ThaiPublica > คอลัมน์ > ดึงดันทำให้ประเทศหยุดนิ่ง

ดึงดันทำให้ประเทศหยุดนิ่ง

31 มกราคม 2014


วรากรณ์ สามโกเศศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์

คนไทยพูดกันมากเรื่องจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์หรือไม่ จะเลือกตั้งได้ ส.ส. ครบ 500 คนหรือไม่ แต่เรื่องหนึ่งที่มักไม่ค่อยพูดกันก็คือ เมื่อใดที่เราจะได้รัฐบาลตัวจริงที่ไม่ใช่รักษาการ เพื่อทำให้ประเทศเรา “เดินหน้า”

ถ้าการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงตามความปรารถนาของรัฐบาลคือวันที่ 2 กุมภาพันธ์ และพรรคเพื่อไทยกับพรรคเล็กทั้งหมดร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะชนะได้ที่นั่งท่วมท้น แต่ก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้เพราะเปิดสภาไม่ได้เนื่องจากมี ส.ส. ไม่เกิน 95% ของ 500 คน หรือ 475 คน (ขาดได้ไม่เกิน 25 คน) เนื่องจากมีถึง 28 เขต (คน) ที่ไม่มีผู้สมัครเลย และมี 22 เขตหรือมากกว่าที่น่ากลัวว่าจะได้ไม่ครบ 2 เงื่อนไข คือ (1) ผู้ชนะได้คะแนนเกินกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิ์มาลงคะแนนเสียง และ (2) ได้คะแนนเกินกว่าคะแนนผู้ไม่ประสงค์จะเลือกใคร หรือ no vote ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย (ปกติมาลงคะแนนกัน 40% ของผู้มีสิทธิ์ ดังนั้นต้องได้คะแนนเกินกว่า 50% ของผู้มาลงคะแนนทั้งหมด) เมื่อคำนึงถึงบรรยากาศการเลือกตั้งในปัจจุบัน

ในกรณีปกติที่ไม่มีปัญหาเรื่องเลือกตั้งเลย เมื่อพรรคใดได้คะแนนมากสุดในสภาผู้แทนราษฎรและสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ถวายสัตย์แล้วและรัฐมนตรีดูฤกษ์ดูยามเริ่มเข้าทำงานก็เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 2 เดือนนับจากวันเลือกตั้ง ดังนั้น ประเทศจะ “เดินหน้า” ได้ก็ไม่หนีต้นเดือนเมษายน 2557 เป็นอย่างเร็วที่สุด

อย่างไรก็ดี ในสภาพเป็นจริงปัจจุบัน ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ในอีกหลายเขตอย่างแน่นอน (28 เขตเป็นอย่างน้อยที่สุด บวกหลายเขตที่มีปัญหาคะแนนและการจัดการเลือกตั้ง) สมมติว่าใช้เวลารวมอีก 2 เดือนกว่าจะตกลงกันได้ เวลาตั้งรัฐบาลได้เร็วที่สุดอย่างไรก็ไม่เร็วกว่าเดือนมิถุนายน แต่ถ้ามีการประท้วงต่อต้านการเลือกตั้งโดยผู้ลงคะแนนและประชาชน หรือหาผู้ร่วมมือเป็นกรรมการเลือกตั้งไม่ได้เวลาก็จะยืดออกไปอีก

เลือกตั้ง 2กพ.2557

ถ้าหลังเลือกตั้งมีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะรัฐธรรมนูญกำหนดให้เลือกตั้งทุกเขตพร้อมกันทั้งประเทศในวันเดียวกัน แต่การเลือกตั้ง 28 เขตที่ไม่มีผู้สมัครกระทำหลังวันนั้น และศาลเห็นด้วย การเลือกตั้งกุมภาพันธ์ก็เป็นโมฆะต้องเลือกกันใหม่ การ “เดินหน้า” ก็ต้องช้าไปอีก อาจถึงกรกฎาคมก็เป็นได้ และถ้าหากมีการประท้วงจนเปิดสภาไม่ได้ กว่าจะ ‘เดินหน้า’ ได้ก็อาจถึงสิงหาคม

การที่ประเทศ ‘เดินหน้า’ ไม่ได้เป็นเวลาตั้งแต่ยุบสภาเมื่อกลางเดือนธันวาคมจนถึงกรกฎาคม หรือสิงหาคม 2557 นั้นรวมเป็นเวลา 8-9 เดือน ลองคิดดูว่าประเทศจะเสียหายเพียงใด

อย่างไรก็ดี ในอีกฉากหนึ่งที่นายกรัฐมนตรีของรัฐบาลรักษาการลาออกทันทีซึ่งจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดหลุดจากตำแหน่งไปด้วย และมีรัฐบาลใหม่ที่วุฒิสภาซึ่งทำหน้าที่แทนสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือก หรือได้รัฐบาลซึ่งเป็นที่ยอมรับของ ‘มวลมหาประชาชน’ โดยมาจากการเลื่อนการเลือกตั้งออกไป การจัดตั้งรัฐบาลใหม่ก็กระทำได้ในเวลาอันสั้น ‘การเดินหน้า’ ก็เกิดขึ้นได้ในเวลาอันควร

ถ้ารัฐบาลชุดใหม่นี้ดำเนินการในเรื่องปฏิรูปประเทศไทยเป็นระยะเวลาหนึ่งดังที่ ‘มวลมหาประชาชน’ ต้องการเสร็จแล้วก็ต้องลาออกและจัดการเลือกตั้งเพื่อให้ได้รัฐบาลตัวจริงใหม่ การประท้วงในการเลือกตั้งก็จะหมดไปหากมีการพูดจาร่วมหารือกันทุกฝ่ายระหว่าง “การปฏิรูประเทศไทย” ในฉากนี้ประเทศก็จะไม่หยุด “เดินหน้า” เป็นเวลานานดังฉากการจัดเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์

การดึงดันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ให้ได้จนได้เสียงข้างมากในสภา จะทำให้การ ‘เดินหน้า’ เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน หรืออาจถึงสิงหาคม แต่เชื่อได้ว่ารัฐบาลก็ยากที่จะอยู่ได้นานเพราะจะไม่มีฝ่ายค้านตัวจริง

ประเด็นเรื่องความชอบธรรมและเกียรติภูมิของรัฐบาลในสายตาคนไทยและต่างประเทศเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะในยุคที่มวลชนจำนวนมาก “จุดไฟติด” เกิดความตื่นตัวไม่พอใจรัฐบาลเดิมซึ่งอยู่ภายใต้การครอบงำของครอบครัวเดียวในร่างของเผด็จการรัฐสภา รัฐบาลใหม่ซึ่งเป็นโคลนนิงของรัฐบาลเดิมจะถูกกดดันและบีบคั้นในทุกเรื่องที่กระทำไป โดยเฉพาะในเรื่องคอร์รัปชันของการจำนำข้าว ซึ่งเป็นเรื่อง ใหญ่ติดต่อมาและยุ่งจนเป็นลิงแก้แหไปแล้ว คลื่นลมในยุคที่ไม่มีฝ่ายค้านนั้นจะหนักหนาสาหัสกว่าในปัจจุบัน

การดึงดันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ จะไม่ทำให้สามารถรักษาอำนาจของรัฐบาลและพรรคพวกไปได้นานเกิน 6-7 เดือนข้างหน้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นช่วงเวลาของการรักษาการด้วย ดังนั้น ฉากนี้จะทำให้ประเทศ ‘หยุดนิ่ง’ เป็นเวลากว่า 4-5 เดือนอย่างค่อนข้างแน่นอน นอกจากนี้ยังมีทางโน้มสูงที่จะเสียเงินเลือกตั้งไป 3,800 ล้านบาทด้วยในกรณีที่ศาลตัดสินว่าเป็นโมฆะเพราะประเด็นกฎหมาย หรือกรณีที่รัฐบาลจำเป็นต้องยุบสภาอีกครั้งในเวลา 6-7 เดือนข้างหน้า

อย่าลืมว่าคนที่ไม่พอใจรัฐบาล ไม่พอใจการผูกขาดโดยครอบครัวเดียวที่พยายามจะกินหัวจดหางยังมีจำนวนอีกมากมายที่อยู่ที่บ้านแต่ไม่ได้ออกมาแสดงตน เมื่อรวมกับจำนวนผู้แสดงตนเป็น ‘มวลมหาประชาชน’ แล้วก็จะเห็นว่าคลื่นลมแห่งความไม่พอใจสถานการณ์เช่นนี้นั้นใหญ่โตมหาศาล และมันไม่ได้หายไปง่ายๆ จากใจคน เพราะพลังสึนามิมันได้เกิดขึ้นแล้ว

การลาออกของนายกรัฐมนตรีจะช่วยให้ประเทศ ‘เดินหน้า’ ไปได้ ไม่หยุดชะงักเป็นเวลาอีกหลายเดือนอย่างน่าใจหาย จะดื้อดึงไปทำไมในเมื่อรู้ว่าอย่างไรเสียก็ยากที่จะอยู่ได้ในเวลาข้างหน้าอันใกล้

ทั้งหมดนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงขวากหนามทางกฎหมายอีกมากมายซึ่งจะทำให้นายกรัฐมนตรีหลุดจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจำนำข้าว การแก้ไขมาตรา 190 กฎหมายนิรโทษกรรม (เรื่องยังไม่จบ) ฯลฯ ไปในทันที

ถ้าลาออกก็จะทำให้มีทางเลือกของการเดินทางในชีวิตส่วนตัวต่อไปกว้างขึ้น แต่ถ้ายังดึงดันเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ต่อไปก็เปรียบเสมือนกับบีบทางเลือกของตนเองให้แคบลงทุกที อันเนื่องจากการเพิ่มดีกรีของความไม่พอใจจากฝูงชน

ก็เมื่อรู้ว่าจุดจบมันจะเป็นอย่างไร ทำไมไม่เลือกเส้นทางเดินวันนี้ให้งดงามในประวัติศาสตร์ ดีกว่าจะให้ถูกกระชากลากถูไปอย่างไม่มีทางเลือกเมื่อวันนั้นมาถึง

ตีพิมพ์ครั้งแรก คอลัมน์ “อาหารสมอง” น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 21 ม.ค. 2557