกิจการอธิปไตยของสมาชิกมานาน ไม่ได้ใช้การคว่ำบาตรแบบตะวันตกต่อเมียนมาหรือขับไล่ออกจากกลุ่มที่มีสามชิก 10 ประเทศ แม้จะประณามการกระทำที่รุนแรงมากขึ้นของคณะรัฐประหาร เช่น การประหารชีวิตนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตย และการโจมตีทางอากาศที่คร่าชีวิตผู้คนไปอย่างน้อย 50 คน
นักเคลื่อนไหวบางคนกล่าวว่าการตัดสินใจของอาเซียนเมื่อวันศุกร์ยังไม่เพียงพอ
“ความจริงก็คือ อาเซียนยังไม่ได้ระงับการมีส่วนร่วมของรัฐบาลทหารผ่านระบบอาเซียนทั้งหมด แสดงถึงการขาดความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องในประเด็นนี้ และถทอเป็นการอนุญาตโดยปริยายให้รัฐบาลทหารในการก่ออาชญากรรมต่อไป” แพทริก พงศธร จากFortify Rightsกล่าว
สหรัฐฯ ถอดเวียดนามออกจากประเทศบิดเบือนค่าเงิน
เวียดนามถูกถอดออกจากการตรวจสอบและ รายชื่อประเทศที่มีการบิดเบือนค่าเงิน(monetary manipulation monitoring list)ของสหรัฐฯ จากการรายงานของธนาคารกลางเวียดนาม (State Bank of Vietnam)ธนาคารกลางกล่าวว่า การตัดสินใจดังกล่าวได้ประกาศในรายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ต่อสภาคองเกรส ว่าด้วยนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน
ก่อนหน้านี้ เวียดนามได้ผ่านเกณฑ์ทั้งสามเกณฑ์ตามที่ระบุไว้ในรายงานเดือนธันวาคม 2564 เมษายน 2564 และธันวาคม 2563 ซึ่งกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ทำการวิเคราะห์เวียดนามอย่างละเอียด
กระทรวงการคลังสหรัฐยังคงมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับ SBV เพื่อติดตามความคืบหน้าของเวียดนามในการจัดการกับข้อกังวล และยังคงพอใจกับความคืบหน้าของเวียดนาม
จากข้อมูลของ SBV ตั้งแต่ต้นปี 2564 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ได้ดำเนินการยกระดับการติดต่อระดับทวิภาคีกับเวียดนาม และบรรลุข้อตกลงทั่วไปในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อแก้ไขข้อกังวลของฝ่ายสหรัฐฯ เกี่ยวกับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสกุลเงินและอัตราแลกเปลี่ยน
ในรายงานนี้ กระทรวงการคลังสหรัฐฯยังคงรับรู้ความก้าวหน้าของเวียดนาม ในคณะผู้แทนของกระทรวงการต่างประเทศเยือนเวียดนามเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2565 ฝ่ายสหรัฐฯ ชื่นชมการบริหารนโยบายการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนของ SBV ภายใต้ความยากลำบากและความท้าทายมากมายในระบบเศรษฐกิจโลก
ในรายงาน กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ระบุคู่ค้าที่บิดเบือนค่าเงิน โดยพิจารณาจากสัญญาณของการเกินดุลการค้าทวิภาคีที่มีนัยสำคัญกับสหรัฐฯ การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีนัยสำคัญ และมีส่วนร่วมในการแทรกแซงฝ่ายเดียวอย่างต่อเนื่องในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
เวียดนามเล็งสร้างรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ
กระทรวงการวางแผนและการลงทุนและการขนส่งจะศึกษาความเป็นไปได้ใน การสร้างรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศเวียดนามเพื่อขนส่งทั้งผู้โดยสารและสินค้า
กระทรวงวางแผนกล่าวว่า รถไฟรางคู่ซึ่งออกแบบให้มีความเร็ว 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงและมีความเร็วที่ทำได้จริง 180-225 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความจำเป็น เนื่องจากรถไฟบรรทุกผู้โดยสารได้เพียง 6% และสินค้า 1.4% ในเส้นทางสายเหนือ-ใต้
เมื่อสร้างเสร็จแล้วจะเป็นตัวหลักในการขนส่งที่สามารถบรรทุกสินค้าปริมาณมาก เชื่อมศูนย์กลางเศรษฐกิจสำคัญๆ และกระตุ้นการเติบโต
กระทรวงฯเสนอให้สร้างทางรถไฟภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน และใช้เงินทุนบางส่วนจากการประมูลที่ดินใกล้สถานี 50 แห่งตลอดเส้นทาง
กลุ่มที่ปรึกษาที่ประกอบด้วยUniversity of Transport and Communications Consultancy and Construction, Evo mc ของเยอรมนี, Ove Arup & Partners Hong Kong และ Hung Phu Trading และ Construction Consultant แนะนำให้เลือกระดับความเร็วที่ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมงมากกว่า 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งสามารถขนส่งผู้โดยสารได้เท่านั้น แม้ต้นทุนการก่อสร้างจะสูงขึ้น แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เงินลงทุนคืนจากการขนส่งสินค้า โดยมูลค่าลงทุนจะอยู่ที่ 62.7-64.8 พันล้านดอลลาร์และ 58.7 พันล้านดอลลาร์ตามลำดับ
กระทรวงฯได้ศึกษาการสร้างรถไฟทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2019 เนื่องจากมีการใช้ถนนและสนามบินเพื่อขนส่งสินค้ามากเกินไป
เวียดนาม-กัมพูชากระชับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ
เวียดนามและกัมพูชาตกลงที่จะกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ โดยเฉพาะในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สถาบัน และนโยบาย
เมื่อวันพุธ(9 พ.ย.) ทั้งสองประเทศออกแถลงการณ์ร่วมภายหลังการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ ของเวียดนามเป็นเวลา 2 วัน และเป็นการเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการครั้งแรกของนายกรัฐมนตรี ฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ หลังจากเข้ารับตำแหน่ง นอกจากนี้ยังตรงกับวันครบรอบ 55 ปีของความสัมพันธ์ทางการฑูตของทั้งสองประเทศ
ในระหว่างการหารือ นายกรัฐมนตรีฝ่าม มิงห์ จิ๋งห์ และสมเด็จ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชายินดีกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของทั้งสองฝ่ายในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ ตลอดจนในการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19
ผู้นำสองประเทศเห็นพ้องที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์ทวิภาคีต่อไปภายใต้คำขวัญที่ว่า ‘เพื่อนบ้านที่ดี มิตรภาพดั้งเดิม ความร่วมมือที่ครอบคลุม และความยั่งยืนในระยะยาว’‘good neighborliness, traditional friendship, comprehensive cooperation and long-term sustainability’
นอกจากนี้ยังชื่นชมความสำเร็จของการจัดกิจกรรมที่มีความหมายอย่างมากในช่วงปีแห่งมิตรภาพกัมพูชา-เวียดนาม ในปี 2565
ทั้งสองฝ่ายมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สนับสนุนซึ่งกันและกันในการสร้างเศรษฐกิจที่เป็นอิสระและพึ่งพาตนเอง ในขณะเดียวกันก็ต้องให้มีการบูรณาการระหว่างประเทศในวงกว้างและมีประสิทธิภาพ
โดยต้องส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างสองประเทศในด้านโครงสร้างพื้นฐาน สถาบัน และนโยบาย ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมให้เสร็จสิ้นก่อนกำหนดของแผนแม่บทเพื่อเชื่อมโยงเศรษฐกิจเวียดนาม – กัมพูชาภายในปี 2030 แถลงร่วมเน้นย้ำ
ทั้งสองฝ่ายแสดงความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและอำนวยความสะดวกด้านการค้าทวิภาคีต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าชายแดน ผ่านการดำเนินการตามข้อตกลงที่ลงนามใหม่ว่าด้วยการค้าชายแดน และบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการพัฒนาและเชื่อมโยงโครงสร้างพื้นฐานการค้าชายแดนอย่างมีประสิทธิภาพ
ในด้านความร่วมมือด้านการป้องกันและความมั่นคง ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะเสริมสร้างความร่วมมือในหลักการที่จะไม่ยอมให้กองกำลังที่เป็นศัตรูใช้อาณาเขตของทั้งสองประเทศเป็นภัยต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของแต่ละประเทศ
โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือในการคุ้มครองทางกงสุลในการจัดการกับอาชญากรรมข้ามพรมแดน เช่น การค้ามนุษย์และยาเสพติด ตลอดจนการปกป้องความมั่นคงทางไซเบอร์
ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะส่งเสริมและปรับปรุงประสิทธิภาพของความร่วมมือในด้านอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น กฎหมายและตุลาการ แรงงานและสังคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร พลังงานทดแทน เกษตรกรรมอัจฉริยะ การศึกษาและการฝึกอบรม การดูแลสุขภาพ วัฒนธรรม ท่องเที่ยว กีฬา และการคมนาคมขนส่ง เป็นต้น
ทั้งสงประเทศให้ความยินยอมที่จะส่งเสริมความร่วมมือและการประสานงานอย่างใกล้ชิดและมีประสิทธิภาพภายในกรอบพหุภาคี เช่น สหประชาชาติและอาเซียนเพื่อจัดการกับความท้าทายระดับโลกและระดับภูมิภาค
เมียนมาคิดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นศูนย์
กระทรวงการวางแผนและการคลัง ประกาศว่า รถยนต์ไฟฟ้า (EVs) จะมีอัตราภาษีศุลกากรเป็นศูนย์เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้ EV และยกระดับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อัตราภาษีของรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ (BEV) ที่นำเข้าภายใต้ Completely Built Up (CBU หรือรถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศ และนำเข้ามาทั้งคัน), Completely Knocked Down (CKD หรือรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ ไม่ว่าอะไหล่ที่นำมาประกอบจะเป็นอะไหล่นำเข้าหรืออะไหล่ที่ผลิตในประเทศ) และ Semi-Knocked Down (SKD หรือ บางส่วนมีการประกอบมาจากต่างประเทศแล้ว แล้วนำเข้ามาประกอบให้เต็มคันในประเทศ ) ในภาษีศุลกากรของเมียนมา ปี 2565 ลดลงเหลือ 0% จากการพิจารณาของรัฐบาล
โดยประเภทของ BEV ได้แก่ รถลากสำหรับรถกึ่งพ่วง รถประจำทางหรือรถตู้สำหรับขนส่งคนตั้งแต่สิบคนขึ้นไป รวมทั้งผู้ขับขี่ รถบรรทุก ยานยนต์สำหรับใช้ส่วนตัว รถยนต์สามล้อสำหรับขนส่งบุคคล ยานพาหนะสามล้อสำหรับ การขนส่งสินค้า รถจักรยานยนต์ไฟฟ้า รถจักรยานไฟฟ้า รถพยาบาล รถตู้เรือนจำ และรถบรรทุก
ตามประกาศคำสั่งนี้ การนำเข้าชิ้นส่วนอะไหล่ (เช่น อุปกรณ์สถานีชาร์จและอุปกรณ์) โดยคำแนะนำของกระทรวงการไฟฟ้าและชิ้นส่วนอะไหล่ ตามที่เสนอโดยกรมอุตสาหกรรม สามารถทำได้ในระหว่างวันที่ 2 พฤศจิกายน 2022 ถึง 31 มีนาคม 2023
ปัจจุบัน รถยนต์ไฟฟ้าของจีนกำลังเตรียมเข้าสู่ตลาดรถยนต์ในเมียนมา เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม Hozon Auto Company ได้ลงนามในข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Grand Sirius Limited (GSE) เพื่อทำการตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ตามข้อตกลง Hozon Auto จะนำแบรนด์ Neta U และ Neta V เข้าสู่ตลาดรถยนต์ของเมียนมาด้วยมาตรฐานสากลสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า
Hozon Auto ได้ลงทุนในอิสราเอล ลาว และเนปาล
ในขณะเดียวกัน Dongfeng Motor Myanmar วางแผนที่จะนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ BYD ที่ผลิตในประเทศจีนในช่วงปลายปี 2565 โดยได้รับอนุญาตให้นำเข้ารถยนต์ไฟฟ้ายี่ห้อ BYD แล้ว
โดยมีแผนจะนำเข้าภายในสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มจำหน่ายได้ในช่วงต้นปี 2566
กระทรวงพลังงานไฟฟ้าออกแถลงการณ์เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม ว่า จะมีการก่อสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้า 5 แห่งบนทางด่วนย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์เป็นโครงการนำร่อง แต่ละสถานีชาร์จสามารถชาร์จรถEVs ได้ 50 คัน และจะดำเนินการให้สถานีชาร์จชาร์จไฟฟ้าบริการได้สูงสุด 250 คัน กระทรวงฯระบุ
กัมพูชาจ้างจีนสร้างทางด่วนสายที่สอง
นายสุ่น จันทอล รัฐมนตรีกระทรวงโยธาธิการและการขนส่ง เปิดเผยว่า โครงการทางด่วนแห่งที่ 2 ของกัมพูชา ซึ่งจะวิ่งจากกรุงพนมเปญไปยังเมืองบาเวตในจังหวัดสวายเรียงที่ชายแดนติดกับเวียดนาม มีมูลค่าประมาณกว่า 1.6 พันล้านดอลลาร์
สัญญาการก่อสร้างได้มีการลงนามเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน ระหว่างกระทรวงกับ China Road and Bridge Corporation (CRBC) ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกันที่อยู่เบื้องหลังทางด่วนสายเมืองหลวง-สีหนุวิลล์ โดยมีนายจันทอลเป็นประธานในพิธี
นายจันทอลกล่าวว่า ทางด่วนพนมเปญ-บาเวตจะเริ่มก่อสร้างในปี 2566 และจะแล้วเสร็จในปลายปี 2569 หรือต้นปี 2570 ด้วยมูลค่าประมาณ 1.638 พันล้านดอลลาร์
“ทางด่วนจะมีความยาว 138 กิโลเมตร พร้อมสร้างสะพานยาว 1 แห่ง และทางเบี่ยงรวม 5 กิโลเมตร ค่าใช้จ่ายโดยประมาณนั้นน้อยกว่าทางด่วนสายพนมเปญ-สีหนุวิลล์เพียงเล็กน้อย แม้ว่าระยะทางจะสั้นกว่าก็ตาม”
นายจันทอลกล่าวอีกว่า การก่อสร้างทางด่วนพนมเปญ-บาเวต จะดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้างทางด่วนในเวียดนามจากโฮจิมินห์ซิตี้ไปยังม็อก บ่าย
เมื่อทางด่วนทั้งสองเสร็จแล้ว ก็จะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงจีน เมียนมา ไทย กัมพูชา และเวียดนามผ่านทางหลวงสายเอเชียสายใหม่ 1 (AH1)
“ทางด่วนในเวียดนามจะวิ่งไปตามถนนหมายเลข 22 ที่เชื่อมต่อกับทางด่วนของเราที่หลักกิโลเมตรที่ 164 เราจะจัดทำแผนเป็นลายลักษณ์อักษรพร้อมทั้งเตรียมแผนที่ของทางด่วน”
นายจันทอลกล่าวว่ากัมพูชา กำลังขยายทางหลวงเอเชีย AH1 จากสองเลนแต่ละข้างเป็นสี่เลน ทางหลวงจะวิ่งจากปอยเปตไปยังพนมเปญ จากนั้นต่อไปยังบาเวตเพื่อเชื่อมต่อกับทางหลวง และอำนวยความสะดวกในการส่งออกและขนส่งผู้โดยสารไปและกลับจากจีนและเวียดนาม
ทางด่วนพนมเปญ-สีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นทางด่วนสายแรกในกัมพูชา ได้มีการใช้ในปริมาณมาก เนื่องจากทำให้สามารถเดินทางไปถึงจังหวัดสีหนุวิลล์ที่เป็นเมืองชายทะเลได้ในเวลาเพียงสองชั่วโมง เมื่อเทียบกับห้าชั่วโมงกับการเดินทางบนถนนทางหลวงเส้นเดิมก่อนหน้านี้ โดยมีรถยนต์มากกว่า 440,000 คันในช่วงเดือนแรกที่เปิดให้ใช้ฟรีในเดือนตุลาคม
ในช่วง 9 วันแรกของเดือนพฤศจิกายน มีการเรียกเก็บค่าผ่านทางในอัตราส่วนลด 20% ซึ่งมีรถยนต์มากกว่า 100,000 คันใช้ทางด่วน เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของเดือนตุลาคม