ThaiPublica > สู่อาเซียน > ASEAN Roundup 7 เศรษฐีพันล้านเวียดนามติดอันดับ Forbes

ASEAN Roundup 7 เศรษฐีพันล้านเวียดนามติดอันดับ Forbes

10 เมษายน 2022


ASEAN Roundup ประจำวันที่ประจำวันที่ 3-9 เมษายน 2565

  • 7 เศรษฐีพันล้านเวียดนามติดอันดับ Forbes
  • เวียดนามตลาดใหญ่แบรนด์หรูในเอเชียแปซิฟิก
  • ชาวเวียดนามเล่นหุ้นถึง 5% ของประชากร
  • มาเลเซียครองที่ 1 โลกเศรษฐกิจอิสลามปีที่ 9
  • ธนาคารกลางเมียนมาสั่งแปลงเงินฝากสกุลตปท.เป็นจั๊ต
  • แบงก์ชาติเมียนมาขยายเพดานถอนเงิน 100 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์
  • 7 เศรษฐีพันล้านเวียดนามที่ติดอันดับ Forbes

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/economy/span-stylecolorrgb000wealth-of-vietnams-richest-rose-during-pandemicspan-4449133.html

    เศรษฐีเวียดนามส่วนใหญ่ที่มีรายชื่อในทำเนียบมหาเศรษฐีทั่วโลกของ Forbes ปี 2022 มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นท่ามกลางการระบาดของโควิด-19 ในปีที่แล้ว

    โดยมีมหาเศรษฐีทั้งหมด 7 รายติดอันดับ นับว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผู้หญิงหนึ่งคนและชายหกคน มีมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิรวม 21.2 พันล้านดอลลาร์

    ในการจัดอันดับครั้งนี้ Bui Thanh Nhon ประธาน Nova Group ติดอันดับเป็นครั้งแรก

    ส่วนที่เหลือมูลค่าความมั่งคั่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มขึ้น ยกเว้น Pham Nhat Vuong ประธาน Vingroup

    Tran Dinh Long วัย 61 ปี ประธานบริษัท Hoa Phat ยักษ์ใหญ่ด้านธุรกิจเหล็ก ก้าวขึ้นสู่ 1,000 อันดับแรกเป็นครั้งแรก หลังจากที่ความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น 1 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว และเป็นมหาเศรษฐีที่มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิสูงสุดในบรรดามหาเศรษฐีเวียดนามทั้งหมด

    ด้วยมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิ 3.2 พันล้านดอลลาร์ ปัจจุบันTran Dinh Long รวยที่สุดเป็นอันดับสองของเวียดนาม รองจาก Nguyen Thi Phuong Thao ซีอีโอของสายการบินเวียตเจ็ทแอร์

    หุ้น Hoa Phat โดยมีมูลค่าสูงถึง 4 พันล้านดอลลาร์เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว หลังจากทำนิวไฮที่ 60,000 ด่องเวียดนาม (2.62 ดอลลาร์) แต่ราคาลดลง 25% ณ สิ้นปีที่แล้ว ตามราคาเหล็กที่ลดลง 30% ในจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตชั้นนำของโลก

    มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิลดลงเหลือประมาณ 3 พันล้านดอลลาร์ แต่ ณ วันที่ 11 มีนาคม เมื่อ Forbes ประมินความมั่งคั่ง ราคาหุ้นHoa Phat ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ด่อง

    ที่มาภาพ:https://e.vnexpress.net/news/economy/span-stylecolorrgb000wealth-of-vietnams-richest-rose-during-pandemicspan-4449133.html

    Hoa Phat มีกำไรหลังหักภาษีเพิ่มขึ้น 2.5 เท่าเป็น 34.52 ล้านล้านด่องในปีที่แล้ว ซึ่งสูงกว่าเป้าหมาย 92%

    Nguyen Thi Phuong Thao อายุ 51 ปี กลับสู่ 1,000 อันดับแรกหลังจากที่หลุดออกไป 4 ปีด้วยมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิ 3.1 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 300 ล้านดอลลาร์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้อุตสาหกรรมการบินตกต่ำอย่างต่อเนื่องเนื่องจากโควิด

    นอกจากมีตำแหน่งเป็นซีอีโอของสายการบินเวียตเจ็ตแอร์แล้ว Nguyen Thi Phuong Thao ยังดำรงตำแหน่งประธานบริษัท Sovico Group ด้านการลงทุนชั้นนำอีกด้วย

    หุ้นของเวียตเจ็ตเพิ่มขึ้น 16% ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ หลังจากเที่ยวบินระหว่างประเทศกลับมาให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ

    Nguyen Thi Phuong Thao ติดอันดับรายชื่อมหาเศรษฐีของ Forbes เป็นครั้งแรกในปี 2560 และเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดอันดับที่ 766 ของโลกในอีกหนึ่งปีต่อมาด้วยมูลค่าความมั่งคั่งสุทธิ 3.1 พันล้านดอลลาร์ แต่มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของเธอลดลงเหลือ 2.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2562 และ 2.1 พันล้านดอลลาร์ในปี 2563

    ด้าน Ho Hung Anh อายุ 51 ปี ประธาน Techcombank และ Nguyen Dang Quang ประธานบริษัท Masan อายุ 58 ปี มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นคนละ 700 ล้านดอลลาร์

    Ho Hung Anh คิดทำเนียบมหาเศรษฐีเป็นครั้งที่สี่ด้วยมูลค่าความมั่งคั่ง 2.3 พันล้านดอลลาร์และ Nguyen Dang Quang ติดอันดับเป็นครั้งที่สามด้วยมูลค่าความมั่งคั่ง 1.9 พันล้านดอลลาร์

    Masan Group ของ Nguyen Dang Quang ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนรายใหญ่อันดับ 5 ของเวียดนามในปีที่แล้ว รายงานผลกำไรเพิ่มขึ้น 7 เท่าเป็น 8.5 ล้านล้านด่อง เนื่องจากธุรกิจหลักของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการระบาดใหญ่ และภาคการค้าปลีกยังได้รับผลดีจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในช่วงล็อกดาวน์

    ราคาหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น 2 เท่าเป็น 170,000 ด่องเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก่อนที่จะลดลงมาอยู่ที่ประมาณ 140,000 ด่องในเดือนมกราคม

    Tran Ba ​​Duong อายุ 62 ปี ประธานและผู้ก่อตั้ง Truong Hai Auto Company (Thaco) มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิยังคงอยู่ที่ 1.6 พันล้านดอลลาร์

    Tran Ba ​​Duong และครอบครัวถือหุ้น 70% ใน Thaco บริษัทเอกชนรายใหญ่อันดับ 6 ในเวียดนามเมื่อปีที่แล้ว แม้ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหุ้นก็ตาม มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิของ Tran Ba ​​Duong จึงไม่ผันผวนเหมือนของคนอื่น

    Pham Nhat Vuong เจ้าของ Vingroup กลุ่มบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ยังคงเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในเวียดนาม แม้มูลค่าความมั่งคั่งสุทธิลดลงเหลือ 6.2 พันล้านดอลลาร์จาก 7.3 พันล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว

    ราคาหุ้น Vingroup สูงสุดเมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้วที่ระดับ 128,000 ด่อง แต่ลดลงมาอยู่ที่ 81,700 ด่องเมื่อปิดการซื้อขายในวันศุกร์(8 เม.ย.)

    Vingroup รายงานผลขาดทุนครั้งแรกในปีที่แล้ว เป็นผลจากการใช้เงิน 6.09 ล้านล้านด่องในการต่อสู้กับโรคระบาดใหญ่ และลงทุนในการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า

    เวียดนามตลาดใหญ่แบรนด์หรูในเอเชียแปซิฟิก

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/economy/vietnam-rises-as-new-luxury-hub-4448394.html
    แบรนด์หรูกำลังขยายธุรกิจในเวียดนาม เพื่อใช้ประโยชน์จากการเติบโตของชนชั้นกลางในประเทศและการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

    ลัมโบร์กินี(Lamborghini) แบรนด์รถยนต์หรูของอิตาลี ประกาศการกลับมาดำเนินธุรกิจอีกครั้งในเดือนนี้หลังจากที่ระงับไปหนึ่งปี และได้แต่งตั้ง S&S Automotive เป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหม่ S&S Automotive ยังเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์แบรนด์หรูอื่นๆ เช่น โรลลส์-รอยซ์(Rolls-Royce) และ แม็คลาเรน(McLaren) กล่าวว่า โชว์รูม Lamborghini แห่งใหม่อยู่ระหว่างการก่อสร้างขึ้นในเขต 1 ของนครโฮจิมินห์ และจะเปิดในไตรมาสนี้

    เมื่อปีที่แล้ว มีการเปิดศูนย์บริการพอร์ช( Porsche Center Saigon) ในเขต 7 ของนครโฮจิมินห์ ซึ่งบริษัทชี้ว่าเป็น “ก้าวสำคัญในตลาดที่เติบโตเร็วที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียแปซิฟิก”

    บริษัทยังได้เปิดตัว Porsche Studio แห่งที่สองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในกรุงฮานอยเมื่อปีที่แล้ว โดยอาร์เธอร์ วิลล์แมน ซีอีโอของ Porsche Asia Pacific กล่าวว่า คนหนุ่มสาวที่มีพลังในเมืองหลวงเป็นแรงบันดาลใจให้กับร้านค้า ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ พอล แฮร์ริส ผู้อำนวยการ Roll-Royce Asia Pacific ซึ่งกล่าวว่า เวียดนามมีกลุ่มประชากรที่อายุน้อยที่สุดในตลาดของบริษัท

    แบรนด์แฟชั่นชั้นนำก็มีความเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยบุลการี(Bvlgari) ของอิตาลีได้กลับมาดำเนินการในเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้วและเปิดร้านในโฮจิมินห์ ซิตี้ส่วนหลุยยส์ วิตตอง(Louis Vuitton) และ คริสเตียน ดิออร์(Christian Dior) เปิดตัวแฟล็กชิปสโตร์ในปี 2020 ในย่านฮหว่านเกี๊ยม ตอนกลางของฮานอย

    ตลาดสินค้าลักชัวรีของประเทศคาดว่าจะเติบโต 35.7% จากปีที่แล้วเป็น 912 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ จากข้อมูลของ Statista ซึ่งฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งหลังจากการระบาดของโควิด-19 ที่นานถึงสองปี

    ในอีก 5 ปีข้างหน้า คาดว่าจะขยายตัว 3.3% ต่อปี และจะแตะระดับ 1 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2568 โดยกลุ่มสินค้าลักชัวรีที่ใหญ่ที่สุดจะเป็นแฟชั่น เครื่องหนัง เครื่องสำอางและน้ำหอม สถิติของ Statista

    แมทธิว พาวเวลล์ ผู้อำนวยการที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ Savills Vietnam ซึ่งจัดหาสถานที่ในฮานอยให้กับ Louis Vuitton และ Dior กล่าวว่า แบรนด์หรูจำนวนมากต้องการเข้าสู่หรือขยายธุรกิจในเวียดนาม เนื่องจากตลาดค้าปลีกเวียดนามเป็นหนึ่งในตลาดที่คึกคักที่สุดในภูมิภาค ขณะที่ค่าเช่าต่ำเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในเอเชีย เช่น สิงคโปร์และฮ่องกง

    รายได้ต่อหัวของประเทศที่เพิ่มขึ้นและการขยายตัวของชนชั้นกลางก็เป็นปัจจัยหนุนเช่นกัน เวียดนามได้รับการยอมรับว่าเป็นประเทศที่ชนชั้นกลางขยายตัวอย่างรวดเร็ว เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง

    ด้วยชนชั้นกลางที่แข็งแกร่ง 56 ล้านคนภายในปี 2573 เวียดนามตั้งเป้าที่จะก้าวกระโดดขึ้น 8 อันดับ จากอันดับที่ 26 ของโลกจาก 30 ประเทศที่มีประชากรชนชั้นกลางมากที่สุด จากการจัดอันดับของ British analytical NGO และ World Data Lab

    จำนวนคนในประเทศที่มีถือครองความมั่งคั่งเกินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป หรือจัดอยู่ในกลุ่มคนรวยมาก ultra-rich อาจสูงถึง 1,551 ราย ในปี 2569 เพิ่มขึ้น 26% จากปี 2564 จากรายงานของไนท์ แฟรงค์ บริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์จากสหราชอาณาจักร

    บริษัทยังคาดการณ์ด้วยว่าจำนวนคนรวย หรือผู้ที่มีความมั่งคั่งมูลค่าสุทธิตั้งแต่ 1 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป ซึ่งรวมถึงที่อยู่อาศัยหลัก จะเพิ่มขึ้น 59% จากปีที่แล้วเป็น 114,807 รายในปี 2569

    “เราได้เห็นราคาขายอพาร์ตเมนต์ระดับชั้นนำทะลุ 10,000 ดอลลาร์ต่อตารางเมตรในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ในประเทศ และคาดว่าเวียดนามจะมีกลุ่ม ultra-high net worth individuals ที่มีความมั่งคั่งสุทธิสูงมากระหว่างปี 2564 ถึง 2569 ขึ้น26% เทียบเท่ากับ ฮ่องกง และไต้หวัน เราเห็นศักยภาพของการเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคตระยะยาว” อเล็กซ์ เครน กรรมการผู้จัดการของ Knight Frank Vietnam กล่าว

    บริษัทยังชี้ให้เห็นว่าชาวเวียดนามที่ร่ำรวยกำลังซื้อนาฬิกา รถยนต์ และไวน์มากขึ้น การนำเข้านาฬิกาของประเทศเพิ่มขึ้น 28.2% ต่อปีในปี 2559-2560

    ยอดขายรถยนต์และการนำเข้าไวน์ ก่อนที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ 12.9% และ 9.8% ระหว่างปี 2559 ถึง 2562

    ศักยภาพในการเติบโตของแบรนด์หรูยังคงสดใส เนื่องจากคาดว่าเวียดนามจะเติบโตสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ 6.5%ในปีนี้ และ 6.7% ในปีหน้า

    ผู้จัดจำหน่ายแบรนด์หรูในเวียดนามมีผลประกอบการที่ดี โดย Duy Anh Fashion and Cosmetics มีการเติบโตปีต่อปีที่ 171% ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว บริษัทได้นำแฟชั่นแบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์เข้าสู่เวียดนามเมื่อปีที่แล้ว ได้แก่ Tiffany & Co และ Montblanc และเปิดสาขาแรกในฮานอยและนครโฮจิมินห์ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังนำเข้าแบรนด์รองเท้าและเครื่องประดับ Christian Louboutin มายังนครโฮจิมินก์ในเดือนมกราคมด้วยการเปิดร้านแรกในเขต 1

    ชาวเวียดนามเล่นหุ้นถึง 5% ของประชากร

    ที่มาภาพ: https://e.vnexpress.net/news/business/data-speaks/5-pct-of-vietnam-s-population-stock-investors-4449028.html

    ปัจจุบันประชากรเวียดนามที่ลงทุนในหุ้นมีสัดส่วนถึง 5% ของประชากรรวม เป็นผลจากตลาดที่ปรับตัวสูงขึ้นดึงดูดนักลงทุน

    ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (VSD) เปิดเผยว่า จำนวนบัญชีที่เปิดการซื้อขายใหม่ของนักลงทุนรายย่อยในเดือนมีนาคมพุ่งขึ้น ทำสถิติใหม่ต่อเดือนที่ 270,011 บัญชีเพิ่มขึ้น 238% เมื่อเทียบเป็นรายปี

    ในช่วงสามเดือนแรก มีการเปิดบัญชี 675,000 บัญชี เกือบครึ่งหนึ่งของบัญชีซื้อขาายที่เปิดในปีที่แล้ว

    จำนวนนักลงทุนหุ้นรายย่อยในเวียดนามขณะนี้อยู่ที่ 4.93 ล้านคน หรือ 5% ของประชากร ส่วนบัญชีนักลงทุนสถาบันมีจำนวน 4.98 ล้านบัญชี

    เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วกระทรวงการคลังได้ประกาศเป้าหมายว่า จะมีประชากร 5% ลงทุนในหุ้นภายในปี 2568 และ 8% ภายในปี 2573 ตลอดจนต้องการให้ตลาดหุ้นมีสัดส่วนอย่างน้อย 85% ของ GDP ของประเทศภายในปี 2568 และ 110% ภายในปี 2573 และจะกลายเป็น 1 ใน 4 ตลาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน

    ตลาดหุ้นเวียดนามเริ่มบูมในปี 2563 หลังจากร่วงลงสู่ระดับ 600 จุดเนื่องจากการระบาดของโควิด-19 แต่ขณะนี้ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,500 จุด โดยส่วนใหญ่มาจากการซื้อขายของบัญชีนักลงทุนรายย่อย ปีที่แล้ว ตลาดหุ้นเวียดนามเพิ่มขึ้น 35.7% เป็นตลาดที่สร้างกำไรสูงสุดเป็นอันดับ 7 ของโลก

    James Estaugh หัวหน้าฝ่ายบริการหลักทรัพย์ของ HSBC Vietnam กล่าวว่า ดัชนี VN-Index ของเวียดนามอาจขึ้นไปถึง 1,850 จุดในปีนี้ เพิ่มขึ้น 21% จากจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนมกราคม เนื่องจากระบบการซื้อขายใหม่ที่ให้บริการโดยตลาดหลักทรัพย์เกาหลี ทำให้นักลงทุนมีความมั่นใจมากขึ้นและลดความกังวลเกี่ยวกับการรรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมาก

    RongViet Securities คาดการณ์ว่า บัญชีซื้อขายหุ้นที่เปิดใหม่จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 150,000 บัญชีต่อเดือนในปีนี้

    Michael Kokalari หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ VinaCapital คาดว่า จำนวนนักลงทุนในหุ้นจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าในอีก 10 ปีข้างหน้า

    การปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนามในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องหลายทศวรรษ คล้ายกับสิ่งที่เกิดขึ้นในไต้หวัน จากการการคาดการณ์ของ VinaCapital

    มาเลเซียครองที่ 1 โลกเศรษฐกิจอิสลามปีที่ 9

    ที่มาภาพ: https://www.malaymail.com/news/money/2021/11/18/malaysia-ranks-first-in-islamic-finance-development-indicator-2021-says-ref/2021878
    มาเลเซียครองอันดับหนึ่งจาก 81 ประเทศและภูมิภาคในนดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจอิสลามโลกเป็นปีที่ 9 ติดต่อกั เป็นผลจากตลาดการเงินอิสลามที่เฟื่องฟู และผลิตภัณฑ์และบริการฮาลาลที่หลากหลาย

    ตัวชี้วัดที่เผยแพร่ในรายงาน State of the Global Islamic Economy Report ประจำปีโดย DinarStandard ในสหรัฐอเมริกา เปรียบเทียบเศรษฐกิจทั่วโลกในแง่ของขนาดตลาด นวัตกรรม และแนวการกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายอิสลาม

    มาเลเซียเป็นผู้นำเหนือซาอุดิอาระเบียอย่างชัดเจน โดยได้รับคะแนนสูงสุดในด้านอาหารฮาลาล การเงินอิสลาม การท่องเที่ยวและสื่อที่เป็นมิตรของชาวมุสลิม ตลอดจนการพักผ่อนหย่อนใจ มาเลเซียยังติดใน 10 อันดับแรกในด้านเภสัชภัณฑ์ แฟชั่นและเครื่องสำอาง

    มาเลเซียได้รับคะแนนสูงเป็นพิเศษในด้านการเงินอิสลาม โดยได้ประโยชน์จากมูลค่ากองทุนที่เพิ่มขึ้น 20% ตามกฎหมายอิสลาม ในภาคสื่อ ซีรีส์แอนิเมชั่นเพื่อการศึกษา “Omar & Hana” ได้รับความนิยมอย่างมาก

    ด้วยจำนวนประชากรประมาณ 1.9 พันล้านคน โลกมุสลิมมีการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 8.9% ในปี 2564 เป็นประมาณ 2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่สินทรัพย์ทางการเงินของอิสลามเพิ่มขึ้น 7.8% เป็น 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ และคาดการณ์ว่าการใช้จ่ายของชาวมุสลิมจะสูงถึง 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2568

    อินโดนีเซียยังคงอยู่อันดับที่ 4 ในการจัดอันดับโดยรวม และมีการเพิ่มขึ้นของฟินเทคอิสลาม เช่น การเงินดิจิทัลสำหรับลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดเล็ก สิงคโปร์ก้าวขึ้นสู่อันดับที่ 7 จากอันดับที่ 15 ก้าวกระโดดในด้านแฟชั่นและการเดินทางที่เป็นมิตรกับอิสลาม

    รายงานระบุว่าความต้องการยาฮาลาลเพิ่มขึ้นท่ามกลางการระบาดของโคโรนาไวรัส

    “ในขณะที่วัคซีนที่ได้รับการรับรองฮาลาลไม่ได้รับความสนใจ จึงกดดันให้ยกระดับความพอเพียงในด้านเวชภัณฑ์” ในกลุ่มสมาชิกขององค์การความร่วมมืออิสลาม( Organization of Islamic Cooperation) “และส่งเสริมการพัฒนาสารออกฤทธิ์ในท้องถิ่น (API) และยารักษาโรค รวมทั้งการรับรองมาตรฐานฮาลาล”

    ธนาคารกลางเมียนมาสั่งแปลงเงินฝากสกุลตปท.เป็นจั๊ต

    ที่มาภาพ: https://elevenmyanmar.com/news/myanmar-currency-value-per-usd-increases-after-cbm-instruction

    ในประกาศลงวันที่ 3 เมษายน และเผยแพร่ในสื่อของรัฐเมื่อวันจันทร์(4 เม.ย.) ธนาคารกลาง ระบุว่า ชาวเมียนมาที่มีรายได้เป็นสกุลเงินตราต่างประเทศจะต้องฝากเข้าบัญชีที่ธนาคารที่ได้รับอนุญาตและ ต้องแลกเป็นสกุลเงินท้องถิ่นภายในหนึ่งวันทำการ ในขณะที่รัฐบาลทหารพยายามควบคุมกระแสเงินตราต่างประเทศมากขึ้น

    แต่ธนาคารกลางจะออกข้อยกเว้นสำหรับกฎใหม่แยกต่างหาก และสกุลเงินต่างประเทศที่โอนไปต่างประเทศควรทำผ่านธนาคารที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

    คำสั่งดังกล่าวซึ่งลงนามโดยผู้ว่าการธนาคารกลางแห่งเมียนมา Than Nyein จะมีผลบังคับใช้กับสกุลเงินต่างประเทศที่ไหลเข้าประเทศก่อนวันอาทิตย์และะบุว่าผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายว่าด้วยการจัดการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ

    เศรษฐกิจของเมียนมาตกต่ำลงนับตั้งแต่กองทัพโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเมื่อกว่าหนึ่งปีที่แล้ว และเปิดฉากการปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างนองเลือด ด้วยการต่อสู้ จากการขัดขืนคำสั่ง ท่ามกลางความไม่สงบในวงกว้างและการต่อต้านด้วยอาวุธจากกองกำลังติดอาวุธเพื่อประชาธิปไตยและกบฏชนกลุ่มน้อยชาติพันธุ์

    ปีที่แล้ว ธนาคารกลางได้พยายามใช้สกุลเงินจั๊ตเป็นอัตราอ้างอิงเมื่อเทียบกับดอลลาร์หลังจากอัตราแลกเปลี่ยนตกต่ำ

    ในเดือนมีนาคม ทางการเมียนมาได้ประกาศแผนการที่เริ่มยอมรับสกุลเงินบาทสำหรับการทำธุรกรรมการค้าชายแดน เพื่อลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์และลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ

    การประกาศดังกล่าวซึ่งออกโดยกระทรวงข้อมูลและการลงทุน ยังระบุด้วยว่ามีแผนที่คล้ายกันที่จะใช้เงินรูปีของอินเดียเพื่อการค้า หลังจากมีข้อตกลงก่อนหน้านี้ในการยอมรับเงินหยวนของจีน

    คำสั่งล่าสุดของธนาคารกลางทำให้เกิดคำถามในกลุ่มบนโซเชียลมีเดียที่ชาวเมียนมาใช้เพื่อความสะดวกในการซื้อขายเงินตราว่า เงินที่แปลงเป็นจั๊ตจะต้องเป็นบัญชีพิเศษหรือไม่และสามารถเข้าถึงได้หรือไม่

    ชาวเมียนมาคนหนึ่งที่ไม่ขอเปิดเผยชื่อด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย แสดงความกังวลว่า จะสามารถเข้าถึงเงินออมที่ฝากไว้ได้และจะถอนเงินได้มากน้อยเพียงใด

    “ถ้าเราไม่สามารถถอนออกได้ ทุกสิ่งที่เราได้รับจะติดอยู่ในธนาคาร”

    อัตราแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการของธนาคารกลางสำหรับจั๊ตในปัจจุบันอยู่ที่ 1,850 ต่อดอลลาร์ แต่มีแนวโน้มว่าจะต่ำกว่าอัตราในตลาดมืด

    แบงก์ชาติเมียนมาขยายเพดานถอนเงิน 100 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์

    ที่มาภาพ: https://elevenmyanmar.com/news/some-private-banks-allow-withdrawal-of-ks500000-per-week-without-token

    Yoma Bank ประกาศให้ลูกค้าถอนเงินได้ 500,000 จั๊ตต่อสัปดาห์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 เมษายน และยังประกาศว่าการถอนเงินสดหลังจากโอนบัญชียังคงต้องรอเวลาหนึ่งเดือน แต่สามารถฝากหรือถอนเงินสดออกจากบัญชี flexi ได้ไม่จำกัด

    CB Bank และ UAB Bank ได้ประกาศในทำนองเดียวกันที่สาขาทั้งหมด

    ธนาคารกลางแห่งเมียนมาได้ออก คำสั่งลงวันที่ 1 เมษายน 2565 อนุญาตธนาคารพาณิชย์ให้ลูกค้าเบิกเงินสดสำหรับเงินเดือนและค่าจ้างของโรงงานในเขตอุตสาหกรรมได้โดยไม่มีข้อจำกัด และให้ถอนเงินรายสัปดาห์สูงถึง 100 ล้านจั๊ตเพื่อซื้อวัตถุดิบ ครอบคลุมไปถึงธุรกิจที่ดำเนินการด้วยงบประมาณของรัฐบาลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน

    ธนาคารกลางระบุว่าการ ผ่อนคลายข้อจำกัดในการถอนเงินสด เพราะการจัดการกระแสเงินสดในธนาคารในเมียนมาดีขึ้นอีกครั้ง

    จากประกาศฉบับล่าสุด หน่วยงานของรัฐสามารถถอนออกได้สูงสุด 100 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์สำหรับค่าใช้จ่ายโรงเรียนฝึกอบรม การให้รางวัลเป็นเงินสด ค่าใช้จ่ายเครื่องแบบ การให้รางวัลเป็นเงินสดสำหรับพนักงานบริการดี รางวัลเงินสดกิตติมศักดิ์ และพิธีทางศาสนา

    จำนวนเงินสูงสุดที่ถอนได้ 100 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์ยังได้รับอนุญาต สำหรับโครงการก่อสร้างและค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ของหน่วยงานของรัฐ ค่าใช้จ่ายของรัฐบาลระดับภูมิภาคและระดับรัฐ โครงการพัฒนาระดับภูมิภาคและชนบทที่ดำเนินการโดยงบประมาณของรัฐบาล และเงินช่วยเหลือ (เช่น เงินช่วยเหลือสวัสดิการสังคม ความช่วยเหลือชุมชนพื้นฐาน)

    โรงงานในเขตอุตสาหกรรมสามารถเบิกเงินสดได้โดยไม่มีข้อจำกัดสำหรับเงินเดือนและค่าจ้างของคนงาน และสามารถถอนเงินสูงสุด 100 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์สำหรับการซื้อวัตถุดิบ

    สำหรับวัตุประสงค์การใช้จ่ายเพื่อสุขภาพและศาสนา บุคคลธรรมดาสามารถถอนเงินได้มากถึง 10 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์ หากมีเอกสารที่จำเป็นมาแสดง

    คำสั่งนี้มีผลตั้งแต่วันที่ออกประกาศ

    ก่อนหน้านี้ธนาคารกลางได้ออกคำสั่งลงวันที่ 1 มีนาคม 2564 จำกัดการถอนเงินสดจากธนาคาร โดยให้ถอนเงินสดสูงสุดได้เพียง 500,000 จั๊ตต่อวันสำหรับ ATM/POS และ 2 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์จากบัญชีธนาคารสำหรับบุคคลธรรมดา และ 20 ล้านจั๊ตต่อสัปดาห์จากบัญชีธนาคารสำหรับบริษัทหรือองค์กร