ThaiPublica > คอลัมน์ > เวียดนามกับปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ

เวียดนามกับปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ

16 มีนาคม 2021


วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่มาภาพ : https://www.bbc.com/news/world-asia-55728575

เศรษฐกิจเวียดนามมีชื่อเสียงโด่งดังในโลกและในบ้านเราจนมีคนสงสัยว่ามาแรงแซงโค้งได้อย่างไรและไล่เรามาอยู่ตรงไหนแล้ว ผู้เขียนเดินทางไปเวียดนามหลายครั้งในรอบกว่า 30 ปีที่ผ่านมาและได้สังเกตติดตามมายาวนานพอควร ขอนำสิ่งที่ไปค้นคว้ามาประกอบความเห็นส่วนตัวเล่าเรื่องเศรษฐกิจเวียดนามในวันนี้

เวียดนามรวมเป็นประเทศได้สำเร็จใน ค.ศ. 1976 หลังจากต่อสู้กับสหรัฐอเมริกา20 ปี และกับฝรั่งเศสอดีตเจ้าอาณานิคมก่อนหน้านั้น 50 ปี รวมเป็นเวลา 70 ปี ที่เวียดนามมีแต่การสู้รบหาความสงบไม่ได้ คนเวียดนามตายไปเพื่ออิสรภาพเป็นล้าน ๆ คน พรรคคอมมูนิสต์เวียดนามผู้ชนะตั้งหลักอยู่ 10 ปีอย่างงง ๆ กับสันติภาพหลังสงครามจนในปี 1986 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญคือนโยบายของพรรคคอมมูนิสต์เวียดนามที่มีชื่อว่า “โดย-เหม่ย”

นโยบายนี้คือการยกเครื่องประเทศโดยการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมภายใต้ระบบที่เรียกว่า socialist-oriented economy (ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดเสรีภายใต้แนวคิดสังคมนิยม) เลียนแบบจีนที่เริ่มประสบผลสำเร็จ ระบบนี้ประชาชนมีเสรีภาพทางเศรษฐกิจแต่ไม่มีเสรีภาพทางการเมือง (มีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ครองอำนาจ)

รัฐบาลดำเนินตามนโยบายนี้อย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่องจนภายในเวลา 30 ปี ได้เปลี่ยนแปลงจากประเทศที่ยากจนแห่งหนึ่งของโลกเป็นประเทศดาวรุ่งที่รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าตัวระหว่าง 1985-2017 (คนยากจนหายไปจากระดับ 72% ของประชากรเหลือเพียง 6%) กลายเป็นประเทศระดับรายได้ปานกลาง นอกจากนี้รายได้ต่อหัว (ปรับค่าครองชีพแล้ว) แซงหน้าฟิลิปปินส์ไปแล้ว และรายได้ต่อหัว (ทั้งปรับและไม่ปรับค่าครองชีพแล้ว) อยู่ประมาณครึ่งหนึ่งของไทย

มีอยู่ไม่ต่ำกว่า 4 ปัจจัย ที่เป็นสาเหตุของความสำเร็จของเวียดนาม คือ

    (1) เปิดรับการค้าเสรีกับต่างประเทศอย่างเต็มที่
    (2) ปฏิรูปภายในประเทศควบคู่กับการค้าเสรีด้วยการแก้ไขกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการค้า ลดต้นทุนของการประกอบธุรกิจ
    (3) ลงทุนอย่างมากในทรัพยากรมนุษย์และโครงสร้างพื้นฐาน
    (4) ต้นทุนค่าแรงต่ำและลักษณะเฉพาะของความเป็นเวียดนาม

ปัจจัยแรก ทำให้เวียดนามเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจโลกอย่างแนบแน่นจนปัจจุบันมูลค่าการส่งออกเท่ากับ GDP โดยมีสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นคู่ค้าสำคัญ เวียดนามเป็นสมาชิกการค้าเสรีแทบนับไม่ถ้วน 1995 ร่วมอยู่ในข้อตกลง ASEAN Free Trade / ในปี2000 จับคู่การค้าเสรีกับสหรัฐอเมริกา / 2007 สมาชิก WTO / 2018 สมาชิก CPTPP (เดิมชื่อ TPP มีสมาชิก 12 ประเทศ แต่สหรัฐถอนตัว จึงรวมตัวกันใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น CPTPP เริ่มมีผลตั้งแต่ 2018 ไทยมิได้เป็นสมาชิก) / 2020 สมาชิก RCEP ซึ่งมี 15 ประเทศของ Asia-Pacific โดยจีนเป็นผู้นำ (ไม่มีสหรัฐอเมริกา) ไทยเป็นสมาชิกด้วย และในปี 2020 ลงนามการค้าเสรีกับสหราชอาณาจักร

การร่วมเป็นสมาชิกการค้าเสรี ทำให้เกิดการลดภาษีขาเข้าและภาษีขาออกทีละน้อย เมื่อเวียดนามมีแรงงานอยู่มาก (ในประเทศ 95 ล้านคน มีอายุต่ำกว่า 35 ปีอยู่ครึ่งหนึ่ง) และค่าแรงต่ำ มีการลงทุนจากต่างประเทศมหาศาล การค้าต่างประเทศทำให้เพิ่มดีมานด์ของสินค้าและขยายโอกาสในการสร้างรายได้เข้าประเทศ

ปัจจัยข้อสอง ปฏิรูปภายในประเทศเพื่อให้สอดรับกับการเปิดประเทศเพื่อค้าเสรีในข้อ (1) โดยทำให้เกิดความคล่องตัวในการทำงานของกลไกตลาด การผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เป็นอุปสรรคทำให้การประกอบธุรกิจมีความสะดวก และสามารถดำเนินการได้รวดเร็วจนต้นทุนในการประกอบการต่ำ

ในปี 1986 มีการออกกฎหมายส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศและปรับแก้ไขให้สิทธิประโยชน์มากมายแก่นักลงทุนจากต่างประเทศพร้อมกับลดความล่าช้าจากกฎระเบียบอย่างสำคัญ

ปัจจัยสาม ลงทุนในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างมากเพื่อสร้างสมรรถนะในการแข่งขัน ตลอดจนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะอย่างยิ่งอินเตอร์เน็ตเพื่อสนับสนุนการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ

ทั้งสามปัจจัยเกื้อหนุนกันภายใต้การดำเนินงานของพรรคคอมมูนิสต์เวียดนามที่มีอำนาจเด็ดขาดในการดำเนินนโยบายอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ผ่าน “การสั่งได้” และการเลือกผู้นำพรรค (ผู้นำประเทศ) ที่มีความสามารถ ทั้งหมดนี้ได้ดำเนินตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมาโดยใช้บทเรียนจากจีน

ปัจจัยที่สี่ คนเวียดนามทนทุกข์ทรมานเพราะสงครามมายาวนาน เมื่อสงครามสงบสามารถรวมประเทศได้สำเร็จและมีอิสรภาพ ความกดดันภายในและความขยันบากบั่นมานะต่อสู้อันเป็นธรรมชาติของคนเวียดนามก็ระเบิดออกมา กอปกับโครงสร้างประชากรเอื้อให้มีคนในวัยแรงงานจำนวนมหาศาลในราคาถูกให้แก่อุตสาหกรรมจากต่างประเทศ เศรษฐกิจเติบโตในอัตรา 5-6% ต่อปีต่อเนื่องกันเป็นเวลานับสิบปีทำให้รายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ (จากเพียง 230 เหรียญสหรัฐในปี 1985 เพิ่มเป็น 3,498 เหรียญในปัจจุบัน)

ผู้นำคนสำคัญของเวียดนามในปัจจุบันคือ เหงียน ฟู ตร็อง วัย 77 ปี อยู่ในอำนาจครบ10 ปีในปีนี้ และเมื่อปลายเดือนมกราคม 2021 ในการประชุมพรรคสมัยที่ 13 ก็ได้ลงมติให้เขาเป็นต่ออีก 5 ปี ตร็องเป็นผู้นำประเภทนักวิชาการโดยแท้ เขาเรียนจบสองปริญญาเอกในด้านปรัชญาและกฎหมาย และจบปริญญาโทด้านการต่างประเทศจากมหาวิทยาลัยของเวียดนาม นอกจากนี้ยังได้ศึกษาด้านประวัติศาสตร์จาก Academy of Science จากสหภาพโซเวียดอีกด้วย

ตร็องได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากพรรค ถึงแม้เขาจะเป็นนักวิชาการ มาร์กซิสต์แต่เขาก็สามารถนำประเทศตามเส้นทางที่อยู่ห่างความเชื่อส่วนตัวของเขาอยู่มากจนกลายเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกว่าเป็น Economic Miracle (ปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ)

ปัจจุบันเวียดนามได้อานิสงส์อย่างมากจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน โรงงานใหญ่ต่างประเทศหลายแห่งในจีนได้ย้ายไปเวียดนาม จึงมีสินค้าที่ส่งออกมาจากการลงทุนของบริษัทใหญ่ทั่วโลก นอกจากนี้ความสามารถในการควบคุมโควิด-19 ได้อย่างน่าทึ่ง (ป่วย 2,448 คน ตาย 35 คน ถึงแม้ในขณะนี้จะระบาดระลอกใหม่ก็ตาม) ช่วยสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่นักลงทุนในการมีความสามารถฟื้นคืนกลับสู่สภาพเดิมหลังประสบความยากลำบาก (resiliency) ในขณะที่หลายประเทศเศรษฐกิจหดตัวในปี 2020 แต่เวียดนามกลับขยายตัว 2.9% เนื่องจากการส่งออกไปสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ตัวอย่างของการผลิตในเวียดนามได้แก่ชิ้นส่วนโทรศัพท์ Samsung สินค้ากีฬาของ Nike ผลิตภัณฑ์ของ LG / Olympus และ Pioneer บริษัทเสื้อผ้ารายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา และยุโรป (ในอาเซียนส่งออกเสื้อผ้ามูลค่าสูงสุด และส่งออกอิเล็กทรอนิกส์มูลค่าสูงสุดรองจากสิงคโปร์) อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ กาแฟ (พันธุ์ robusta โดยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่สุดของโลก) ไอพ็อดของ Apple ชิ้นส่วนของ Apple และ phone chip ของ Qualcomm (บริษัทใหญ่สุดของโลก) ฯลฯ

คนเวียดนามมีคุณภาพชีวิตที่สูงขึ้นมากโดยแลกเปลี่ยนกับการสูญเสียเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพทางการเมือง ปัญหาสิทธิมนุษยชน ตลอดจนปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาคอรัปชัน ฯลฯ ไม่มีใครตอบได้ว่าคุ้มหรือไม่ คนเวียดนามเท่านั้นที่สมควรเป็นผู้ตอบ

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ วันที่อังคาร 9 มี.ค. 2564