ThaiPublica > ประเด็นร้อน > COVID-19 พลิกโลก > “ซีอีโอไฟเซอร์” โต้การระงับสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 ติงจะทำให้ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนวิจัย-พัฒนาเป็นหมื่นล้านเหรียญ

“ซีอีโอไฟเซอร์” โต้การระงับสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 ติงจะทำให้ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยงลงทุนวิจัย-พัฒนาเป็นหมื่นล้านเหรียญ

11 พฤษภาคม 2021


ที่มาภาพ: https://www.theceomagazine.com/business/news/pfizer-ceo-albert-bourla-shares/

ในปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อัลเบิร์ต บูร์ลา ประธานและซีอีโอของไฟเซอร์ ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงพนักงานของไฟเซอร์ และโพสต์บนเว็บไซต์ของบริษัท โดยมีข้อความดังต่อไปนี้

เพื่อนๆ พนักงานทุกท่าน

การประกาศเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกาจะหารือเกี่ยวกับทางเลือกในการยกเว้นลิขสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ของวัคซีนโควิด-19 บางส่วน ได้สร้างความสับสนให้กับโลก ไฟเซอร์ได้ดำเนินการมากพอที่จะทำให้แน่ใจว่ามีการกระจายวัคซีนโควิด-19 ของเราอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมกันหรือไม่ การเสนอให้ระงับลิขสิทธิ์นี้ จะนำมาซึ่งแนวทางแก้ไขหรือสร้างปัญหาเพิ่มเติมหรือไม่ วันนี้ผมเขียนจดหมายถึงพวกคุณเพื่อถกเถียงเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้

  • สหรัฐฯ หนุนระงับสิทธิบัตรวัคซีนโควิด-19 ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย
  • การกระจายอย่างเป็นธรรมและเท่าเทียมคือทิศทางของเราตั้งแต่วันแรก เพื่อให้แน่ใจว่าทุกประเทศสามารถเข้าถึงวัคซีนโควิด-19 ของเรา จึงมีเงื่อนไข 2 ข้อ คือ ราคาที่ทุกคนสามารถจ่ายได้ และการผลิตวัคซีนที่เชื่อถือได้สำหรับทุกคน

    เงื่อนไขแรก นั้นสามารถทำได้ในช่วงแรกๆ ย้อนกลับไปในเดือนมิถุนายนปี 2563 เราได้ตัดสินใจที่จะเสนอวัคซีนของเราผ่านการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า ประเทศที่ร่ำรวยกว่าจะต้องจ่ายเงินในจำนวนประมาณค่าอาหารซื้อกลับบ้านและจะเสนอให้พลเมืองของตนฟรี ประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้รับการเสนอราคาในราคาประมาณครึ่งหนึ่งของประเทศร่ำรวย และประเทศที่มีรายได้ต่ำได้รับการเสนอราคาในราคาต้นทุน ชุมชนที่ยากจนที่สุดหลายแห่งจะได้รับวัคซีนจากการบริจาค

    ความเสมอภาคไม่ได้หมายความว่าเราให้ทุกคนเหมือนกัน ความเสมอภาคหมายถึงเราให้มากขึ้นกับผู้ที่ต้องการมากขึ้น

    ส่วนในเงื่อนไขที่สองนั้นท้าทายกว่ามาก แต่เรากำลังเข้าสู่เป้าหมายด้วยความเร็วที่น่าทึ่ง ต้องขอบคุณความสามารถในการคิดค้นและการทำงานอย่างหนักของนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร และบุคลากรที่มีทักษะ และการลงทุนของไฟเซอร์หลายพันล้านดอลลาร์ เราได้ประกาศว่า เราจะส่งมอบวัคซีนให้กับโลกในปริมาณมากกว่า 2.5 พันล้านโดสในปี 2564

    ในความเป็นจริงเป้าหมายภายในของเราคือ 3 พันล้านโดส ดังนั้นเราจึงวางใจในความมุ่งมั่นของเรา และคาดว่าจะ ส่งมอบได้ 3 พันล้านโดสในปีนี้ และ 4 พันล้านโดสในปี 2565 ซึ่งจำนวนนี้ไม่ได้เพื่อคนรวยหรือคนจน ไม่ใช่สำหรับทางเหนือหรือทางใต้ แต่สำหรับทุกคน

    เราได้ทำข้อตกลงที่จะส่งมอบให้ 116 ประเทศ และขณะนี้เราอยู่ระหว่างการเจรจาล่วงหน้ากับอีกหลายประเทศรวมประมาณ 2.7 พันล้านโดสในปี 2564 เมื่อสรุปข้อตกลงทั้งหมดเราคาดว่า 40% ของจำนวนนี้หรือมากกว่า 1 พันล้านโดส จะไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางและต่ำในปี 2564

    แต่นี่ก่อให้เกิดคำถามอื่นอย่างชัดเจน จนถึงวันนี้เราได้จัดส่งสินค้าไปแล้วประมาณ 450 ล้านโดสและส่วนที่เหลือยังเอื้อต่อประเทศที่มีรายได้สูง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเราวางนโยบายการกำหนดราคาตามกลุ่มลูกค้า (tiered pricing policy) เราได้ติดต่อกับทุกประเทศเพื่อขอให้พวกเขาทำการสั่งซื้อ เพื่อที่เราจะได้จัดสรรวัคซีนให้

    ในความเป็นจริงประเทศที่มีรายได้สูงจองซื้อในจำนวนมากที่สุด โดยส่วนตัวผมรู้สึกกังวลกับเรื่องนี้และผมได้ติดต่อไปยังประเทศที่มีรายได้ปานกลางและรายได้ต่ำหลายประเทศทางจดหมาย โทรศัพท์ และแม้แต่ส่งข้อความ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาจองซื้อเนื่องจากมีปริมาณจำกัด

    อย่างไรก็ตาม พวกเขาส่วนใหญ่ตัดสินใจสั่งซื้อกับผู้ผลิตวัคซีนรายอื่น เนื่องจากเทคโนโลยี mRNA ยังไม่ได้รับการทดสอบในเวลานั้น หรือเนื่องจากมีการเสนอทางเลือกการผลิตในประเทศ

    บางประเทศไม่อนุมัติวัคซีนของเรา น่าเสียดายที่ผู้ผลิตวัคซีนรายอื่นไม่สามารถปฏิบัติตามข้อผูกพันในการจัดหาได้ด้วยเหตุผลทางเทคนิคที่แตกต่างกัน ประเทศส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เลือกเราในตอนแรกได้หันกลับมาและต้องขอบคุณการผลิตที่เพิ่มปริมาณขึ้นมาอย่างโดดเด่นของเรา เราได้เริ่มลงนามในข้อตกลงการส่งมอบกับพวกเขา เราคาดว่าปริมาณจะมีมากขึ้นและเป็นประโยชน์กับพวกเขามากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 และจะมีปริมาณเพียงพอสำหรับทุกคนในปี 2565

    “เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมมีโอกาสให้ข้อเท็จจริงเหล่านี้กับผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกาและอธิบายว่า เหตุใดการเสนอระงับลิขสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาอาจกระทบต่อความคืบหน้านี้ได้ ซึ่งนำผมไปสู่คำถามที่สอง ที่ว่า การเสนอระงับลิขสิทธิ์จะช่วยทำให้สถานการณ์ด้านอุปทานดีขึ้นหรือสร้างปัญหามากขึ้นหรือไม่ และคำตอบของผมคืออย่างหลัง”

    เมื่อเราสร้างพัฒนาวัคซีนของเรานั้น ไม่มีการผลิต mRNA วัคซีนหรือยาในโลก เราต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานการผลิตตั้งแต่เริ่มต้น ด้วยแนวทางการผลิตที่มีคุณภาพที่สืบทอดมา 172 ปี การใช้เงินทุนจำนวนมาก และที่สำคัญกว่านั้น คือ กองทัพนักวิทยาศาสตร์ วิศวกรและบุคคลากรในการผลิตที่มีทักษะสูง เราได้พัฒนาเครื่องจักรการผลิตวัคซีนช่วยชีวิตที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด เท่าที่โลกเคยมีมา

    ปัจจุบันโครงสร้างพื้นฐานไม่ใช่คอขวดสำหรับเราที่ผลิตได้เร็วขึ้น ข้อจำกัด คือ การขาดแคลนวัตถุดิบที่มีความพิเศษมากซึ่งจำเป็นต่อการผลิตวัคซีนของเรา วัสดุหรือส่วนประกอบต่างๆ 280 ชนิดนี้ผลิตโดยซัพพลายเออร์จำนวนมากใน 19 ประเทศ หลายรายต้องการการสนับสนุนที่สำคัญของเรา (ด้านเทคนิคและการเงิน) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของพวกเขา

    ตอนนี้วัตถุดิบที่ผลิตได้แทบทุกกรัมจะถูกส่งไปยังโรงงานผลิตของเราทันที และจะเปลี่ยนเป็นวัคซีนที่เชื่อถือได้ในทันที และจัดส่งไปทันทีทั่วโลก (91 ประเทศจนถึงปัจจุบัน)

    การเสนอให้ระงับลิขสิทธิสำหรับวัคซีนโควิด-19 เป็นภัยต่อการไหลเวียนของวัตถุดิบ และจะเป็นผลให้มีการแย่งชิงปัจจัยสำคัญที่เราต้องการเพื่อผลิตวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ หน่วยงานที่มีประสบการณ์น้อยหรือไม่มีเลยในการผลิตวัคซีนมีแนวโน้มที่จะแสวงหาวัตถุดิบที่เราต้องการเพื่อยกระดับการผลิตของเรา ทำให้ความปลอดภัยและการปกป้องทุกคนตกอยู่ในความเสี่ยง

    และประเด็นสุดท้ายที่ผมขอทิ้งไว้ ผมกังวลว่าการระงับการคุ้มครองสิทธิบัตรจะทำให้ใครๆ ไม่กล้าเสี่ยง เราใช้เงิน 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่เราจะรู้ว่าเราสามารถพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จหรือไม่ เพราะเราเข้าใจว่าอะไรคือความเสี่ยง

    เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้อนุมัติให้ใช้จ่ายเพิ่มเติม 600 ล้านดอลลาร์ในการวิจัยและพัฒนาโควิด-19 ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเราสำหรับการวิจัยและพัฒนาในปี 2564 เป็นมากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ คำพูดล่าสุดจะไม่ทำให้เราท้อใจจากการลงทุนในวิทยาศาสตร์ต่อไป

    แต่ผมไม่แน่ใจว่า สิ่งเดียวกันนี้จะเป็นจริงสำหรับนักพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพรายย่อยหลายพันราย ที่พึ่งพาการเข้าถึงเงินทุนจากนักลงทุนที่ลงทุนเพียงเหตุผลเดียว นั่นคือ ทรัพย์สินทางปัญญาของพวกเขาจะได้รับการคุ้มครอง

    การยุติการแพร่ระบาดและการฉีดวัคซีนทั่วโลกถือเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ แต่ทำให้สำเร็จได้ เรายังคงมุ่งเน้นอย่างเต็มที่ในการส่งมอบวัคซีนที่มีคุณภาพสูง ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพให้กับผู้ป่วยทั่วโลกโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และเพื่อยุติการระบาดร้ายแรงนี้ และขอย้ำอีกครั้ง เราจะไม่ปล่อยให้การเมืองเป็นอุปสรรคขวางทางเรา และ

    เราจะทำในสิ่งที่ดีที่สุดต่อไป คือ สร้างนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้ป่วย

    ในเว็บไซต์หน้าเดียวกันนี้มีหมายเหตุสั้นๆ ว่า วัคซีน Pfizer-BioNTech COVID-19 ไม่ได้รับการรับรองหรืออนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) แต่ได้รับอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉินโดย FDA ภายใต้การอนุญาตให้ใช้ในกรณีฉุกเฉิน (EUA) เพื่อป้องกันโรคโคโรนาไวรัส 2019 (COVID-19) สำหรับใช้ในบุคคลอายุ 16 ปีขึ้นไป

    การใช้ผลิตภัณฑ์นี้ในกรณีฉุกเฉินจะได้รับอนุญาตเฉพาะในช่วงระยะเวลาของการประกาศว่ามีสถานการณ์ที่เหมาะสมในการอนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในกรณีฉุกเฉินภายใต้มาตรา 564 (b) (1) ของพระราชบัญญัติ FD&C เว้นแต่การประกาศจะสิ้นสุดลงหรือการอนุญาตถูกยกเลิกเร็วกว่านั้น