21 สิงหาคม 2564 คณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายในระยะเร่งด่วน สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (สำนักงาน ป.ย.ป.) ชวนคุยผ่าน Clubhouse หัวข้อ “Thailand After Covid-19 เศรษฐกิจไทย จะไม่เหมือนเดิม” กับ 3 วิทยากร ดร.วิรไท สันติประภพ, ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฐ์ วิศิษฐ์สรอรรถ และศาตราจารย์กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
6 ข้อสังเกตการเปลี่ยนแปลงหลังโควิด-19
ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโควิด-19 แตกต่างจากเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเมื่อปี 2540 เนื่องจากครั้งนี้เป็นวิกฤติสาธารณสุข ทั่วโลกไม่ได้มีแผนรับมือมากนัก ขณะเดียวกันการแพร่ระบาดที่มากขึ้นทำให้เปลี่ยนรูปแบบจาก ‘Pandemic’ (โรคระบาดทุกพื้นที่) เป็น ‘Endemic’ (โรคประจำพื้นที่) ซึ่งจะกลายพันธุ์ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป และทำให้เศรษฐกิจในหลายพื้นที่ต้องหยุดชะงักลง
ดร.วิรไท ตั้งข้อสังเกตถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นหลังวิกฤติโควิด ดังนี้
(1) ความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจไทยจะเพิ่มสูงขึ้น โดยดร.วิรไทมองว่า เศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติจะเป็นในลักษณะ K Shape โดยจะการเปลี่ยนแปลงสองรูปแบบตามลักษณะของตัว K คือมีขาขึ้น คนกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ รายได้ไม่กระทบมากนัก ซึ่งเป็นคนกลุ่มเล็กในสังคม และขาลงคือ คนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจอย่างรุนแรง โดยเฉพาะคนที่เป็นรากฐานของระบบสังคม ทั้งหมดทำให้เห็นความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้นทั้งด้านทรัพย์สิน รายได้ และโอกาสทางสังคม
“เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีตั้งแต่วิกฤติต้มยำกุ้งที่เราเห็นแรงงานวัยทำงานจำนวนมากย้ายกลับสู่ต่างจังหวัด เราเคยเห็นคนย้ายเข้ามาอยู่ใน กทม. ในเมืองใหญ่ ในอุตสาหกรรมต่างๆ แต่รอบนี้คนหลายล้านคนย้ายกลับสู่ชนบท คนจำนวนมากจะไม่มีทางกลับมาทำงานแบบเดิมได้ เพราะรูปแบบการทำงานจะเปลี่ยนไป กำลังการผลิตก็เปลี่ยนไป ทำอย่างไรให้คนเหล่านี้อยู่ในต่างจังหวัดและมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย”
ดร.วิรไทกล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมาคนย้ายจากชนบทเข้าสู่เมือง ทำให้ต่างจังหวัดไม่ค่อยได้รับการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นภาคการเกษตร ปัญหาสังคม ปัญหาครอบครัว ยาเสพติด
ดังนั้นภาครัฐควรใช้โอกาสจากโควิด-19 พัฒนาให้ชนบทกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากแรงงานจำนวนมากในชนบทมีทักษะด้านเทคโนโลยี อีกทั้งต้องตั้งคำถามว่าคนที่ไม่มีต่างจังหวัดให้กลับ และเป็นคนที่อาศัยในเมืองที่ตกงานและไร้บ้าน จะอยู่อย่างไร
เพราะถ้าไม่แก้ปัญหาจะนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมในระยะยาว
(2) การทำธุรกิจจะเปลี่ยนไป จากผลกระทบโควิด-19 ส่วนใหญ่เป็นภาคบริการที่ต้องมีกิจกรรมพบปะกันซึ่งหน้า ขณะเดียวกันภาคบริการก็มีสัดส่วนรายได้ที่สูงเมื่อเทียบกับจีดีพีของประเทศ แต่หลายอุตสาหกรรมก็ไม่สามารถกลับไปทำธุรกิจแบบเดิมได้อีกต่อไป
“อย่างอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ต่อไปจะไปคาดหวังกรุ๊ปทัวร์ใหญ่คงเกิดขึ้นได้ยาก หรือจัดประชุมสัมมนา incentive travel คงไม่มีใครกล้ารับความเสี่ยงเป็นร้อยเป็นพันคน เราจะเห็นการเดินทางเป็นกลุ่มเล็กๆ มากขึ้น นักท่องเที่ยวก็ให้ความสำคัญกับสุขอนามัยที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อีกหลากหลายอุตสาหกรรมเกี่ยวกับภาคบริการ เช่น โรงภาพยนตร์ การประชุม ร้านอาหาร ก็ต้องปรับวิธีการให้บริการ ต้องให้ความสำคัญกับสุขอนามัยเพิ่มขึ้น”
ดร.วิรไท กล่าวต่อว่า โควิด-19 ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ภาคอุตสาหกรรมขยับมาใช้หุ่นยนต์มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจในยุคการแพร่ระบาดได้ เพราะหุ่นยนต์ไม่ติดเชื้อ ต้นทุนถูกลง อีกทั้งยังช่วยบริหารจัดการสต็อกสินค้าได้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการสร้างภูมิคุ้มกันเป็นหัวใจของการทำธุรกิจและการบริหารเศรษฐกิจ ซึ่งต้องทำไปพร้อมกันทั้งสองเรื่อง
“โควิดปีที่แล้วเราให้น้ำหนักกับสาธารณสุขมาก ทำให้ผลกระทบเศรษฐกิจค่อนข้างแรง แต่เมษายน (2564) ที่ผ่านมามีการระบาดแรง เราให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจมาก ก็เกิดปัญหากับสาธารณสุขมาก”
นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมทางภูมิอากาศหรือ climate changes จากที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าที่นักวิชาการเคยคาดการณ์ไว้ ทำให้หลายประเทศประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ไฟป่า ส่วนประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบโดยตรงเนื่องจากเป็นประเทศเกษตรกรรม กระทบถึงผลผลิต อีกทั้งแหล่งท่องเที่ยวชายหาดก็ได้รับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ชายหาดถูกกัดเซาะและน้ำเค็ม ทั้งหมดกระทบต่อภาคธุรกิจ
(3) ภูมิคุ้มกันด้านการเงิน โดยดร.วิรไทอธิบายว่า โลกปัจจุบันเต็มไปด้วยความผันผวน ดังนั้นทุกคนต้องมีเงินออมในระดับที่สร้างความมั่นคงทางการเงินได้ เพื่อรองรับความเสี่ยงใหม่ๆ
(4) การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะ Online to Offline Platform (O2O) คือการบริหารออนไลน์สู่ร้านค้า ประกอบกับทักษะและการใช้ประโยชน์จากดิจิทัลเทคโนโลยี ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังเรื่องความเหลื่อมล้ำเพราะมีคนที่เข้าไม่ถึงเทคโนโลยี
(5) การจัดการกำลังการผลิตส่วนเกินที่เกิดขึ้นในเศรษฐกิจหลายภาคส่วน พร้อมกับการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
ดร.วิรไทอธิบายว่าโควิด-19 ทำให้ธุรกิจล้มละลายจำนวนมาก เพราะไม่มีรายได้อย่างน้อยหนึ่งปีถึงสองปี โดยปลายปีที่แล้วมีการช่วยเหลือแบบให้สภาพคล่องเพื่อให้ธุรกิจพยุงต่อไปได้ แต่โจทย์ของธุรกิจขนาดกลางและย่อมไม่ใช่เรื่องสภาพคล่อง แต่เป็นเรื่องการไม่มีรายได้เข้ามา
(6) จากข้อที่ (5) นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้ และให้ภาครัฐมีบทบาทในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำมากขึ้น
“ภาครัฐจะได้รับความคาดหวังว่าต้องมีบทบาทมากขึ้น การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำและโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และทรัพยากรของภาครัฐจะน้อยลง เพราะฐานะการคลังของรัฐบาลอ่อนแอลงมากจากการกู้เงินมากระตุ้น ดูแลและเยียวยาเศรษฐกิจ คนจำนวนไม่น้อยมีแผลเป็นระยะยาวที่ภาครัฐต้องดูแลต่อเนื่อง”
“เมื่อเราคาดหวังว่ารัฐต้องทำงานมากขึ้น แต่มีทรัพยากรน้อยลง แปลว่ารัฐต้องเก่งขึ้นกว่าเดิมมาก ถ้ารัฐไม่เก่งจะมีปัญหาการคลังในอนาคต พร้อมกับที่ไม่สามารถแก้ปัญหาการปรับตัวทางเศรษฐกิจ เราต้องคิดอย่างจริงจังว่างบของภาครัฐจะบริหารจัดการอย่างไร ระบบราชการก็เทอะทะเมากขึ้น เรื่องกฎเกณฑ์กติกาใหม่ๆ เราอาจต้องคิดว่ารัฐจะมีบทบาทอะไร อะไรที่ภาคเอกชนทำได้ภาครัฐต้องทำไหม หรือภาครัฐทำหน้าที่สนับสนุนและตรวจสอบมากกว่าที่จะเป็นผู้ทำเอง และเรียนรู้วิธีทำงานร่วมกับภาคส่วนต่างๆ”
ตัวอย่างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนหรือภาคประชาสังคม เช่น การฉีดวัคซีน โรงพยาบาลสนาม ระบบฐานข้อมูลต่างๆ จำเป็นต้องใช้กำลังจากเอกชน แต่ก็ต้องใช้ทรัพยากรของภาครัฐด้วย
แก้กฎหมายหนี้ที่‘แข็งกระด้าง’ รับความต้องการภาคธุรกิจ
ด้านศาตราจารย์พิเศษวิศิษฐ์ วิศิษฐ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้ความเห็นในด้านการปรับแก้กฎหมาย-กฎเกณฑ์ให้สอดรับกับโลกยุคหลังโควิด-19 ว่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีกฎหมายจำนวนมากที่ไม่เข้ากับยุคสมัย ‘แข็งกระด้าง’ และล้าสมัย ซึ่งเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อโควิด-19 เข้ามาทำให้ภาครัฐต้องปรับตัวเพื่อลดระยะเวลาและขั้นตอนที่เกิดขึ้น
“การแก้ไขปัญหาหนี้เสียจะมีแนวทางที่จำเป็นและต้องดำเนินการหลายเรื่อง ปี 2540 มีการปรับปรุงกฎหมายส่วนกระบวนการยุติธรรมในแง่การฟื้นฟูกิจการ มันทำหน้าที่มันได้ดีระดับหนึ่ง การฟื้นฟูกิจการระดับใหญ่โดยเฉพาะสายการบินก็ใช้กฎหมายฉบับนี้”
“แต่โควิด-19 เราได้เสนอเรื่องนี้เพิ่ม 2 ส่วน ส่วนแรกรูปแบบเดิมเราเห็นว่ายังดำรงอยู่ เพียงแต่ธุรกิจขนาดใหญ่ต้องการฟื้นฟูกิจการอย่างรวดเร็วสามารถเจรจาภายนอกโดยไม่ต้องเข้ามาคุยในระบบศาล เพียงแต่ตกลงให้เรียบร้อยและสามารถมาใช้ระบบศาลภายใต้กฎหมายล้มละลายให้เร็วขึ้น ส่วนนี้เราเสนอแก้ไขกฎหมายล้มละลายให้เกิดขึ้นสำหรับกิจการที่มีหนี้เกิน 50 ล้าน ใช้การเจรจาเริ่มต้นเพื่อลดเวลาไปสู่ศาลได้”
“อีกส่วนคือธุรกิจจำนวนมากซึ่งเป็นเอสเอ็มอีตั้งแต่ 5 ถึง 50 ล้าน จำเป็นต้องปรับโครงสร้างหนี้ อาจปรับเพื่ออนาคตหรือปรับเพื่อระเวลาบางอย่าง เราพบว่ากรอบกฎหมายเดิมยังไม่มีความชัดเจน เราได้เสนอให้มีกลไกการปรับโครงสร้างหนี้มาใช้กับธุรกิจที่มีหนี้ไม่เกิน 50 ล้านเข้าไปในระบบ มีการเจรจาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้ มีการทำแผนฟื้นฟูกิจการ ให้ลูกหนี้ได้ทำแผนโดยไม่สลับซับซ้อนจนเกินไปและใช้เวลาไม่นาน ข้อเสนอส่วนนี้ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี”
ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฐ์ขยายความว่า การเสนอประเด็นกฎหมายให้เอสเอ็มอี จะทำให้ธุรกิจขนาดกลางถึงเล็ก ไม่จำเป็นต้องเจรจากับเจ้าหนี้ภายในศาลเท่านั้น เนื่องจากที่ผ่านมา กฎหมายจะบังคับโดยปริยายให้เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ เพราะต้องทำตามกระบวนการทางกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องอายุความที่ต้องฟ้อง ถ้าไม่ฟ้องจะเสียสิทธิต่างๆ ดังนั้นกระทรวงยุติธรรมจึงได้เสนอให้ไม่จำเป็นต้องเร่งรัด
“คนทำธุรกิจระดับย่อย ล้วนจำเป็นต้องเจรจากับเจ้าหนี้อยู่เสมอ ภายใต้แนวทางของธปท.ก็สนับสนุนให้เจรจาหนี้และมีกระบวนการสร้างผู้ไกล่เกลี่ย ประนีประนอม แต่มันมีข้อสำคัญที่ต้องดำเนินการแก้ไข เจ้าหนี้ไม่อยากฟ้องลูกหนี้ แต่มันมีข้อจำกัดที่กฎหมายเขียนไว้เอง เราจะพบว่ามีข้อเรียกร้องจากคนกลางเช่นธปท.หรือลูกหนี้และเจ้าหนี้ว่าไม่อยากฟ้องคดี แต่เขาจำเป็น ต้องถ้าไม่ฟ้อง ก็เป็นปัญหาการรับผิด”
“การเจรจาหนี้เกิดตั้งแต่ชั้นข้อพิพาท มีการเจรจาจำนวนมากที่เจ้าหนี้กับลูกหนี้เจรจาเมื่อแพ้ชนะคดีไปแล้ว นำไปสู่การยึดทรัพย์ แต่ถ้าเจรจากันได้ เมื่อมีการบังคับคดีกันแล้ว มีการยึดทรัพย์ลูกหนี้และขายทอดตลาด ถ้ามีการตกลงกันได้และถอนการยึด ฝ่ายลูกหนี้จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมร้อยละ 2 ถ้าจะลดปัญหานี้ได้ ต้องมีการยกร่างและสอบถามความเห็น คนจำนวนมากก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ปัจจุบันกำลังดำเนินการให้ออกเป็นกฎหมายได้โดยเร็ว”
อย่างไรก็ตาม ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฐ์ มองว่าเมื่อแก้กฎหมายหนี้แล้วจะต้องคำนึงถึง ‘กฎหมายต่างประเทศ’ เพราะผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยที่ต้องทำธุรกิจข้ามประเทศ ดังนั้นลำพังการแก้กฎหมายในประเทศอาจไม่เพียงพอ กระทรวงยุติธรรมจึงต้องพิจารณาและดำเนินการเรื่องการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศซึ่งมีอนุสัญญากำกับ
รัฐบาลต้องกล้าปฏิรูประบบกฎหมาย
ศาตราจารย์กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ นักกฎหมายและอาจารย์พิเศษกล่าวถึงประเด็นกฎหมายหลังยุคโควิด-19 ว่า กฎหมายหนึ่งที่ได้มีการเสนอคือ ‘ออกวีซ่าฉบับพิเศษให้นักลงทุนต่างชาติ 4 กลุ่ม’ ได้แก่ กลุ่มคนรายได้สูง คนเกษียณอายุ คนที่ทำงานที่ไหนก็ได้ในโลก และคนที่มีทักษะสอดรับกับอุตสาหกรรม 4 ประเภทที่รัฐบาลกำหนดคือ ไฟฟ้า ยานยนต์ ดิจิทัลและการแพทย์
ศาตราจารย์กิติพงศ์กล่าวต่อว่า ถ้าประเทศไทยสามารถดึง 4 กลุ่มข้างต้นเข้าประเทศได้อย่างน้อย 1 หมื่นคนและให้สิทธิพิเศษเรื่องภาษีเป็นระยะเวลา10 ปี จะมีเงินสะพัดอย่างน้อย 1 แสนล้านบาท และต้องแก้กฎหมายที่ดิน และพ.ร.บ.อาคารชุดฯ เพื่อให้สิทธิคนกลุ่มนี้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ได้
ศาตราจารย์กิติพงศ์ให้ความเห็นว่า กฎหมายหนึ่งที่เป็นปัญหาคือประเด็นที่เกี่ยวกับ ‘สภาพคล่อง’ โดยสิ่งที่ง่ายที่สุดที่รัฐบาลสามารถทำได้คือให้เงินกู้กับคนที่เสียภาษี โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักประกัน และให้ดอกเบี้ยต่ำหรือไม่มีดอกเบี้ย เพื่อให้คนกลุ่มนี้ทั้งประชาชนคนตกงาน และภาคธุรกิจนำเงินไปใช้ต่อได้ รัฐบาลควรนำภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) มาช่วยเหลือคนจน ไม่ใช่นำไปสร้างตึกหรือถนน
“ถ้าให้เร็วต้องออก พ.ร.ก. กระบวนการรัฐสภามันยาวนานและอาจถูกแปรญัตติจนผิดวัตถุประสงค์ ความยากคือในแง่การเมือง ถ้าพ.ร.ก.ไม่ผ่านสภา รัฐบาลต้องลาออก นี่เป็นจุดที่รัฐบาลต้องกล้าตัดสินใจ ประเด็นพวกนี้ ถ้าใช้ระบบเดิมไม่ไปไหน”
ศาตราจารย์กิติพงศ์ยกตัวอย่าง กฎหมาย EV (Electric Vehicle: รถระบบไฟฟ้า) ซึ่งมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องและต้องแก้ไขมากถึง 20-30 ฉบับ เช่น แบตเตอรี่ ปลั๊กไฟ คมนาคม ฯลฯ แม้ว่าประเทศไทยจะมีเขตอุตสาหกรรม EEC (Eastern Economic Corridor) ที่ให้สิทธิพิเศษต่างๆ แต่ก็ไม่ครอบคลุมถึงกฎหมายที่จำเป็นต่อการใช้รถระบบไฟฟ้าในระยะยาว
ศาตราจารย์กิติพงศ์กล่าวเสริมประเด็นการแก้กฎหมายวีซ่าเพื่อให้สิทธิพิเศษคนต่างชาติที่จะมาทำงานในไทยว่า กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงแรงงานจะต้องทำงานร่วมกัน ส่วนข้อโต้แย้งว่าถ้าให้สิทธิซื้ออสังหาริมทรัพย์จะเป็นการขายประเทศหรือไม่ ภาครัฐก็จะต้องกำหนดเงื่อนไขให้ชัดเจน ขณะเดียวกันก็สามารถทดลลองใช้กฎหมาย 5 ปีเพื่อประเมินว่าในทางปฏิบัติมีจุดอ่อนอย่างไร
ท้ายที่สุด ศาตราจารย์กิติพงศ์มองว่า สิ่งที่ต้องทำในช่วงโควิด-19 เพื่อให้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงหลังวิกฤติคือการทำให้ประเทศไทยมีโครงสร้างทางกฎหมายที่ดี มิเช่นนั้นจะมีปัญหาต่อระบบเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ดังนั้นรัฐบาลต้องกล้าปฏิรูประบบกฎหมาย