ThaiPublica > คอลัมน์ > แจกเงิน 5 แสนล้าน คุ้มค่าหรือไม่

แจกเงิน 5 แสนล้าน คุ้มค่าหรือไม่

30 มีนาคม 2021


จิตติศักดิ์ นันทพานิช

สัปดาห์ก่อนหน้าสื่อ หลายสำนักรายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีท่าทีไม่พอใจต่อคำวิจารณ์ในเรื่องการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาลโดยเฉพาะมาตรการ “การแจกเงิน” โดยสื่อรายงานคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีตอนหนึ่งไว้ว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเรา (หมายถึงรัฐบาล) ต้องดูทั้งเรื่องของปัญหาสุขภาพ และเรื่องเศรษฐกิจไปพร้อมกัน “แต่ก็ไม่ใช่การแจกเงินแต่ทำให้ทุกคนสามารถยังชีพอยู่ได้ สนับสนุนห่วงโซ่ เรื่องการใช้จ่ายในสังคม ตามไปถึงผู้ผลิต ถ้าคนไม่มีกำลังซื้อต้องทำแบบนี้”

นับจากวิกฤติโควิดปะทุขึ้นเมื่อต้นปีที่แล้วรัฐบาลประยุทธ์งัดมาตรการ เยียวยา กระตุ้น และฟื้นฟูเศรษฐกิจ ด้วยการแจกเงินเพิ่มอำนาจการบริโภคมาต่อเนื่องโดยมีชื่อเรียกเปลี่ยนไปตามวาระเริ่มจาก เราไม่ทิ้งกัน (แจกเงิน 15,000 บาท 3 เดือน 15.3 ล้านคน ประมาณ 2.4 แสนล้านบาท) เราเที่ยวด้วยกัน (อุดหนุนการท่องเที่ยวและให้กำลังใจ อสม. รวม 2.2 หมื่นล้านบาท) คนละครึ่ง (อุดหนุนการบริโภค 10 ล้านคน คนละ 3,000 บาท) ล่าสุดคือ เราชนะ (แจกเงิน 7,000 บาท 31 ล้านคน)

งบประมาณที่รัฐบาลนำมาใช้ในมาตรการเยียวยา แจกเงิน หลักๆ มาจาก พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน ตามแผนที่รัฐบาลเคยแถลงก่อนหน้านี้ งบประมาณจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน จะกันไว้สำหรับเยียวยาเศรษฐกิจ 5.5 แสนล้านบาท ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 4 แสนล้านบาท อีกประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาทสำหรับภารกิจด้านสาธารณสุข

ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่าน นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง ออกมาเปิดเผยเกี่ยวกับมาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 (เฟส 2 สิ้นสุดเดือนมีนาคม) ว่าต้องต้องรอดูงบประมาณที่จะนำมาใช้ก่อนว่าเพียงพอหรือไม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาการใช้เงินจาก พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้าน โดยวงเงินสำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เต็มวงเงิน 5.5 แสนล้านบาท หากจำเป็นอาจพิจารณาใช้วงเงินที่ยังเหลืออยู่ 2 แสนล้านบาท ส่วนวงเงินเพื่อสาธารณสุขยังมีวงเงินเหลืออยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท (ไทยรัฐ 6 มี.ค. 64)

สรุปแล้วนับจากวิกฤติโควิดปะทุ รัฐบาลแจกเงินตามมาตรการเยียวยา ไปแล้วไม่น้อยกว่า 38 ล้านคน และเชื่อว่าหลายๆ คนได้รับมากกว่า 1 สิทธิ รวมงบประมาณราว 5.5 แสนล้านบาท และ พล.อ. ประยุทธ์ นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังยืนยันว่าจะทำโครงการคนละครึ่งต่อ โดยยืนยันว่าเงินกู้มีอยู่แล้ว

แม้มาตรการแจกเงินได้รับการยอมรับว่าดีที่สุด สำหรับสถานการณ์ที่เศรษฐกิจถดถอยอย่างเฉียบพลันจากวิกฤติโควิด เพราะสามารถ อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว และทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้น ตัวเลขจีดีพีปี 2563 ที่สภาวะถดถอยลดลง จากเดิมคาดการณ์กันว่าจะถดถอย 7-10% โดยประมาณ เหลือถดถอยเพียง 6% เศษโดยประมาณ หลังเศรษฐกิจถดถอยลงสู่จุดต่ำสุด ติดลบ 12.1%ในไตรมาสสอง (2563) นั้น มาตรการแจกเงินคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์เศรษฐกิจไม่เลวร้ายมากไปกว่านี้

แต่อีกด้านหนึ่งปฎิเสธไม่ได้เช่นกันว่า มาตรการแจกเงินไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจบ้านเราหลุดพ้นจากภาวะถดถอย การคาดการณ์เศรษฐกิจปีนี้ที่ขยับกลับมาเป็นบวกมาจากฐานทางเศรษฐกิจที่ทรุดต่ำในปี 2563 และมีประเด็นที่ต้องพิจารณาประกอบด้วย คือ เม็ดเงินมากกว่าครึ่งล้านล้านบาทที่รัฐบาลทุ่มแจกในช่วงปีเศษๆ ที่ผ่านมานั้น ทำให้เกิดการจ้างงาน การสร้างผลผลิต ทำให้เกิดตัวทวีคูณ ที่คุ้มค่าอย่างที่รัฐบาลคาดหวังหรือไม่ และเหลืองบประมาณการลงทุนเพื่อสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจเท่าไหร่

การประเมินความคุ้มค่าจากมาตรการแจกเงิน การแจกแจงงบประมาณที่เหลือสำหรับสร้างอนาคตทางเศรษฐกิจ และการแจกแจงกลยุทธ์ในการออกจากวิกฤติโควิด ทั้งแผนการฉีดวัคซีน ขั้นตอนเปิดประเทศ ที่เลื่อนจากปลายปีที่แล้วหลังเกิดการระบาดใหม่ที่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร อย่างเป็นเรื่องเป็นราว จะฟื้นให้ความเชื่อมั่นกลับมา หากมีความชัดเจนในส่วนต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมานั้น เชื่อว่าบรรดาเศรษฐีที่เก็บเงินออมไว้ในบัญชี 1.5-1.6 แสนล้านบาทโดยประมาณ คงนำเงินออกมาลงทุน บริโภค ฯ เพื่อช่วยดันเศรษฐกิจปีนี้ให้เติบโต 4% ตามที่ พล.อ. ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ คาดหวังแน่นอน