วันนี้ (14 ตุลาคม 2564) เวลา 10.00 น. ณ ตึกสันติไมตรี (หลังนอก) ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) ครั้งที่ 16/2564 เห็นชอบปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเหลือ 23 จังหวัด ปรับเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน 23.00-03.00 น. อย่างน้อย 15 วัน สถานดูแลผู้สูงอายุให้เปิดดำเนินการแบบรับไป-กลับได้ ยังคงงดจำหน่ายและดื่มสุราในร้านอาหาร
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เปิดเผยผลการประชุมศบค.ว่า ที่ประชุมได้มีมติยกเลิกการกำหนดเกณฑ์ประเทศที่เสี่ยงต่อสถานการณ์โควิด-19 เพื่อรองรับการเปิดประเทศรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากเกณฑ์ต่างๆ ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ยังต้องมีการกำหนดมาตรการส่วนบุคคล เช่นกำหนดการเข้าราชอาณาจักร การได้รับวัคซีน การตรวจ RT-PCR การกักกัน และการเฝ้าระวังสถานการณ์
โดยก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงการแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564 เรื่องการออกมาตรการเปิดรับนักท่องเที่ยวจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำและฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยไม่มีการกักตัว เฉพาะที่เดินทางเข้าประเทศไทยโดยทางอากาศ ซึ่งจะเริ่มมาตรการนี้ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป และจะเพิ่มจำนวนประเทศในระยะต่อไป
“แนวคิดของท่านนายกรัฐมนตรีในฐานะผอ.ศบค.ชุดใหญ่ คือ แผนรองรับการเปิดประเทศ และการเข้าราชอาณาจักรแบบไม่กักตัวและไม่จำกัดพื้นที่ ทีมงานได้แปลงออกมาเป็นแผนรองรับการเปิดประเทศว่าต้องมีกลยุทธ์ต่างๆ ออกมาในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคม โดยที่ประชุมได้พูดคุยกันและสรุปออกมาได้แก่ แผนรองรับการเปิดประเทศ การเฝ้าระวังกลุ่มเปราะบาง เตรียมความพร้อมด้านสาธารณสุข พัฒนาระบบฐานข้อมูล และบริหารจัดการแบบบูรณาการ ทั้งหมดเสนอในที่ประชุมเมื่อเช้านี้และสั่งการให้จัดทำแผน” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
ศบค. ปรับลดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวดเหลือ 23 จังหวัด ปรับเคอร์ฟิวตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2564 เป็น 23.00-03.00 น. อย่างน้อย 15 วัน ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรีสั่งตั้ง ศบค. ส่วนหน้า ในจังหวัดที่มีความเสี่ยงสูงในพื้นที่ภาคใต้ เร่งบริหารจัดการการแพร่ระบาดแบบองค์รวม
ที่ประชุม ศบค. ประจำวันที่ 14 ตุลาคม มีมติสำคัญ ดังนี้
(1) เห็นชอบปรับระดับของพื้นที่สถานการณ์ย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักร
พื้นที่ควบคุมสูงสุด และเข้มงวด 23 จังหวัด ขณะจังหวัดที่ไม่อยู่ในพื้นที่สีแดงเข้มแล้ว ได้แก่ สุพรรณบุรี ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี เพชรบูรณ์ สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี และ นครราชสีมา แต่จังหวัดที่เพิ่มมาใหม่ ได้แก่ จันทบุรี นครศรีธรรมราช
พื้นที่ควบคุมสูงสุด 30 จังหวัด
พื้นที่ควบคุม 24 จังหวัด
(2) ปรับมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ในพื้นที่
สำหรับพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด
- ปรับเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน เป็น 23.00 น. – 03.00 น. อย่างน้อย 15 วัน
- ปรับเวลาเปิดกิจการ/กิจกรรมต่าง ๆ ตามกำหนด จาก 21.00 น. เป็น 22.00 น.
- จัดการประชุม และจัดงานตามประเพณีนิยมได้ ในศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือ สถานที่จัด นิทรรศการ รวมถึงสถานที่ลักษณะเดียวกันในห้างสรรพสินค้า และโรงแรมได้
- สถานดูแลผู้สูงอายุให้เปิดดำเนินการแบบรับไป – กลับ ได้
สำหรับทุกพื้นที่
- ศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า คอมมิวนิตี้มอลล์ ให้เปิด ตู้เกม เครื่องเล่น ร้านเกม ที่เล่นรายบุคคล หรือแข่งเป็นคู่ได้ (ยกเว้นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ยังไม่เปิดบริการ)
- การจัดกิจกรรมรวมกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค ปรับเป็น 50, 100, 200, 300, 500 คน
- ในส่วนสถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ นั้น ที่ประชุม ศบค. ได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย กทม. ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข เร่งกำหนดมาตรการสำหรับเตรียมการให้แล้วเสร็จภายใน 31 ตุลาคม นี้
(3) เห็นชอบให้จัดหายา Molnupiravir จำนวน 50,000 คอร์สการรักษา โดยมอบหมายให้กรมการแพทย์ นำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อพิจารณาอนุมัติกรอบวงเงินสำหรับการจัดซื้อยา ต่อไป
ที่ประชุม ศบค.ยังได้ให้เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดประเทศในจังหวัดนำร่องการท่องเที่ยว ระยะที่ 1 (1-30 พฤศจิกายน 64 ) ที่เพิ่มจาก 10 จังหวัดเป็น 15 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ (สนามบินสุวรรณภูมิ) กระบี่ (ทั้งจังหวัด) พังงา (ทั้งจังหวัด) ประจวบคีรีขันธ์ (ตำบลหัวหิน หนองแก) เพชรบุรี (เทศบาลเมืองชะอำ) ชลบุรี (พัทยา อำเภอบางละมุง ตำบลนาจอมเทียน ตำบลบางเสร่ เกาะสีชัง อำเภอศรีราชา) ระนอง (เกาะพยาม) เชียงใหม่ (อำเภอเมือง แม่ริม แม่แตง ดอยเต่า) เลย (เชียงคาน) บุรีรัมย์ (เมือง) หนองคาย (เมือง ศรีเชียงใหม่ ท่าบอ สังคม) อุดรธานี (เมือง นายูง หนองหาน ประจักษ์ศิลปาคม กุมภวาปี บ้านดุง) ระยอง (เกาะเสม็ด) และ ตราด (เกาะช้าง)
นพ.ทวีศิลป์ให้ข้อมูลว่า ในช่วง 2 เดือนหลังจากเดือนตุลาคม 2564 ให้ศบค.อนุมัติแผนนี้และถ่ายทอดไปยังทุกหน่วยงานเพื่อจะเริ่มดำเนินการโดยเฉพาะบางแผน และกำหนดให้วันที่ 1-30 พศจิกายน 2564 เป็นการดำเนินตามแผนระยะที่ 1 เดือนธันวาคมดำเนินตามแผนระยะที่ 2 จากนั้นเดือนมกราคม 2565 ให้ปฏิบัติตามความสำเร็จของแผนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ นพ.ทวีศิลป์ย้ำว่าที่ประชุมได้พูดคุยถึง ‘แผน’ แต่ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน ดังนั้นต้องรอการพิจารณาต่อไป
นอกจากนี้ให้เร่งการจัดสรรวัคซีน 25 ล้านโดสตามกลุ่มเป้าหมายในเดือนพฤศจิกายน