ThaiPublica > เกาะกระแส > โออาร์เดินหน้าโตแบบ Inorganic Growth เตรียมงบลงทุน 5 ปี 7.4 หมื่นลบ.

โออาร์เดินหน้าโตแบบ Inorganic Growth เตรียมงบลงทุน 5 ปี 7.4 หมื่นลบ.

19 สิงหาคม 2021


นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน)

วันที่ 19 สิงหาคม บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) (โออาร์) จัดแถลงข่าวผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2564 โดย นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ และคณะผู้บริหารระดับสูง ผ่านระบบออนไลน์

นางสาวจิราพร ขาวสวัสดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 มีกำไรสุทธิ 7,228 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,810 ล้านบาท หรือคิดเป็นกว่า 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากทั้งรายได้ขายและ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น โดยมีรายได้ขายและบริการสำหรับครึ่งปีแรก 237,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยปัจจัยหลักมาจากกล่มธุรกิจน้ำมันถึง 78.9% เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นจากเศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ทำให้ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณขายรวมลดลงเล็กน้อยเพียง 5% โดยหลักมาจากตลาดพาณิชย์ส่วนใหญ่ในน้ำมันอากาศยานที่ปริมาณขายยังไม่กลับมาเท่ากับช่วงก่อนโควิด-19

ทั้งนี้คาดว่า ปีนี้ปริมาณขายน้ำมันอาจจะลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน สาเหตุหลักมาจากน้ำมันอากาศยานที่ลดลง จากการห้ามเดินทาง แต่น้ำมันอากาศยานมีสัดส่วนคิด 10% ของพอร์ตโดยรวมเท่านั้น

“รายได้เพิ่มขึ้นจากกราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยใน 6 เดือนที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นจาก 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์เป็น 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลล์ ส่วนกำไรสุทธิถือว่าค่อนข้างสูง มีพีทีทีสเตชั่นจำนวน 2,367 สาขา สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนและสูงกว่าแผน” ส่วนธุรกิจร้านกาแฟอเมซอนสามารถเครื่องดื่มได้ถึง 151.1 ล้านถ้วย

ส่วนกลุ่มธุรกิจ Non-Oil รายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน ตามการขยายสาขาของร้าน Café Amazon ที่เพิ่มขึ้น สำหรับ EBITDA ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 จำนวน 11,867 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,126 ล้านบาท (76%) ยังคงความแข็งแกร่ง ทั้งกลุ่มธุรกิจน้ำมัน และ Non-Oil ที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นจากกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจน้ำมันและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

โดยในส่วนของ Non-Oil เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ภาครัฐใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับรอบแรกในปี 2563 ที่มีมาตรการในการควบคุมอย่างเข้มงวด มีการ Lockdown ทั่วประเทศไทย ตรงข้ามกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ ที่รุนแรงมากกว่าการระบาดรอบแรกในช่วงเดียวกันของปีก่อนส่งผลกดดันต่อกลุ่มธุรกิจต่างประเทศ ที่ผลการดำเนินงานลดลง

ฐานะทางการเงิน ณ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวม 199,557 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54,578 ล้านบาท (+37.6%) จากสิ้นปี 2563 โดยหลักมาจากเงินสดสุทธิที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 53,497 ล้านบาท บริษัทฯ มีหนี้สินรวมจำนวน 101,599 ล้านบาท ลดลง 5,464 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากการจ่ายคืนเงินกู้ สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นจำนวน 97,958 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60,042 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนของบริษัทฯ จากการ IPO ดังกล่าวข้างต้น และกำไรสุทธิในงวดครึ่งปีแรกของปี 2564 จำนวน 7,228 ล้านบาท

ทั้งนี้ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา โออาร์ มีความร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ เช่น การต่อสัญญาหลักความร่วมมือกับ CPALL ในการดำเนินการร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ในประเทศไทยออกไปอีก 10 ปี อีกทั้งยังมีความคืบหน้าในการเปิดจุดรับส่งพัสดุ (drop off point) ของ Flash Express จำนวน 10 จุดที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน และนำร่องจำหน่ายเมนู Grab & Go จาก “โอ้กะจู๋” ที่ร้านคาเฟ่ อเมซอน ในสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น วิภาวดี (ตรงข้ามมหาวิทยาลัยหอการค้า)

ด้านธุรกิจต่างประเทศซึ่งเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจ ที่ตั้งเป้าขยายไปใน 10 ประเทศก็ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยในรอบ 6 เดือนขยายสาขาพีทีที สเตชั่นในต่างประเทศ 4 สาขา เปิดร้านคาเฟ่อะเมซอนจำนวน 2 ร้าน และเปิดร้าน 7-11 ได้ 2 แห่ง ส่วนธุรกิจผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมนั้นม ยอดขายลดลง เนื่องจากประเทศอื่นก็ประสบกับการระบาดเช่นกัน เพราะธุรกิจหยุดชะงัก

ลงทุนเร่งการเติบโต

ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในหลายธุรกิจตามแนวทางการขยายธุรกิจที่ไม่ได้จำกัดเฉพาะการขยายสาขาแต่เน้นการเข้าไปลงทุน การซื้อกิจการ หลังจากได้พิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการประสานธุรกิจเข้าด้วยกัน เนื่องจากจะทำให้สามารถขยายธุรกิจได้อย่างรวดเร็วกว่าการเติบโดยจากภายใน

การขยายธุรกิจในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจแรก โออาร์ได้ร่วมจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด ร่วมกับบริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) โดยโออาร์ถือหุ้น 60% และบลูบิคถือหุ้น 40% เพื่อเร่งให้การพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับดิจิทัลของโออาร์เกิดผลเร็วขึ้น และสอดคล้องกับเป้าหมาย Digitized Drive Organization และบริษัทใหม่นี้จะเร่งให้เกิดการไปสู่ดิจิทัลเร็วขึ้น ทั้งการบริหารระบบสมาชิก(Loyalty Program) แอปพลิเคชั่น และต่อยอดธุรกิจที่เกี่ยวกับดิจิทัลให้มากขึ้น

ธุรกิจที่สอง โออาร์ได้เข้าลงทุนเพิ่มในกลุ่มธุรกิจแฟลช ผู้ให้บริการ E-Commerce ซึ่งนอกจากได้ให้บริการในไทยแล้ว ยังได้ให้บริการในฟิลิปปินส์ และลาว โออาร์เองก็มีบริษัทย่อยในทั้งฟิลิปปินส์และลาว จึงเห็นว่าการเพิ่มทุนนอกจากจะทำให้กลุ่มธุรกิจแฟลชดีขึ้นแล้ว ธุรกิจของโอาร์ในต่างประเทศก็จะได้รับผลบวกด้วย

ธุรกิจที่สาม โออาร์ได้ต่อสัญญาหลักความร่วมมือการดำเนินธุรกิจร้านค้าสะดวกซื้อในสถานีบริการน้ำมันเครือข่ายของโออาร์กับ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด(มหาชน) หรือ (CPALL) เพื่อดำเนินการร้านค้า 7-Eleven ออกไปอีก 10 ปีโดยที่สัญญาเดิมจะสิ้นสุดลงในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 การต่อสัญญาก่อนกำหนดครั้งนี้ เพื่อให้มีเวลาในการเตรียมการปรับปรุง ปิดสาขาตามสัญญาเดิม และเตรียมเปิดสาขาใหม่

เดินหน้าโตแบบ Inorganic

สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังของปีนี้ ยังมีความท้าทายอย่างมากที่ต้องฝ่าวิกฤติการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รุนแรงมากขึ้น โดย โออาร์ จะยังคงมุ่งเน้นการลงทุนในส่วนที่เกี่ยวกับการรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปจากวิกฤตโควิด-19 โดยเน้นการเพิ่มช่องทางออนไลน์ไปยังออฟไลน์ (O2O) มากขึ้น รวมถึงยังคงมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยเฟ้นหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพในการเติบโตและสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ โออาร์ ที่มุ่งเน้นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจพลังงานแบบผสมผสาน ตอบโจทย์คนเดินทางในทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างทางเลือกสำหรับการดำเนินชีวิตที่ครบวงจรเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ เพื่อสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกัน สร้างชุมชนที่น่าอยู่ และสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน

นางสาวจิราพรกล่าวถึงการขยายธุรกิจในกลุ่ม oil ว่า เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิดจึงคาดว่าในปีนี้จะเปิดสาขาได้ 95 สาขา จากที่ตั้งเป้าไว้ในแผน 110 สาขา ขณะที่ธุรกิจ fit auto ยังเป็นไปตามแผน และธุรกิจ EV station charger ในปีนี้ก็จะสามารถให้บริการ EV quick charge ในสถานีบริการได้ครบ 100 สาขา และจะมีจำนวนรวม 300 ในปีหน้า

ในกลุ่ม Non-oil นางสาวจิราพรกล่าวว่า การเปิดสาขาคาเฟ่อเมซอนยังเป็นไปตามแผนเปิด 420 สาขาในประเทศ เช่นเดียวเท็กซัสชิกเคน

“ด้านการร่วมทุน หรือการควบรวมกิจการ ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อเข้าร่วมลงทุนธุรกิจที่มีการเสนอให้พิจารณาลงทุน ด้วยจุดเด่นของโออาร์ทั้งในด้านสถานีบริการน้ำมันและคาเฟ่อเมซอน เมื่อเทียบกับเอ้าท์เล็ทในศูนย์การค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ พบว่า ธุรกิจทั้ง F&B และ non F&B ให้ความสนใจโลเกชั่นที่เป็นสถานีบริการน้ำมัน ทั้งในด้านการเข้าถึงของชุมชนและค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับห้างสรรพสินค้า”

ด้านธุรกิจในต่างประเทศทั้งสถานบริการน้ำมัน คาเฟ่อเมซอน ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด ทำให้การเปิดสถานีนำ้มันลดลงจาก 52 สาขาเหลือ 45 สาขา ส่วนคาเฟ่อเมซอนจะเหลือ 51 สาขาจาก 56 สาขา ส่วนการลงทุนกับเอกชนในเมียนมาเพื่อก่อสร้าง Terminal ท่าเทียบเรือ คลังเก็บ LPG มีความคืบหน้า 75% แต่สถานีบริการน้ำมันได้ชะลอลงทุน เนื่องจากหน่วยงานราชการเมียนมายังไม่ปฏิบัติงาน

การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุน 5 หมื่นกว่าล้านบาท ยังเป็นไปตามแผน โดยเน้นไปที่การขยายสาขาและคลังน้ำมัน รวมทั้งขยายด้าน non-oil ส่วนกระแสเงินสดยังเป็นไปตามเป้า ปัจจุบันมีเงินสดในมือราว 40,000 ล้านบาท การนำเงินไปขยายการลงทุนหรืองบลงทุน (CAPEX)โดยรวมมีจำนวน ประมาณ 74,600 ล้านบาท สำหรับช่วง 5 ปี(2021-2025) โดยเน้นไปในธุรกิจ non-oil และในธุรกิจต่างประเทศ รวมไปถึงการส่วนการทำ M&A และ JV ซึ่งปัจจุบันมีมากกว่า 10 ดีล แต่ยังไม่สามารถบอกได้ว่าภายในปีนี้จะสำเร็จได้เท่าไร

นอกจากนี้โออาร์ เตรียมขยายธุรกิจใหม่ คือโออาร์ สเปซ ( OR Space) เป็นธุรกิจค้าปลีกในพื้นที่ขนาดเล็ก คล้ายคอมมูนิตี้ มอลล์ โดยจะมีร้านค้าปลีกเพียง 3-4 แบรนด์ พร้อมทั้งติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าให้บริการชาร์จไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าด้วย

ธุรกิจ-สังคมต้องไปด้วยกัน

ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงรุนแรง โออาร์ มีความห่วงใยประชาชนและได้ดำเนินการเพื่อช่วยเหลือหน่วยงานและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลากหลายรูปแบบ ภายใต้โครงการ ส่งกำลังใจ..สู้ไปด้วยกัน #ORStayStrongTogether รวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเงินและสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ ให้กับโรงพยาบาล โรงพยาบาลสนาม มูลนิธิ ศูนย์พักคอย ตลอดจนชุมชนในพื้นที่โดยรอบสถานประกอบการของ โออาร์ ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 สนับสนุนบัตรเติมน้ำมันให้กับอาสาสมัครที่รับ-ส่งผู้ป่วยโควิด บริจาคน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซหุงต้มให้วัดเพื่อใช้ในการฌาปนกิจศพผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด และได้ร่วมกับผู้แทนจำหน่ายสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลในแต่ละจังหวัด

นางสาวจิราพรกล่าวว่า โออาร์เน้นเสมอ ตามแนวคิด together for Betterment ธุรกิจ สังคมต้องเติบโตไปด้วยกัน โดยในช่วงการระบาดของโควิดได้ร่วมกับโรงพยาบาล สนับสนุนศูนย์พักคอย รวมทั้งมีการบริจาคในรูปตัวเงิน ร่วมกับดีลเลอร์ให้กับผู้ว่าราชการ 7 จังหวัดและได้ร่วมกับกรุงเทพ มหานคร หอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดหน่วยบริการวัคซีน COVID-19 ให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ในสถานีบริการน้ำมัน PTT Station สาขาพระราม 2 ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ซึ่งสามารถฉีดวัคซีนได้ 1,800 คนต่อวัน และศูนย์นี้จะเปิดไปถึงสิ้นเดือนธันวาคม หรือจนกว่าจะสามารถฉีดวัคซีนในกรุงเทพฯได้ครบตามเป้า ซึ่งเตรียมงบประมาณไว้จำนวน 25 ล้านบาท

นอกจากนี้โออาร์ยังได้ได้จัดทำกล่อง “tOgetheR Box” ซึ่งเป็นชุดยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโควิด- 19 ที่ต้องแยกกักตัวที่บ้าน (Home Isolation Kit) เพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานต่าง ๆในการดูแลผู้ป่วยที่ต้องกักตัวที่บ้าน รวม 10,000 ชุด รวมมูลค่า 5 ล้านบาท ให้โรงพยาบาล และหน่วยงานต่าง ๆ

“เราไม่ทิ้งคู่ค้าของเราไม่ว่าจะเป็นซัพพลายเออร์ หรือในฝั่งลูกค้า เราก็มีการขยายระยะเวลาหนี้ให้ และดูแลกระบวนการอนุมัติจ่ายเงินให้คู่ค้าเร็วขึ้น เพื่อให้คู่ค้ามีสภาพคล่องที่ดีขึ้น รวมไปถึงการให้ส่วนลดค่าเช่าพื้นที่ ”

นอกจากนี้ โออาร์ยังได้ร่วมกับคู่ค้าทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น แฟลช LINE MAN Wongnai และโอสถสภา ในการจัดกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือชุมชนสังคมร่วมกัน อีกทั้งยังได้มอบความช่วยเหลือให้แก่คู่ค้า ลูกค้า ผู้แทนจำหน่าย และพนักงานที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19 ในรูปแบบต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทุกคนสามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปด้วยกัน