ThaiPublica > เกาะกระแส > “ของเถื่อน” ทะลัก – ลุยจับ “ดีเซล-บุหรี่” หนีภาษี

“ของเถื่อน” ทะลัก – ลุยจับ “ดีเซล-บุหรี่” หนีภาษี

15 ตุลาคม 2021


พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร ตรวจจับเรือบรรทุกน้ำมัน

“ของเถื่อน” ทะลัก อธิบดีกรมศุลฯ จับมือ ผบ.ตร. จับเรือลักลอบนำเข้าน้ำมันดีเซล 1 ล้านลิตร มูลค่าของกลางรวมค่าปรับ 100 ล้านบาท ด้าน DSI – สรรพสามิต ขอศาลออกหมายค้น ลุยจับร้านขายบุหรี่หนีภาษีในจังหวัดปัตตานี 4 แห่ง ยึดบุหรี่ของกลางได้ 26,224 ซอง คิดเป็นมูลค่ารวมค่าปรับ 19 ล้านบาท

จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกภายหลังการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ทำให้ความต้องการใช้น้ำมันเพิ่มมากขึ้น จึงส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตปรับโครงสร้างอัตราภาษีบุหรี่ใหม่ ซึ่งผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 ทำให้ราคาขายปลีกบุหรี่ทุกยี่ห้อที่วางตามท้องตลาดปรับราคาขึ้น จึงมีขบวนการลักลอบนำเข้าของหนีภาษี หรือ “ของเถื่อน” เข้ามาขายในประเทศ อย่างน้ำมันดีเซลได้ส่วนต่างลิตรละ 8.5 – 10 บาท ขณะที่บุหรี่เถื่อนนั้นมีราคาถูกกว่าบุหรี่ที่เสียภาษีกว่า 2 เท่าตัว ส่งผลเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ สร้างความไม่เป็นธรรมแก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีถูกต้อง และทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีเป็นจำนวนมาก

เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2564 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ร่วมกับนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมศุลกากร และกรมสรรพสามิต ตรวจจับเรือบรรทุกน้ำมัน ชื่อ “MITA 1” ที่บริเวณปากน้ำ หน้าคลองสรรพสามิต อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ผลการตรวจสอบพบ น้ำมันดีเซลมีค่าสารมาร์คเกอร์เข้มข้น 31 ซึ่งสารดังกล่าวใช้สำหรับเติมน้ำมันส่งออกไปต่างประเทศ และได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิต เมื่อนำส่งออกไปแล้วจะไม่สามารถนำกลับเข้ามาในราชอาณาจักรได้อีก หากนำเข้ามาโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากรถือเป็นการลักลอบนำเข้า มีความผิดตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 และ พ.ร.บ. สรรพสามิต พ.ศ. 2560 โดยน้ำมันดีเซลที่จับได้ในครั้งนี้ จำนวนประมาณ 1,000,000 ลิตร (หนึ่งล้านลิตร) มูลค่ารวมค่าปรับกว่า 100 ล้านบาท

ส่วนกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น หลังจากได้รับรายงานว่ามีกลุ่มขบวนการค้าบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีทางด้านฝั่งอ่าวไทย จะทำการสั่งบุหรี่จากต่างประเทศเพื่อนำเข้ามาจำหน่ายภายในประเทศโดยหลีกเลี่ยงภาษี และนำส่งให้กับร้านค้าจำหน่ายบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีในพื้นที่จังหวัดปัตตานี คณะพนักงานสืบสวนได้ทำการสืบสวนเป็นที่แน่ชัดแล้ว

เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2564 เวลา 13.00 น. นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ , นายมเหสักข์ พันธ์สง่า ผู้อำนวยการกองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค , นายพิเชฏฐ์ ทองศรีนุ่น ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ ร่วมกับสำนักงานสรรพสามิตภาคที่ 9 สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ปัตตานี กองกำกับการสืบสวนสอบสวนจังหวัดปัตตานี จึงได้มอบหมายให้ นายชยพล สายทวี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมเจ้าหน้าที่ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ ร่วมกับเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ทำการสืบสวน กรณีกลุ่มเครือข่ายผู้กระทำความผิดกฎหมายบริเวณชายแดนและชายฝั่งทะเล ตามเลขสืบสวนที่ 118/2564 โดยได้ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำการขอหมายค้นจากศาลจังหวัดปัตตานี จำนวน 4 หมาย และใช้อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติสรรพสามิต พ.ศ. 2560 สนธิกำลังร่วมกับ สรรพสามิต จังหวัดปัตตานี, สรรพสามิต ภาค 9, แผนกภัยความมั่นคงอื่น กองปฏิบัติการ สขว.กอ.รมน.ภาค 4 สน., กอ.รมน.จ.ปัตตานี, ศูนย์นิติวิทยาศาสตร์จังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปน.จชต.), กองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี (กก.สส.ภ.จว.ปัตตานี) และศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล) โดยได้เข้าทำการตรวจค้นร้านจำหน่ายบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี จำนวน 4 ร้าน และมีผลการตรวจค้น ดังนี้

    1. ร้านค้าเลขที่ 27/55 หมู่ 5 ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พบของกลางบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี จำนวน 133 ซอง พร้อมผู้ต้องหา จำนวน 1 คน
    2. ร้านค้าเลขที่ 77/1 ถนนจะบังติกอ ตำบลสะบารัง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พบของกลางบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี จำนวน 1,694 ซอง พร้อมผู้ต้องหา จำนวน 1 คน
    3. ร้านค้าเลขที่ 158/90 ถนนนาเกลือ ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พบของกลางบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี จำนวน 2,164 ซอง พร้อมผู้ต้องหา จำนวน 1 คน
    4. ร้าน KS STORE เลขที่ 113 ถนนสามัคคีสาย ก ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พบของกลางบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี จำนวน 22,233 ซอง พร้อมผู้ต้องหาจำนวน 1 คน

ผลการตรวจค้น รวมพบผู้กระทำความผิดจำนวน 4 ราย ใน 4 เป้าหมาย สามารถยึดของกลางบุหรี่ยี่ห้อต่างประเทศหนีภาษีคละยี่ห้อ ได้แก่ John Black, MILANO, DENVER, Marlboro, Manchester, Gold Mount, ORIS, GAMA, SENATOR, PLATINUM, FORT, AMAS, VESS, SPA, UP นับจำนวนได้กว่า 100 ลัง รวมบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีทั้ง 4 ร้าน มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 26,224 ซอง คิดคำนวณเป็นเงินค่าปรับตามกฎหมายประมาณ 19 ล้านบาท เบื้องต้นได้นำส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี เพื่อดำเนินคดีต่อไป โดยศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการปฏิบัติ เพื่อกดดัน สกัดกั้น ยับยั้ง ตัดวงจรเครือข่ายการค้าของสิ่งผิดกฎหมายในพื้นที่อย่างต่อเนื่องต่อไป

กรณีดังกล่าวอาจเข้าข่ายเป็นความผิดทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในบัญชีท้ายประกาศ กคพ. (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 ตามบัญชีท้าย ข้อ 11 และข้อ 12 ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน โดยคณะพนักงานสืบสวนจะรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน และเตรียมเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อมีคำสั่งให้ทำการสอบสวนกรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษต่อไป

ด้านนายณัฐกร อุเทนสุต ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบควบคุมทางสรรพสามิต ในฐานะโฆษกกรมสรรพสามิต กล่าวว่าผลการดำเนินงานตามมาตรการเชิงรุกในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 และจูงใจผู้ที่อยู่นอกระบบให้เข้ามาสู่ระบบภาษี ซึ่งที่ผ่านมา กรมสรรพสามิตได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตโดยระดมกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเฉพาะกิจจากสำนักตรวจสอบ ป้องกันและปราบปราม และเจ้าหน้าที่สรรพสามิต พื้นที่ทั่วประเทศพร้อมสนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันตรวจสอบและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมายสรรพสามิตตามพื้นที่เป้าหมายที่คาดว่าอาจมีการกระทำผิด เพื่อสร้างความเป็นธรรม โปร่งใส และ ความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการที่เสียภาษีโดยสุจริต และเพื่อเป็นมาตรการเสริมทางอ้อมในการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคให้บริโภคสินค้าที่ปลอดภัยและได้มาตรฐาน

สรุปยอดรวมในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 14 ตุลาคม 2564 พบว่ามีการกระทำผิด จำนวน 1,020 คดี คิดเป็นเงินค่าปรับ 28.97 ล้านบาท โดยแยกเป็น สุรา จำนวน 526 คดี ค่าปรับ 4.97 ล้านบาท ยาสูบ จำนวน 337 คดี ค่าปรับ 10.58 ล้านบาท ไพ่ จำนวน 14 คดี ค่าปรับ 0.19 ล้านบาท น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 24 คดี ค่าปรับ 8.35 ล้านบาท น้ำหอม จำนวน 8 คดี ค่าปรับ 0.50 ล้านบาท รถจักรยานยนต์ จำนวน 84 คดี ค่าปรับ จำนวน 1.63 ล้านบาท และสินค้าอื่น ๆ จำนวน 27 คดี ค่าปรับ 2.75 ล้านบาท โดยมีของกลางแยกเป็นน้ำสุรา จำนวน 5,028.360 ลิตร ยาสูบ จำนวน 21,957 ซอง ไพ่ จำนวน 822 สำรับ น้ำมันและผลิตภัณฑ์น้ำมัน จำนวน 251,020.000 ลิตร น้ำหอม จำนวน 12,171 ขวด รถจักรยานยนต์ จำนวน 98 คัน

“หากประชาชนท่านใดทราบเบาะแสการกระทำความผิดเกี่ยวกับสินค้าที่ต้องเสียภาษีสรรพสามิตสามารถแจ้งโดยตรงได้ที่กรมสรรพสามิต หรือสำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ หรือ Call center 1713 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่ www.excise.go.th ซึ่งกรมสรรพสามิตจะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้งเบาะแสเป็นความลับ นายณัฐกร กล่าว