ThaiPublica > คอลัมน์ > อเมริกาขาลง?

อเมริกาขาลง?

26 พฤษภาคม 2022


ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต

สหรัฐอเมริกานั้นได้ชื่อว่าเป็นผู้นำของระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยของโลก เป็นประเทศที่ประสบความสำเร็จเชิงการปกครอง เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่คณะผู้ก่อตั้งได้ออกแบบมาแล้วเป็นอย่างดี รัดกุม เป็นรัฐธรรมนูญที่ลงในรายละเอียดของธรรมชาติของมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพต่างๆ มีระบบการแบ่งสายการปกครองเป็นฝ่ายบริหาร ตุลาการ และนิติบัญญัติอย่างสมดุล มีการตรวจสอบถ่วงดุลในตนเอง ไม่ยึดติดในบุคคลใดๆ ไม่มีศาสนาประจำชาติ แบ่งแยกระหว่างศาสนากับการเมืองอย่างชัดเจน และยังเปิดช่องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้อีกด้วย จนถึงปัจจุบันได้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแล้ว 33 ครั้ง เคยมีสงครามประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ และสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง

สหรัฐอเมริกาได้ขยายอาณาเขตจากเดิม 13 รัฐที่ทำสงครามกับอังกฤษ จนกระทั่งมีอยู่ถึง 50 รัฐ แต่ละมลรัฐมีสิทธิเท่ากันและมีวุฒิสมาชิกได้ 2 คนเท่ากัน วาระของวุฒิสมาชิกวาระละ 6 ปี ส.ส. ในสภาผู้แทนมีสมาชิกซึ่งเลือกจากประชาชน 1:700,000 คน ส.ส. แต่ละคนมีวาระคนละ 2 ปี ส่วนประธานาธิบดีวาระละ 4 ปี แต่ผู้พิพากษาฎีกามีวาระตลอดชีวิต วาระต่างๆ ถูกออกแบบให้เป็นระบอบการปกครองที่มีดุลอำนาจในตรวจสอบในตัวเอง ปัจจัยหลายประการที่ทำให้อเมริกาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เช่นการได้รับทรัพยากรบุคคลที่มาจากวัฒนธรรมที่หลากหลาย การค้นพบทรัพยากรธรรมชาติมากมาย ทั้งเหล็ก ถ่านหิน น้ำมัน ปาไม้ ทองคำ ฯลฯ และที่สำคัญที่สุดคือการคุ้มครองสิทธิบัตรของนวัตกรรมทุกชนิด ซึ่งยังผลให้อเมริกาเป็น “โลกใหม่” ดินแดนใหม่แห่งความฝันของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างเศรษฐกิจของตนเอง ผู้นำอเมริกาแต่ละคนจะบอกชาวอเมริกันให้ไปให้ถึงความฝันของอเมริกัน (American Dream) ซึ่งหมายถึงการสร้างความร่ำรวยทางวัตถุให้มากที่สุด ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุด

อเมริกาจึงเป็นดินแดนแห่งการแข่งขันในทุกมิติ ในขณะที่ชาวอเมริกันเห็นว่ายุโรปเป็นจุดเริ่มต้นของอาระยะธรรมของตน นักคิดสำคัญๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป แต่ความคิดเหล่านั้นไม่อาจเจริญเติบโตได้ ต้องมาโตในอเมริกา ระบบทุนนิยมได้รับการพัฒนาที่นี่ ตลาดหลักทรัพย์เกิดขึ้นที่นี่ไม่ว่าจะเป็น Down Jones Standard & Poor หรือ NASDAQ คุมเศรษฐกิจและการเงินการธนาคารทั่วโลก

แต่อเมริกาเองเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาการเหยียดผิว เป็นดินแดนที่คนผิวขาวถือว่าคนที่ผิวขาวเท่านั้นที่เป็นคนชั้นปกครอง และมีการเลือกปฏิบัติต่อคนผิวสีอื่นๆ เช่น คนผิวดำ คนเอเชีย คนจีน เป็นต้น การเลือกปฏิบัติของคนผิวขาวที่มาจากอังกฤษหรือยุโรปตะวันตกต่อคนผิวดำ อเมริกาใต้ หรือเอเชียนั้นเกิดขึ้นเป็นปกติ โดยเฉพาะเมื่อเกิดวิกฤติทางสังคม เช่น คนผิวเหลือชาวเอเชียถูกกลั่นแกล้งเมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือชาวอาหรับถูกกลั่นแกล้งหลังเหตุการณ์ 9/11 เป็นต้น

พ.ศ. 2433 สหรัฐอเมริกาได้แซงหน้าจักรวรรดิอังกฤษในฐานะเศรษฐกิจที่มีประสิทธิผลมากที่สุดในโลก เป็นผู้ผลิตปิโตรเลียมและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดของโลก ในปี พ.ศ. 2559 อเมริกาเป็นประเทศการค้าที่ใหญ่ที่สุดในโลก และผู้ผลิตรายใหญ่อันดับสามของประเทศ ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 5 ของผลผลิตภาคการผลิตทั่วโลก สหรัฐอเมริกาไม่เพียงแต่มีตลาดภายในที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าเท่านั้น แต่ยังครอบงำการค้าบริการอีกด้วย การค้าทั้งหมดของสหรัฐ มีมูลค่า 4.2 ล้านล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2561 จาก 500 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก 121 แห่งมีสำนักงานใหญ่ในสหรัฐอเมริกา

ทุกวันนี้สหรัฐอเมริกามีจำนวนมหาเศรษฐีมากที่สุดในโลก ด้วยความมั่งคั่งรวม 3.0 ล้านล้านดอลลาร์ ธนาคารพาณิชย์ของสหรัฐมีทรัพย์สิน 20 ล้านล้านดอลลาร์ ณ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2563 สินทรัพย์ภายใต้การบริหารของ US Global ระบุว่ามีสินทรัพย์มากกว่า 30 ล้านล้านดอลลาร์

ตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กและ NASDAQ เป็นตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกตามมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดและปริมาณการค้า การลงทุนจากต่างประเทศในสหรัฐ มีมูลค่ารวมเกือบ 4.0 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่การลงทุนของสหรัฐฯ ในต่างประเทศมีมูลค่ารวมกว่า 5.6 ล้านล้านดอลลาร์ เศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในอันดับที่ 1 ในระดับนานาชาติในด้านเงินร่วมลงทุน และเงินทุนด้านการวิจัยและพัฒนาระดับโลก การใช้จ่ายของผู้บริโภคคิดเป็น 68% ของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2561 ในขณะที่ส่วนแบ่งรายได้แรงงานอยู่ที่ 43% ในปี พ.ศ. 2560 สหรัฐอเมริกามีตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตลาดแรงงานของประเทศดึงดูดผู้อพยพจากทั่วทุกมุมโลกและอัตราการย้ายถิ่นสุทธินั้นสูงที่สุดในโลก สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการศึกษา เช่น ดัชนีความง่ายในการทำธุรกิจ รายงานความสามารถในการแข่งขันทั่วโลก และอื่นๆ

หากพิจารณาสหรัฐอเมริกาโดยรวม ตั้งแต่ในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาได้ก่อกำเนิดขึ้นเป็นประเทศ เริ่มจากการรุกรานชนเผ่าพื้นเมือง นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชนพื้นเมืองเหล่านั้นเพื่อการเข้ายึดครองพื้นแผ่นดิน ตักตวงเบียดบังทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ จนทำให้ชนเผ่าเหล่านี้แทบจะไม่มีแผ่นดินของตนเอง แม้การประกาศอิสรภาพจากการเป็นอาณานิคมของจักรวรรดินิยมอังกฤษคนอเมริกันก็ต้องต่อสู้ทำสงครามจึงได้สันติภาพและเอกราชจากอังกฤษมา และแม้การเลิกทาส อเมริกาก็แลกมาด้วยเลือดเนื้อคนชาติเดียวกันที่ต้องล้มตายรวมถึง 618,222 คน

แม้ในศตวรรษที่ 20 สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำสัมพันธมิตรต่อสู้กับฝ่ายอักษะในยุโรปและเอเชีย เป็นชาติแรกที่ค้นพบระเบิดปรมาณูและอาวุธอำนาจทำลายล้างสูง ในระหว่างสงครามเย็นอเมริกามีชัยชนะเหนือสหภาพโซเวียดอย่างราบคาบ โดยการรื้อถอนของกำแพงเบอร์ลิน และการล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2534 ทำให้สหรัฐอเมริกาเป็นอภิมหาอำนาจ และเป็นขั้วอำนาจเดียวเดียวของโลก อเมริกาควบคุมการธนาคารของโลก เป็นผู้ริเริ่มการตั้งธนาคารโลก (World Bank) และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติ (United Nation) มีฐานทัพที่กระจายอยู่ทั่วโลกถึง 5,000 แห่ง

สำนึกที่ว่า “สหรัฐอเมริกาเติบโตขึ้นมาได้โดยการเอาชนะคู่แข่ง” ทำให้ผู้นำสหรัฐฯ ยังคงหลงอยู่ในยุคสงครามเย็น เห็นว่า “จีน” และ “รัสเซีย” คือ “ศัตรู” ซึ่ง “ตนต้องเอาชนะให้ได้”

โดยเฉพาะประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งประกาศว่า…

“จีนจะขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดนั้นจะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน”

ในขณะที่จีนไม่ได้คิดเช่นนั้น แม้ประธานเหม๋า เจ๋อตุง หรือ เติ้ง เสี่ยวผิง ก็ไม่เคยเห็นอเมริกาเป็นศัตรู แต่ผู้นำของอเมริกาเห็นว่า “คอมมิวนิสต์” เป็นภัยของชาติและของโลก และโลกจะเจริญขึ้นมาได้เพราะระบอบการปกครอง “เสรีประชาธิปไตย” เท่านั้น ความปรองดองกับจีนจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย

ในยุคใหม่นี้ ลางร้ายหลายประการเกิดขึ้นกับสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ยุคประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ เช่น การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งในปัจจุบันทำให้คนอเมริกันเสียชีวิตไปแล้วกว่า 1 ล้านคน

ลางร้ายต่อมากคือการไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของประธานาธิบดีทรัมป์ จนนำไปสู่การจลาจลในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2564 ที่รัฐสภาในกรุงวอชิงตันดี.ซี. ซึ่งผู้ที่ศรัทธาในตัวอดีตประธานาธิบดีทรัมป์หลายพันคนบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภา ทำลายข้าวของเป็นเหตุให้มีคนเสียชีวิตถึง 5 คน เจ้าหน้าที่ตำรวจฆ่าตัวตายอีก 4 คน และ 837 คนหรือกว่านั้นถูกจับดำเนินคดีอาญา ผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นชาวอเมริกันผิวขาวทั้งหมดมีความเชื่อว่าพรรคเดโมแครตโกงการเลือกตั้งครั้งนี้ และประธานาธิบดีโดนัล ทรัมป์ ถูกปล้นชัยชนะ

แม้ว่าทนายความของทรัมป์ได้ดาหน้ากันยื่นฟ้องต่อศาลในหลายรัฐว่าถูกโกงเลือกตั้ง แต่กระนั้น ศาลแต่ละรัฐยังคงยืนกรานทุกครั้งว่า “ไม่พบหลักฐานใดๆ ว่ามีการโกงเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา” แม้จนถึงทุกวันนี้ 30% ของสมาชิกพรรครีพับลิกัน (12 ล้านคนโดยประมาณจากจำนวนสมาชิกพรรคทั้งหมด 36 ล้านคน) ยังเชื่ออย่างมั่นคงว่า “ทรัมป์ถูกโกงเลือกตั้ง” และนายโจ ไบเดน ปล้นชัยชนะของทรัมป์ไป การแบ่งขั้วนั้นชัดเจนในสังคมอเมริกามากกว่าทุกยุคทุกสมัย จนเป็นที่กล่าวถึงอเมริกายุคนี้ว่าเป็น The Divided State of America ไปเสียแล้ว

ลางร้ายอีกประการหนึ่งคือการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2564 ซึ่งเร็วกว่ากำหนดการเดิมเกือบครึ่งเดือน ไม่มีการร่ำลาผู้นำประเทศ นายทหาร หรือประชาชนชาวอัฟกันใดๆ ทั้งสิ้น เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดภาพแห่งความสยดสยองเมื่อชาวอัฟกันจำนวนมากกรูกันเข้าไปขึ้นเครื่องบินทหารซึ่งกำลังทะยานขึ้นสู่อากาศ หลายคนตกลงมาเสียชีวิต เป็นภาพที่ทำให้ชาวอเมริกันเกิดความอับอายและไม่พอใจการบริหารของประธานาธิบดีคนนี้อย่างมาก

ลางร้ายอีกประการหนึ่งคือ ชาวอเมริกันที่มีความคิดสุดโต่งทางการเมือง ขณะนี้ได้รวมตัวกันสะสมอาวุธและตั้งกองกำลังติดอาวุธของตนเอง พร้อมที่จะก่อการใหญ่ด้วยความเชื่อมั่นว่าระบอบการปกครองของประเทศอันยิ่งใหญ่ของตนนั้นถูกคนผิวสีชาวต่างชาติ พวกที่มีเพศสภาพผิดธรรมชาติทั้งหลายเข้ายึดครองไปเสียแล้ว ทางรอดเดียวคือการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจการปกครองคืนมา เมื่อเป็นเช่นนี้ ชาวอเมริกันผิวดำก็รวมตัวกันฝึกอาวุธเพื่อต่อต้านคนผิวขาวที่สุดโต่งเหล่านั้นเช่นกัน

สถานการณ์นั้นตึงเครียดเพิ่มขึ้นทุกวัน รอที่จะปะทุกันเป็นสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ นักการเมืองในรัฐเทกซัสบางคนจึงประกาศให้รัฐถอนตัวจากการเป็นส่วนหนึ่งของสหรัฐอเมริกาก็มี หากเกิดขึ้นจริง ก็จะนำมาสู่สงครามครั้งใหญ่ในประเทศก็เป็นได้

ปัญหาทางสังคมในอเมริกาไม่น่าที่จะรุนแรงขนาดนี้หากมีการควบคุมอาวุธปืน แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญที่แก้ไขครั้งที่สองนั้นให้สิทธิในการครอบครองอาวุธได้อย่างถูกกฎหมาย (Second Amendment) อาวุธปืนและเครื่องกระสุนจึงหาง่ายในอเมริกา โดยเฉพาะในขณะนี้ผู้ซื้อสามารถใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ พิมพ์ปืนของตนเองออกมาได้ ไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ร้านจำหน่ายอาวุธอีกต่อไป หรือที่เรียกกันว่า ghost guns

ปัจจุบันมีปืนขนาดเล็ก(Small arms) ที่ซื้ออย่างถูกต้องในสหรัฐถึง 393.3 ล้านกระบอก หรือ 120 กระบอกต่อประชากร 100 คน
ในปี พ.ศ. 2564 การสำรวจประชาชนพบว่า 30% ของคนอเมริกันยอมรับว่าตนเองมีปืนในครอบครองอย่างน้อยหนึ่งกระบอก ในปีพ.ศ. 2563 คนอเมริกันตายจากอาวุธปืนถึง 45,000 คน ในขณะที่อุบัติเหตุทางรถยนต์สังหารคนอเมริกันในปีเดียวกัน 38,824 คน เหตุการณ์กราดยิงครูและนักเรียนในโรงเรียนชั้นประถมในรัฐเทกซัสเมื่อวันที่ 25 เดือนนี้ย่อมไม่เป็นความรุนแรงครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอนผู้ว่าการรัฐเพิ่งออกกฎหมายให้ประชาชนสามารถซื้อปืนได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม

เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2565 วัยรุ่นชายได้กราดยิงในโรงเรียนประถมศึกษาร็อบบ์ (Robb Elementary School) ที่เมืองอูวัลเด (Uvalde) รัฐเท็กซัส มีเด็กและครูเสียชีวิตกว่า 20 คน ที่มาภาพ : https://en.as.com/latest_news/more-children-have-died-in-school-shootings-in-2022

ระบอบการปกครองแบบทุนนิยมเสรีนั้น (liberal capitalism) ได้สร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นอย่างมากในอเมริกา ในขณะที่คนร่ำรวยกลุ่มหนึ่งมีเงินทองนับพันล้านเหรียญมากที่สุดในโลก คือมีจำนวนถึง 724 คน (จีน 698) อเมริกันที่ไร้บ้านมีจำนวนถึง 552,830 คน กระจายกันอยู่ตามเมืองใหญ่ๆ คนเหล่านี้ไม่มีงานทำหรือมีชีวิตอยู่ด้วยการบริจาคจากหน่วยงานการกุศล วัดหรือองค์กรทางศาสนา 38% ของคนไร้บ้านเหล่านี้ติดเหล้าหรือยาเสพติดและไม่มีงานทำ เป็นปัญหาสังคมที่ยังแก้ไม่ตก ความเหลื่อมล้ำนี้ปะทุออกมาเป็นการปล้นสะดมร้านค้าต่างๆ ที่อยู่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น ในเมืองซานฟารานซิสโก เวลาพลบค่ำไม่มีผู้ใดกล้าออกจากบ้านเพราะโจรเหล่านี้ออกปล้นสะดม โดยมีการรวมกลุ่มกันโดยใช้เฟซบุ๊ก เป็นอีกปัญหาหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนียที่ทางการยังแก้ไขไม่ตก

นักวิชาการหลายคนในอเมริกาจึงเกิดแนวคิดว่าระบอบประชาธิปไตยแบบทุนนิยมเสรีนี้ไม่อาจแก้ไขปัญหาของประเทศได้ ระบอบสังคมนิยมน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดของประเทศ แนวคิดนี้อันที่จริงเกิดขึ้นมาในอเมริกาเมื่อ 120 ปีมาแล้ว แต่เกิดในหมู่นักคิดทางการเมืองและไม่ได้รับความนิยมเท่าใดนัก โดยเฉพาะในยุคสงครามเย็น ซึ่งเป็นยุคที่ใครเป็นคอมมิวนิสต์จะถูกสอบสวนและจับกุมในข้อหาว่าเป็นสายลับของสหภาพโซเวียต ส่วนในปัจจุบัน กระบวนการสังคมนิยมในอเมริกาเริ่มได้รับความนิยมและมีคนเห็นด้วยมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง คนหนุ่มสาวเหล่านี้ปรารถนาที่จะเห็น “รัฐสวัสดิการ” แบบในฝรั่งเศส เดนมาร์ก และประเทศในยุโรป แต่แนวคิดสังคมนิยมนี้เป็นที่เกลียดชังของสมาชิกพรรครีพับลิกัน เพราะ “รัฐสวัสดิการหมายถึงการเก็บภาษีสูงขึ้นมาก” นั่นเอง

เมื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินมีปัญหา เศรษฐีชาวอเมริกันจึงทยอยกันไปตั้งรกรากในประเทศที่สอง โดยการโยกเงินไปลงทุน หรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศนั้นๆ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในยุโรป หลายประเทศเปิดทางให้คนร่ำรวยเหล่านี้เข้าไปตั้งรกรากอยู่ได้ เป็นการซื้อหนังสือเดินทางฉบับที่สอง บางประเทศเพียงจ่ายเงินซื้อก็จะได้หนังสือเดินทางเลย

ประเทศที่ผู้มีอันจะกินชาวอเมริกันนิยมมากที่สุดคือโปรตุเกส เนื่องจากเปิดช่องให้ชาวอเมริกันเข้าไปมากที่สุด ไม่ต้องมีกรีนการ์ดแบบของอเมริกัน หากมีเงินถึงแต่หนังสือเดินทางหมดอายุก็ขออยู่ต่อได้ไม่ต้องเสียค่าปรับ และยังมีสิทธิ์เดินทางเข้าไปประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปอีกด้วย

สงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่เกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้ ทำให้โจ ไบเดน ทุ่มงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อถล่มรัสเซีย มีจำนวนรวมกันถึง 53 พันล้านเหรียญในเวลาเพียง 3 เดือน มากยิ่งกว่างบประมาณที่ใช้ในสงครามในอิรัก อัฟกานิสถาน และเวียดนามรวมกัน

ยังไม่รวมถึงการคว่ำบาตรน้ำมันและสินค้าทุกประเภทจากรัสเซียเพื่อทำให้เศรษฐกิจของรัสเซียอยู่ไม่ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับทำให้เงินรูเบิลของรัสเซียราคาสูงขึ้น น้ำมันและก๊าซธรรมชาติของรัสเซียขาดดีขึ้น ในขณะที่เงินเฟ้อในอเมริกาเพิ่มขึ้น 17% ค่าเงินตกต่ำ ตลาดหุ้นตกต่ำ ค่าอาหารแพง เกิดภาวะเชื้อเพลิงแพง สินค้าทุกประเภทขึ้นราคา โดยเฉพาะนมผงสำหรับเด็กหาซื้อไม่ได้เพราะหมดแผงทั่วประเทศ จนรัฐบาลกลางต้องประกาศขึ้นภาษี แต่กระนั้นก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายในการซื้ออาวุธสงครามเพื่อส่งไปให้ยูเครน จึงต้องขอเศรษฐีทั้งหลายบริจาคภาษีเพิ่มให้รัฐ (เป็นการขอเอาดื้อๆ) ไม่เคยมียุคใดที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจนี้ต้องออกมาประกาศในลักษณะนี้เลย

แม้สหภาพยุโรปจะมีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะร่วมกับอเมริกาคว่ำบาตรรัสเซีย แต่กระนั้นยุโรปก็ยังไม่อาจกระทำได้ตามที่โจ ไบเดน สั่ง กลับต้องซื้อพลังงานที่แพงขึ้น และซื้อด้วยเงินรูเบิล ไม่ใช่เงินเหรียญสหรัฐอีกต่อไป ครั้นอเมริกาหันไปบอกอินเดียไม่ให้ซื้อน้ำมันจากรัสเซีย อินเดียก็ปฏิเสธหน้าตาเฉย ด้วยคำตอบที่ว่า “ยุโรปซื้อน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียวันเดียวปริมาณเท่ากับที่อินเดียซื้อทั้งเดือน” และอเมริกาน่าจะไปสนใจห้ามยุโรปมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นอินเดียไม่จำเป็นต้องซื้อด้วยเงินเหรียญสหรัฐอีกต่อไป แต่ซื้อด้วยเงินรูปีและด้วยราคาพิเศษถูกกว่าราคาตลาด 27%

ที่มาภาพ : https://www.illustrateddailynews.com/strong-economic-framework-crucial-for-peaceful-and-stable-indo-pacific/

ครั้นเมื่อโจ ไบเดน โทรศัพท์ไปคุยกับประธานาธิบดีประเทศเวเนซุเอลาเพื่อขอซื้อน้ำมัน ปรากฏว่าเวเนซุเอลายินดีจะขายให้แต่ไม่อาจขายให้ได้ เพราะถูกอเมริกาคว่ำบาตรมานานจนทำให้ระบบขนส่งน้ำมันทำงานไม่ได้ แม้เมื่อโจ ไบเดนโทรศัพท์ไปหามกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย เพื่อขอซื้อน้ำมัน เจ้าชายพระองค์นี้ก็ไม่ยอมรับสายเสียดื้อๆ เพราะครั้งหนึ่งโจไบเดนเคยไปประณามระหว่างหาเสียงเลือกตั้งของตนว่ามกุฎราชกุมารพระองค์นี้เป็น “ฆาตกร” ครั้นจะไปขอซื้อน้ำมันจากอิหร่านก็ทำไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะอยู่ระหว่างอเมริกาคว่ำบาตร ผู้นำอิหร่านยังถือว่าอเมริกาคือผู้ไม่หวังดี

สหรัฐอเมริกาในยุคของโจ ไบเดน จึงอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่ลงทุกขณะ เพราะนโยบายระหว่างประเทศที่ยัง “หลงอยู่ในยุคสงครามเย็น” เงินดอลลาร์กำลังราคาถูกลงไปเรื่อยๆ และไม่ได้เป็นสื่อกลางการซื้อขายระหว่างประเทศที่มีความขลังเหมือนก่อน อิทธิพลที่ตนเองเคยมีต่อมิตรประเทศใน NATO และสหภาพยุโรปกำลังเสื่อมถอยลง ประธานาธิบดีมาครองของฝรั่งเศสยังได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะนำยุโรปออกจากอำนาจการบังคับบัญชาของอเมริกา และไม่เห็นด้วยกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะยุติสงครามในยูเครนด้วยการเอาชนะรัสเซียทางการทหาร แต่ต้องใช้การทูตและพยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ผู้นำรัสเซียเสียหน้า

การบีบให้นายกรัฐมนตรีอินเดียทำตามนโยบายของตนนั้น ไบเดนก็ไม่สามารถทำได้อีกเช่นกัน ความขัดใจของโจ ไบเดน นี้เห็นได้ชัดจากการให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า “ประชาธิปไตยของอินเดียมีปัญหา” ประโยคนี้ทำให้ชาวอินเดียไม่พอใจอย่างมาก การใช้อำนาจของประเทศจตุมิตร (QUAD) เล่นงานจีนจึงเป็นไปได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของออสเตรเลีย ซึ่งมาจากพรรคแรงงาน มีความเห็นใจปัญหาปากท้องของประชาชน จะยอมต่อกรกับจีนเหมือนพรรคอนุรักษนิยมยิ่งเป็นไปได้ยากเช่นกัน โจ ไบเดน จึงมีอำนาจสั่งการนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ลำพังเท่านั้น โพลล่าสุดของสำนักต่างๆ ในอเมริการะบุว่าชาวอเมริกันยอมรับโจ ไบเดน ลดลงเหลือเพียง 42% เท่านั้น (ในช่วงเวลาเดียวกัน ทรัมป์ได้ 45%) ซึ่งต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ผู้นำสหรัฐฯ และเชื่อกันว่าพรรคเดโมแครตจะสูญเสียที่นั่งจำนวนมากในการเลือกตั้งกลางเทอมปลายปีนี้

เป็นความจริงที่สหรัฐอเมริกาคืออภิมหาอำนาจของโลก แต่ความจริงนี้กำลังถูกท้าทายจากชาวโลก เพราะนโยบายการต่างประเทศที่ผิดพลาด เป็นนโยบายที่ทำลายมิตรและก่อศัตรู เพราะคุ้นชินกับการทำสงครามมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศ

ความเสื่อมได้เป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาคนอเมริกันมากยิ่งขึ้นทุกวัน ถึงเวลาหรือยังที่อเมริกาต้องมีการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ มีอะไรที่ผิดพลาดอย่างมากในเรื่องความฝันของคนอเมริกัน ไม่มีอะไรในโลกที่จิรังยั่งยืน จักรวรรดินิยมในอดีตมีวันเสื่อมและต้องล่มสลายในที่สุดสำหรับอเมริกา The Divided State of America เป็นความจริงอย่างยิ่ง!!!