ดร. นพ.มโน เลาหวณิช ผู้อำนวยการสถาบันคานธี อาจารย์ประจำวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม ม.รังสิต
ในโลกนี้มีเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่มีอาระยะธรรมและประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องกันมาถึง 5,000 ปี มีอักษรเป็นของตนเอง มีศาสนาที่เกิดในดินแดนของตนเองถึงสองศาสนา มีภาษาถิ่นมากมาย และยังเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดของโลกถึง 1.4 พันล้านคน จีนเคยเป็นมหาอำนาจของโลกมานาน เพราะความล้าหลังทางการศึกษาการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและเป็นแหล่งของความรู้ความคิดสร้างสรรค์มากมาย และยังเป็นดินแดนที่มหาอำนาจทางตะวันตกเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จำนวนมหาศาล จนจำต้องแบ่งพื้นที่ให้ชาติทางตะวันตกเช่า เพราะแพ้สงครามฝิ่น เมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วเป็นประเทศกสิกรรมที่ล้าหลัง ผู้คนอดอยากมากมาย เป็นแหล่งอันโอชะที่ญี่ปุ่นเข้ามาบุกรุก ปล้นชาติเพราะถือว่าตนเองมีกำลังทหารและเศรษฐกิจสูงส่งกว่า
แต่ในบัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ จีนได้พัฒนาประเทศอย่างรวดเร็ว ภายในระยะเวลาเพียง 40 ปี จีนได้ทะยานขึ้นมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจอันดับสองของโลก เป็นมหาอำนาจในเอเชียที่มหาอำนาจทางตะวันตกประหวั่น พลันพรึงที่สุด
ในอดีตนักปราชญ์จีนเป็นผู้ประดิษฐ์การใช้ตะเกียบ การดื่มชา ลูกคิด กระดาษ ดินปืน เทคโนโลยีการพิมพ์ การฝังเข็ม การใช้สมุนไพรต่าง ๆ ผ้าไหม เข็มทิศ และแม่เหล็กไฟฟ้า แต่การค้นคว้าเหล่านั้นยุติลงเมื่อโลกตะวันตกเริ่มการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ซึ่งเกือบทั้งหมดเกิดจากความขัดแย้งระหว่างความเชื่อทางศาสนาและกระแสโต้กลับทางสังคม กระบวนการทางสังคมในลักษณะนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในจีน ศาสนาทั้งสองคือเต๋าและขงจื้อ ไม่มีความขัดแย้งกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ และไม่สนใจในเรื่องพระเจ้าสร้างโลกเหมือนในยุโรป การค้นพบใหม่ ๆ ของจีนในยุคโบราณจึงเกิดขึ้นจาก “ความพยายามที่จะแก้ไขปัญหา” เท่านั้น
ความเชื่อในศาสนาเต๋าในเรื่อง “หยิง-หยัง” ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีธรรมชาติที่ต้องได้ดุลกันอยู่ เพื่อความสุขความสงบของสังคมมนุษย์ ทำให้นักปกครองของจีนเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างดุลภาพไม่ว่าจะเป็นอำนาจทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจ เต๋ายังทำให้นักคิดของจีนเป็นปฏิบัตินิยม เมื่อมีทฤษฎีแล้วต้องนำมาปฏิบัติหรือใช้ประโยชน์ได้ ไม่ใช่ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ แล้วก็ทิ้งไว้บนหิ้งเผื่อว่าจะมีใครในอนาคตนำมาปัดฝุ่นใช้งานต่อไป
การที่จีนเรียกประเทศตนเองว่า “จงกั๋ว” ซึ่งแปลว่า “ประเทศที่อยู่ตรงกลาง” (ของโลก) ทำให้จิตสำนักของคนจีนทั้งประเทศเกิดขึ้นว่า “เราคือศูนย์กลางของโลก” และสอดคล้องกับประวัติศาสตร์อันยาวนานของตน ซึ่งมีอารยธรรมกระจายไปทั่วโลกตาม “เส้นทางสายไหม” (Silk Road) เป็นแรงบันดาลใจให้ผู้นำจีนคิดโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (One Belt One Road) และนโยบาย “ความฝันของคนจีน” (Chinese Dream) ขึ้น ความฝันของคนจีนนั้นแตกต่างจากความฝันของคนอเมริกันอย่างมาก แม้พรรคการเมืองในอเมริกาพยายามขายฝันให้ประชาชนของตนในชื่อของ American Dream ซึ่งเน้นถึงความสุขความสำเร็จในฐานะที่เป็นชาวอเมริกันที่มั่งคั่งคนหนึ่ง แต่สำหรับคนจีนความฝันนั้นคือคนจีนทั้งชาติ
ปัจจุบันจีนได้สมญานามว่าเป็นโรงงานของโลก (Factory of the World) ทั้งนี้เพราะผลิตสินค้าราคาถูกส่งออกไปขายตามคำสั่งซื้อที่มาจากประเทศต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง ยาและเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้า มอร์เตอร์ไซด์ไฟฟ้า รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ โดยที่มีลูกค้าเป็นคนสั่งมา ถ้าเป็นสิ้นค้าใหม่ ๆ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้โรงงานผลิตต่าง ๆ ของจีนไปพร้อม ๆ กัน ทำให้เกิดสินค้าลอกแบบที่ผลิตจากโรงงานต่าง ๆ ของจีนที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ดในฤดูฝน สิ้นค้าที่ผลิตจากจีนราคาถูกหากซื้อได้ง่าย ทำให้โรงงานผลิตสินค้าแบบเดียวกันในยุโรปและอเมริกาต้องปิดตัวเองไปเป็นจำนวนมาก
ตลอดระยะเวลาสี่สิบปีที่ผ่านมา จีนได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในลักษณะนี้และทำให้เศรษฐกิจของจีนเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นการเจริญเติบโตทางลัดไม่ต้องผ่านกระบวนการปฏิวัติอุตสาหกรรมเหมือนในยุโรปหรืออเมริกา และไม่ต้องเสียเวลาไปสร้างตลาดใหม่สำหรับสินค้าเหล่านี้ ผลิตออกมาก็ส่งออกได้เลย
จีนถูกทั้งยุโรปและอเมริกาประณามอย่างต่อเนื่องว่า เป็นประเทศที่ละเมิด “สิทธิบัตรนวัตกรรม” ของสินค้าที่ได้รับการจดทะเบียนหลายสิบล้านชนิด กระนั้นเองทั้งสหภาพยุโรปและอเมริกายังต้องพึ่งพาจีนเพราะเป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 1.4 พันล้านคน ทำให้จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บริษัทใหญ่น้อยในยุโรปและอเมริกาหมายปองที่จะส่งสินค้าเข้าไปขายเพื่อทำกำไรจากประเทศจีน แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวจีนอย่างมาก ชาวอเมริกันและยุโรปไม่เชื่อว่าจีนจะเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีอะไรได้ เพราะ “ประเทศที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ต้องเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยเท่านั้น แต่จีนเป็นประเทศที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ มีรัฐบาลเพียงพรรคเดียวไม่มีเสรีภาพให้ประชาชนแสดงออกจึงไม่มีวันที่จีนจะขึ้นมาเป็นผู้นำทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้เลย” จีนก้าวหน้าได้รวดเร็วเพราะ “ลอกแบบ” นวัตกรรมทางตะวันตกทั้งสิ้น แต่สมติฐานของชาวตะวันตกได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดใหญ่ของ COVID-19 จากเมืองหวู่ฮั่น นักวิทยาศาสตร์จีนได้รีบถอดรหัสพันธุกรรมของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ และโหลดขึ้นอินเตอร์เน็ต นี่คือคุณูประการณ์ของนักวิทยาศาสตร์จีน ทำให้นักวิทยาศาสตร์ในหลายประเทศได้คิดสูตรการทำวัคซีนเพื่อใช้สำหรับการควบคุมเชื้อไวรัสนี้ เริ่มจากนักวิทยาศาสตร์ในมลรัฐเทกซัสของสหรัฐอเมริกา มหาวิทยาลัยอ๊อกฟอร์ดของอังกฤษ ทำให้ได้พัฒนาวัคซีนของบริษัท Pfizer Moderna Johnson & Johnson และ AstraZeneca โดยใช้เทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าคือวัคซีน mRNA ได้อย่างรวดเร็ว แต่จีนไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีนี้เลย จำต้องใช้เทคโนโลยีเชื้อตาย ซึ่งมีประสิทธิภาพน้อยกว่า คือ Sinovac และ Sinopharm และยังถูกประณามว่าเป็นต้นตอของการแพร่ระบาดใหญ่ครั้งนี้อีกด้วย
ผู้ที่ออกมาโวยวายในเรื่องการเอาเปรียบทางการค้าของจีนไม่มีใครเกิน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีนโยบายว่า “อเมริกามาก่อน” และตั้งกำแพงภาษีสินค้าต่าง ๆ ของจีน ทั้ง ๆ ที่จีนและสหรัฐเป็นประเทศคู่ค้าที่ต้องพึ่งพาอาศัยกันมากที่สุด และทำให้รัฐบาลจีนออกมาตอบโต้ทุกนโยบาย ของสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนได้ประกาศให้จีนต้องก้าวหน้าต่อไปด้วยนวัตกรรมของตนเองไม่ต้องพึ่งพานวัตกรรมของต่างชาติอีกต่อไป และได้ทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนา 7 เทคโนโลยียุทธศาสตร์ในแผน 5 ปีของจีน (Seven Strategic Technology) โดยมีเทคโนโลยีควันตัมคอมพิวเตอร์เป็นอันดับแรกที่รับงบประมาณสูงสุด
ยุทธศาสตร์การพัฒนาเทคโนโลยีของชาตินี้ รัฐบาลจีนได้มีการศึกษาลำดับความสำคัญ ก่อนหลังและปัจจัยสนับสนุนระหว่างเทคโนโลยีสาขาต่าง ๆ มาแล้วเป็นอย่างดี เริ่มนับตั้งแต่ปีพ.ศ. 2540 รัฐบาลจีนได้ทุ่มทุนในการค้นคว้าวิจัยศาสตร์ทางคอมพิวเตอร์มากที่สุดในโลก ความสามารถของควันตัมคอมพิวเตอร์ของจีนในขณะนี้ได้รับการพัฒนาไปยิ่งกว่าที่สองปีที่แล้วอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นี้ได้ผลักดันให้เกิดนวัตกรรมของเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีนก้าวกระโดดอย่างมาก เร็วกว่าที่จีนได้วางแผนไว้เสียอีก โดยในพ.ศ. 2563 จีนได้ประกาศการเป็นผู้นำทางการสร้างควันตัมคอมพิวเตอร์ที่เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุดของโลก ชื่อ จุยจัง (Jiuzhang) ซึ่งเป็นชื่อของคัมภีร์สอนคณิตศาสตร์ในชั้นประถมของจีน จุยจังนี้มีความเร็วกว่าควันตัมคอมพิวเตอร์ของบริษัทอัลฟาเบต (Google) ที่เมืองซานาตาบาบารา มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากและสามารถแก้สมการที่ต้องใช้เครื่องซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้เวลาตอบโจทย์หลายพันปีให้เสร็จในเวลาวินาทีเดียว ส่วนควันตัมคอมพิวเตอร์ของจีนนั้นมีความเร็วสูงกว่าของสหรัฐอเมริกาถึง 2.5 พันล้านเท่า
เมื่อจีนสามารถสร้างคอมพิวเตอร์ที่ทรงพลังได้ถึงเพียงนี้ จีนย่อมนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในกิจการต่าง ๆ มากมายทั้งการสร้างสรรค์และทำลายล้าง เช่น เป็นต้นว่า การใช้ในการแฮกข้อมูลจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ทั่วโลก แม้การทำลายเงินคริปโตได้ทุกตระกูลซึ่งครั้งหนึ่งเชื่อกันว่า “บล็อกเชนเทคโนโลยีมีเสถียรภาพสูงมากจนไม่มีใครแฮกได้” แต่ควอนตัมคอมพิวเตอร์นี้สามารถทำได้
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์นี้ จีนได้นำมาประยุกต์ในการควบคุมและพัฒนาประชากรของตน โดยจีนมีกล้องวงจรปิดพร้อมเทคโนโลยีพิสูจน์บุคคลโดยการอ่านใบหน้า (Facial Recognition) ผ่านกล้องวงจรปิดทั่วประเทศกว่า 200 ล้านตำแหน่ง (ในขณะที่สหรัฐมี 50 ล้าน) ติดตามการเคลื่อนไหวของประชากรของตนทุกคนอย่างแม่นจำ นำมาใช้กับระบบการให้คะแนน Social Credit ซึ่งมีทั้งการให้คะแนนความดีและตัดคะแนนหากกำทำผิดกฎหมาย
เทคโนโลยีควันตัมคอมพิวเตอร์นี้เป็นหัวจักรที่ลากจูงเทคโนโลยีอื่น ๆ ของจีนให้ก้าวหน้าตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เทคโนโลยีชีวภาพสังเคราะห์ (Synthetic Bio-tech) เทคโนโลยีพลังงานทดแทน เทคโนโลยีนิวเคลียร์ เทคโนโลยีทางอวกาศ (Space Technology)
ในปัจจุบันไม่มีประเทศใดกล่าวหาว่าจีนได้ลอกเลียนแบบเทคโนโลยีเหล่านี้จากตะวันตกอีกต่อไป
ปัจจุบันเทคโนโลยีควันตัมคอมพิวเตอร์นี้ทำให้เกิดสาขาวิชาชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) เป็นศาสตร์แขนงใหม่ทางชีววิทยา โดยการใช้ความรู้ทางรหัสพันธุกรรมศาสตร์ประยุกต์ร่วมกับศาสตร์ทางควันตัมคอมพิวเตอร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สามารถสร้างสารประกอบชนิดใหม่ ๆ สารชีวะภาพซึ่งเกิดจากการเรียงตัวของกรดอมิโนที่ซับซ้อน ขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เช่น การคิดสูตรยาปฏิชีวนะชนิดใหม่ ๆ ซึ่งตามปกติต้องใช้เวลาเป็นปีหรือหลายเดือนจึงจะสำเร็จ เมื่อใช้เทคโนโลยีนี้มาประยุกต์จะใช้เวลาเป็นนาทีเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทเวชภัณฑ์ของจีนได้มีสัญญาแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้นคว้าใหม่ ๆ กับบริษัทในอเมริกาและเยอรมัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ทางเทคโนโลยีเหล่านี้ทำให้การผลิตยาและเวชภัณฑ์ใหม่ ๆ ของจีน ด้วยขบวนการผลิตที่รวดเร็วและราคาถูกเพียง 30% ของเวชภัณฑ์แบบเดียวกันที่ขายในอเมริกาและยุโรป
เนื่องจากแพทย์แผนจีนและการใช้สมุนไพรจีนนั้นมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี ข้อมูลจากศาสตร์แผนโบราณของจีนถูกนำมาบูรณาการกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นหลายพันชนิดในเวลาเพียงไม่กี่ปี บริษัทจดทะเบียนที่ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เข้าตลาดหลักทรัพย์ในฮ่องกงและเชียงไฮมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายพันล้านเหรียญต่อปี
ในปัจจุบันจีนได้กลายเป็นผู้นำวิวัฒนาการทางชีววิทยา (Biological Revolution) ของศตวรรษที่ 21 ไปแล้ว
กรอบความคิดของนักวิทยาศาสตร์จีนนั้นไม่ยึดติดกับศาสนาหรือจริยธรรมเหมือนในตะวันตก นักวิทยาศาสตร์จีนคนหนึ่งได้ตัดต่อรหัสพันธุกรรมของเด็กหญิงสองคนชื่อ Lulu และ Nana และประกาศว่าเด็กทารกสองคนนี้มีภูมิต้านทาง HIV ซึ่งเป็นไวรัสที่ทำให้เกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ตั้งแต่เกิด ซึ่งเขามีความภูมิใจเป็นอย่างมาก ทำให้เด็กสองคนนี้จะไม่เป็นโรคเอดส์ตลอดชีวิต แต่ข่าวนี้ได้สร้างความตระหนกอย่างมากแก่ประเทศทางตะวันตก เพราะการเข้าไปตัดต่อรหัสพันธุกรรมของมนุษย์นั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก (เพราะนักวิทยาศาสตร์กำลังทำตนเองเป็นพระผู้เป็นเจ้า) ยิ่งไปกว่านั้นที่ปรึกษาการสืบราชการลับของประธานาธิบดีทรัมป์ได้ออกมากล่าวหาจีนว่า กำลังตกแต่งพันธุกรรมมนุษย์เพื่อสร้างมนุษย์พันธุ์ใหม่เพื่อใช้ในการทำสงคราม แต่เป็นการกล่าวหาที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ สนับสนุนและรัฐบาลจีนได้ออกมาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงว่า “ไม่มีมูลความจริง”
จีนยังเป็นผู้นำเทคโนโลยี “พลังงานสะอาด” ของโลกอีกด้วน โดยมีโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มากที่สุดและเป็นตลาดที่ใหญ่สุดของรถยนต์ไฟฟ้าของโลก โดยมีบริษัท Tesla ของนายอีลอน มัส และบริษัทผลิตรถยนต์ไฟฟ้าของจีนเอง โดยจีนได้สร้างสนามแข่งรถยนต์ไฟฟ้าสนามแรกของโลก นำสหรัฐอเมริกาและยุโรปไปแล้ว และด้วยเหตุที่จีนเป็นประเทศที่ส่งออก “แร่หายาก” (Rare Earth Elements) ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทางการผลิตเทคโนโลยีสร้างแบตเตอรีสำหรับรถยนต์เหล่านี้ จีนจึงได้เป็นโรงงานผลิตรถยนต์พลังงานสะอาดที่ใหญ่ที่สุดของโลก
นี่ยังไม่นับโรงงานผลิตแผงรับพลังงานดวงอาทิตย์ ซึ่งจีนเป็นทั้งผู้ผลิตที่มีบริษัทเอกชนจำนวนที่มากที่สุด และยังเป็นตลาดที่ใหญ่สุดของโลกสำหรับพลังงานแสงอาทิตย์อีกเช่นกัน แผงโซล่าเซลของจีนได้รับการพัฒนาไปให้เหมาะสมกับผู้บริโภคในสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นแผงโซล่าเซลตามเสาไฟฟ้า แผงโซล่าเซลพร้อมแบตเตอรีขนาดเล็กเพื่อใช้งานเป็นจุด ๆ ในสวน หรือ แผงโซล่าเซลเคลื่อนที่สำหรับนักเดินทาง เป็นต้น
จีนยังได้สร้างดวงอาทิตย์เทียม (Artificial Sun) ซึ่งให้พลังงานความร้อนมากกว่าดวงอาทิตย์ถึง 5 เท่า โดยใช้พลังงานจากปฏิกิริยาฟิวชัน (Fusion) เป็นเทคโนโลยีนิวเคลียร์ที่ประเทศทางตะวันตกไม่เคยมีมาก่อนและจีนไม่ได้ลอกเลียนจากใคร
เป็นสิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรกับจีนมากขึ้นทุกขณะ และดำเนินนโยบายกีดกันจีนในทุกทางมาตลอด ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกประการหนึ่ง คือ เทคโนโลยีอวกาศ จีนเป็นประเทศเดียวที่ถูกกีดกันไม่ให้เข้าร่วมโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ (International Space Station: ISS) ซึ่งแม้แต่มนุษย์อวกาศของรัสเซียยังสามารถขึ้นไปร่วมโครงการนี้ได้ แม้เกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนและรัสเซียถูกประเทศตะวันตกคว่ำบาตรก็ตาม ทำให้จีนต้องสร้างสถานีอวกาศของตนเองไม่ยุ่งเกี่ยวกับประเทศใด ขณะนี้รัสเซียได้ประกาศถอนตัวจากโครงการสถานีอวกาศนานาชาตินี้แล้ว และเป็นที่เชื่อได้ว่ารัสเซียกำลังจะจับมือกับจีนเพื่อพัฒนาโครงการอวกาศนี้ด้วยกันต่อไป
จีนได้ลงมือสร้างสถานีอวกาศของตนเองตั้งแต่ปี 2020 ได้ส่งมนุษย์อวกาศทั้งหญิงและชายขึ้นไปอยู่ประจำ และออกมาเดินท่องอวกาศเช่นเดียวกันกับที่นักบินอวกาศชาติต่าง ๆ ได้กระทำมาและเพิ่มระยะเวลาการอยู่ประจำในสถานีนั้นนานขึ้นทุกครั้ง กระทั่งครั้งสุดท้าย มนุษย์อวกาศสามคน (หนึ่งหญิงสองชาย) ได้ขึ้นไปประจำการในสถานีอวกาศถึง 180 วัน (สองเท่าของระยะเวลาเดิม) ส่วนต่อขยายของสถานีอวกาศของจีนจะมีขนาดใหญ่โตกว่าสถานีอวกาศนานาชาติ จะมีระยะเวลาใช้งานที่ยาวนานกว่าและมีภารกิจที่มากกว่าของทุก ๆ ชาติ ในขณะที่สถานีอวกาศนานาชาติจะปลดประจำการในสองปีข้างหน้านี้ สถานีอวกาศของจีน
สำหรับโครงการอวกาศนั้นจีนเป็นชาติที่ 3 ที่ส่งยานไปร่อนลงบนดาวอังคารอย่างนุ่มนวล และเป็นชาติที่สองรองจากอเมริกาในการส่งยานเล็กออกสำรวจผิวดิน แร่ธาตุต่าง ๆ บนดาวอังคารพร้อมกับถ่ายภาพดาวสีแดงนี้ส่งมายังโลกเป็นระยะ ๆ แม้ว่าโครงการสำรวดดาวอังคารนี้จีนยังไม่มีอากาศยานบินสำรวจในระยะไกลได้เหมือนสหรัฐก็ตาม แต่จีนได้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีทางอวกาศของจีนนั้นเข้าใกล้หรือพร้อมที่จะแซงหน้าสหรัฐได้ทุกเวลา
เมื่อสหรัฐอเมริกามีบริษัทเอกชนทำงานทางด้านเทคโนโลยีทางอวกาศ คือ SpaceX ของ นายอีลอน มักส์ และ Blue Origin ของนายเจฟฟ์ เบซอส จีนได้ตั้งบริษัทเอกชน เพื่อดำเนินงานทางเทคโนโลยีนี้ถึง 10 บริษัทและให้มีฐานยิงจรวดถึง 3 แห่ง และกำลังเนินการให้เกาะไหหลำ เป็นพื้นที่พิเศษในการเป็นฐานยิงจรวดและสร้างสถานีอวกาศขนาดใหญ่ เมื่อจรวดของอเมริกาสามารถขึ้นลงทางดิ่งและนำมาใช้งานซ้ำได้ จรวดของจีนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2563 จีนได้ส่งยานอวกาศฉางเอ๋อ 5 (Chang’e 5) ไปโคจรรอบดวงจันทร์ก่อนที่จะร่อนลงบนด้านมืดของดวงจันทร์ และยังมียานหุ่นยนต์ออกสำรวจ ซึ่งต่อมาได้ตักตัวอย่างของผิวดินบนดวงจันทร์แล้วส่งกลับมายังโลกให้นักวิทยาศาสตร์จีนวิจัยกันต่อไปได้อีก และเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นที่ว่า จากตัวอย่างดินของดวงจันทร์ที่นำมานั้นมีธาตุกัมมัตภาพรังสีชนิดหนึ่งชื่อ Helium 3 ซึ่งเป็นธาตุที่ไม่มีบนโลกนี้ และเป็นธาตุที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของมนุษยชาติ เพราะธาตุ Helium 3 นี้เมื่อใส่เข้าเตาปฏิกรณ์ปรมาณูให้ผ่านขบวนการฟิวชัน (Fusion) สามารถกลายเป็นพลังงานได้ทั้งหมด ไม่เหลือกากเลยแม้แต่น้อย และนักวิทยาศาสตร์จีนได้คำนวณพบว่า ดวงจันทร์มีประมาณ Helium 3 มากพอที่จะให้พลังงานแก่โลกทั้งใบได้ติดต่อกันถึง 10,000 ปี ทำให้จีนวางแผนที่จะเป็นชาติแรกที่ไปทำเหมือง Helium 3 บนดวงจันทร์ใน 3 ปีข้างหน้านี้
อันที่จริงธาตุ Helium 3 นี้จีนไม่ได้เป็นชาติแรกที่ค้นพบ เมื่อองค์การ NASA ส่งมนุษย์อวกาศชุดแรกไปดวงจันทร์กับยาน Apollo 11 เมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้นำธาตุนี้กลับมาด้วย แต่ไม่ได้เปิดเผยกับโลกว่า Helium 3 นั้นมีคุณสมบัติอะไรบ้าง จึงไม่มีโครงการที่จะไปทำเหมืองบนดวงจันทร์ ส่วนจีนนั้นมีกรอบคิดที่มาจากลัทธิเต๋า การประยุกต์ใช้ต้องคู่กันไปกับภาคทฤษฎี การวางแผนโครงการที่จะไปทำเหมืองบนดวงจันทร์จึงเกิดขึ้น ไม่มีความจำเป็นต้องรอคอย และเมื่อนำมาทำให้เป็นพลังงานจีนจะเป็นชาติแรกของโลกที่มีเตาปฏิกรณ์ที่ใช้พลังงานจากธาตุ Helium 3 และเป็นพลังงานที่บริสุทธิ์อีกด้วยจะช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้อย่างมากตรงตามหนึ่งใน 7 ยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลได้วางไว้ และเป็นอีกประจักษ์พยานได้อย่างดีว่า “จีนคือผู้นำทางเทคโนโลยีของโลกในศตวรรษที่ 21” อย่างเต็มตัว
รากฐานทางประวัติศาสตร์อารยธรรมกว่า 5000 ปีของจีน ทำให้เกิดการขับเคลื่อนการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีนพัฒนาอย่างรวดเร็ว ความขัดแย้งระหว่างสังคมทางศาสนากับวิทยาศาสตร์ในยุโรปเมื่อ 500 ปีที่แล้วทำให้เกิดการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เงื่อนไขการค้นคว้าวิจัยอย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมเชิงประจักษ์ ความเชื่อของเต๋าและขงจื้อไม่ได้เป็นอุปสรรคการค้นคว้าวิจัยในวัฒนธรรมจีนเหมือนของยุโรป ซึ่งอาจเป็นต่อจีนไปประมาณ 500 ปีแต่บัดนี้จีนได้ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของโลกยิ่งกว่าตะวันตกเสียอีก ผู้นำของสหรัฐเอมริกาที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีนอย่างเปิดเผยเพราะยังหลงอยู่ในยุคของสงครามเย็น พยายามกลั่นแกล้งจีนในทุกวิถีทางที่ตนจะทำได้ และพยายามผลักดันจีนให้เข้าสู่สงครามเย็นครั้งที่สอง
อันที่จริงแล้วสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่ต้องการจีนมากที่สุดกว่าทุกประเทศในโลก จีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของสินค้าจากสหรัฐ และจีนก็ต้องการสหรัฐอเมริกาอย่างมากเช่นกัน หากทั้งสองประเทศจับมือกันทางเทคโนโลยี ปัญหาโลกร้อนจะหมดไปอย่างรวดเร็ว โลกทั้งใบจะหันมาใช้พลังงานสะอาด ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล และการสำรวจทางอวกาศจะใช้ค่าโสหุ้ยที่ถูกลงมาก การแข่งขันทางอาวุธก็จะหมดลง ชาวโลกไม่ต้องวิตกกังวลกันต่อไปเรื่องสงครามนิวเคลียร์ อาหาร ยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ ราคาจะถูกลง สหประชาชาติก็จะทำงานของตนไปได้อย่างเป็นปกติ ไม่มีคนจากจนหรืออดอยากในโลกนี้เลย โลกจะเข้าสู่ยุคของความศิวิไลอย่างแท้จริงอีกนานเท่านาน ประชาชนทุกประเทศสามารถสัญจรไปมาถึงกันได้โดยสะดวก
นี่แหละจะไม่ใช่ Chinese Dream หรือ American Dream แต่จะเป็น “ความฝันของชาวโลก” (World Dream)