ThaiPublica > คอลัมน์ > หัวหน้ากบฏชื่อ Trump

หัวหน้ากบฏชื่อ Trump

15 มกราคม 2021


วรากรณ์ สามโกเศศ

ที่มาภาพ : dw.com2

ใครที่เห็นข่าวม็อบบุกเข้าไปในรัฐสภาอเมริกัน ทุบกระจกหน้าต่าง ทำลายข้าวของขโมยของมีค่าจากห้องผู้นำรัฐสภา รื้อของกระจุยกระจาย ฯลฯ จนมีคนตายไปถึง 5 คน คงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในสหรัฐอเมริกา โควิดระบาดจนคนติดเชื้อถึง 20.6 ล้านคน และตายไปกว่า 350,000 คน แล้วยังไม่วุ่นวายพอหรือ ผู้เขียนติดตามการเมืองอเมริกันอย่างค่อนข้างใกล้ชิดตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ขออาสาตอบข้อสงสัยว่า “มาถึงตรงนี้ได้อย่างไร” ในรูปแบบของปุจฉา-วิสัชนา ดังต่อไปนี้

รัฐสภาอเมริกันเคยถูกบุกเข้าไปโดยม็อบก่อนหน้านี้หรือไม่ คำตอบสั้น ๆ คือไม่เคย ในประวัติศาสตร์ของประเทศ 245 ปี ครั้งสุดท้ายที่รัฐสภาอเมริกันถูกบุกเข้าไปคือใน ค.ศ. 1812 เมื่อทหารอังกฤษบุกกรุงวอชิงตันและเผาอาคารรัฐสภาที่กำลังสร้างอยู่ การบุกเข้าไปในรัฐสภาครั้งนี้จึงเป็นเรื่องที่คนอเมริกันตกตะลึงเพราะนึกไม่ถึงว่าม็อบสนับสนุนประธานาธิบดี Trump จะบ้าคลั่งขนาดนี้

สหรัฐที่เป็นเสาหลักของระบอบประชาธิปไตยในโลกถูกประท้วงเหยียบย่ำหัวใจเพราะมีกลุ่มไม่เห็นด้วยกับผลการเลือกตั้งที่ฝ่ายตนเองแพ้ การกระทำแบบนี้มีแต่เฉพาะประเทศที่ฝรั่งเรียกว่า Banana Republics เท่านั้น (โยงใยกับประเทศในอเมริกาใต้ ประเทศที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทุกครั้งที่เปลี่ยนอำนาจ ฝ่ายแพ้ประท้วงและผู้นำฝ่ายแพ้ถูกจับใส่คุก บ่อยครั้งบุกเข้าไปในรัฐสภา) ประเทศเหล่านี้เป็นที่ ขบขำ ยิ้มเยาะของอเมริกันชน เมื่อเจอเข้าอย่างนี้เองจึงหัวเราะไม่ออก

ม็อบคิดอย่างไรถึงทำแบบนี้ เรื่องมันเริ่มที่สหรัฐมีประธานาธิบดีผู้บกพร่องทางจริยาธรรม ไม่รู้ประวัติศาสตร์อเมริกาหรือโลกเพราะไม่ชอบการอ่าน หลงตัวเองขนาดหนัก ขี้โม้อวดรวยอวดฉลาด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น โดยเนื้อหาจริง ๆ แล้วเขาเป็นนักต้มตุ๋น(con man) ไม่มีหลักการอะไรในชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือตัวเขาเองและเงิน ใครจะตายจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ (ถึงรู้ว่าหน้ากากอนามัยป้องกันโควิดได้ เขาก็ไม่แนะนำให้ใส่เพราะในตอนแรกเขาไม่อยากเลียนแบบจีนเพราะสาวกของเขาเกลียดจีน เกลียดคนต่างชาติ นิยมแต่คนผิวขาว ไม่ชอบให้ใครมาบังคับใส่หน้ากากเพราะเป็นนักเสรีนิยม เมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้เขาก็เลยไม่ใส่ถึงแม้จะมีหลักฐานชัดเจนขึ้นทุกทีของประโยชน์ในการใส่ก็ตาม) มันกลายเป็นว่าคนใส่หน้ากากคือพวกคู่แข่ง ถ้าเป็นพวกเขาต้องไม่ใส่ ไม่ว่าจะชุมนุมฟังเขาหาเสียงคนแน่นในที่คับแคบอย่างไรเขาก็ไม่ใส่ (จนติดเชื้อ โชคดีที่เป็นประธานาธิบดีได้รับการรักษาอย่างดี) สาวกของเขาก็เลยพลอยทำตามจนติดกันงอมแงม

สาวกของ Trump เซ่อซ่าขนาดนี้เชียวหรือ Trump ลงสมัครเลือกตั้งครั้งแรกก็ได้เป็นประธานาธิบดี ที่เคยทำถนัดมือคือหนีภาษี วุ่นวายเรื่องผู้หญิง โกงไม่จ่ายเงินให้คนรับจ้างทำงาน เป็นนักธุรกิจที่ธุรกิจเคยล้มละลายมาแล้วถึง 6 ครั้ง ที่เขาเก่งคือการพูดโน้มน้าวใจคน สร้างภาพเก่งว่าเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ร่ำรวย (จริง ๆ แล้วเชื่อว่ามีหนี้อยู่มหาศาล) ต้องการรับใช้ชาติให้สหรัฐกลับมาเป็นพลังยักษ์ของโลกอีกครั้ง (โรงงานสหรัฐย้ายไปตั้งในจีน เม็กซิโกและประเทศอื่น ๆ มากมายเพราะต้นทุนต่ำกว่าทำให้คนอเมริกันว่างงานมาก)

กลยุทธ์ของ Trump คือปรับตัวเข้าไปเป็นผู้นำคนที่มีการศึกษาน้อย อยู่ในชนบทหวาดหวั่นกับการผงาดขึ้นมาของจีน ไม่พอใจกับการตกต่ำของสหรัฐตามที่ Trump บอก หวั่นเกรงการมีประธานาธิบดี Obama ซึ่งเป็นคนผิวสี (Trump บอกว่าต่อไปคนผิวขาวจะไม่เป็นคนส่วนใหญ่ของสหรัฐ ซึ่งเป็นการโกหกคำโต) เมื่อกลายเป็นฐานการเมืองของเขาTrump ก็โกหกสาระพัดเรื่องเพื่อ “การต้มตุ๋น” ของเขาได้ผล

คนรวยและคนมีการศึกษาที่เป็นสาวก Trump ก็มีไม่น้อย คนเหล่านี้ไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูดเพราะรู้ว่าพูดไม่จริง แต่ไม่แคร์เพราะเชื่อในตัว Trump ที่จะสร้างประโยชน์ให้แก่พวกเขา (Trump ลดภาษีมหาศาลให้แก่ธุรกิจขนาดใหญ่และคนมีเงิน) คนเหล่านี้มองเห็นผลประโยชน์ในเวลาสั้น ละเลยการพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการได้คนไม่มีคุณลักษณะเหมาะสมมาเป็นประธานาธิบดี

เรื่องม็อบบุกเริ่มจากการแพ้เลือกตั้งของ Trump เมื่อ 3 พฤศจิกายน 2563 Trump บอกว่าถูกโกง แท้จริงแล้วเขาชนะท่วมท้น ไม่ว่าไปที่ไหนก็พูดตลอด พร่ำบ่นเป็นคาถาจนตัวเองเชื่อ สมุนรอบข้างก็เชียร์สิ่งที่เขาอยากได้ยิน (Trump เกลียดคนที่ไม่เห็นพ้องกับเขา ไม่ซื่อสัตย์กับตัวเขาเพราะเขาคิดว่าเมื่อเขาแต่งตั้งแล้วก็ต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเขามากกว่าประเทศหรือประชาชน) Trump ยื่นคำฟ้องต่อศาลในหลายรัฐเป็นร้อยคดีเพื่อยับยั้งการนับคะแนน (ที่ตามอยู่) เพื่อไม่ให้ยืนยันคะแนนของทางการ ฯลฯ โดยอ้างว่ามีการทุจริตในการเลือกตั้งอย่างกว้างขวาง แต่ไม่สามารถหาหลักฐานประกอบการฟ้องได้ ศาลจึงไม่รับฟังสักคดีเดียว

ต่อมา Trump ก็ป่วนการยืนยันคะแนน Electoral College ซึ่งแต่ละรัฐประชุม (คนได้คะแนนมากสุดของแต่ละรัฐได้คะแนน Electoral ไปทั้งหมด ใครได้คะแนนนี้เกินครึ่งหนึ่งคือ 270 ก็เป็นประธานาธิบดี) แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ระหว่างทางก็โทรข่มขู่เชิงติดสินบนเจ้าหน้าที่ยืนยันการนับคะแนนของรัฐ ให้ประท้วงว่าได้มีการทุจริตเกิดขึ้นจริง แต่ก็ไม่เป็นผล

จุดสุดท้ายที่จะล้มผลการเลือกตั้งที่เขาแพ้ไปก็คือจุดไฟม็อบให้ลามไปถึงการบุกประท้วงการประชุมของรัฐสภาซึ่งประชุมครั้งสุดท้ายเพื่อยืนยันผลการเลือกตั้ง คนเชื่อกันว่า Trump อยู่ในโลกของตนเองว่าไม่แพ้ มนุษย์ yes รอบตัวก็บอกว่าสู้ได้ เขาจึงลุยส่ง twitter พร้อมกับพูดกับสาวกในการชุมนุมว่าเขาไม่แพ้ เขาถูกโกงขอให้แสดงกำลังในวันนั้นให้เต็มที่ สาวกผู้หลงใหลก็แห่กันไปประท้วงและรุนแรงจนเข้าไปในรัฐสภาดังกล่าวแล้ว

สื่อรายงานว่าตำรวจรัฐสภาอ่อนแอ เหมือนกับจะเป็นพวก Trump เปิดประตูให้เข้าไป บางส่วนก็ทุบกระจกปีนเข้าไป มีภาพที่ตำรวจรัฐสภา selfie กับม็อบด้วย ผู้ว่าการรัฐMaryland ได้รับโทรศัพท์จากสมาชิกวุฒิสภาของรัฐตนขอความช่วยเหลือ เขาก็โทรไปหลายแห่งเพื่อขออนุญาตเอากำลังเข้าไปแต่ก็ไม่เป็นผล เป็นเวลาหลายชั่วโมงจึงสามารถส่งเข้าไปช่วยได้ สื่อกำลังสาวความว่ามีการรู้กันกับพวก Trump หรือเปล่าซึ่งกำลังเล่นไพ่ใบสุดท้ายด้วยการสร้างความปั่นป่วนในรัฐสภาจนสมาชิกต้องแอบอยู่ใต้โต๊ะเมื่อม็อบบุกเข้าไปตอนที่กำลังประชุมเพื่อยืนยันผลการเลือกตั้ง แผนของ Trump คือเมื่อวุ่นวายมากได้ที่ เขาก็จะประกาศกฎอัยการศึก ไม่ให้มีการสาบานตนในวันที่ 20 มกราคม รักษาอำนาจไว้ต่อไป จากนั้นก็หาทางล้มการเลือกตั้ง และกลับเข้ามาอีกครั้ง

Trump ได้อะไรจากการบุกสภาครั้งนี้ไหม ? คำตอบคือ Trump แพ้อย่างหมดรูปคือ (1) มีการควบคุมม็อบให้ออกไปอย่างได้ผลและรัฐสภาก็ประชุมต่อ ยืนยันว่า Biden เป็นผู้ชนะ (2) Trump ถูกประณามอย่างหนักจากทุกฝ่ายว่าเป็นคนปลุกปั่น (เขาทำอย่างเปิดเผย) ชี้แนะให้เกิดการกบฏ(insurrection) ซึ่งถือว่าทรยศต่อประเทศ มีเสียงให้จับเขา ให้ impeach อีกครั้ง (3) รัฐมนตรีและทีมงานลาออกกันนับสิบเพื่อประท้วงการบุกเข้ารัฐสภาที่มีเจ้านายเป็นหัวหน้าปลุกปั่น (4) โอกาสกลับมาอีกในปี 2024 ลดน้อยลงเป็นอันมากเพราะการกระทำของเขา (5) การยกโทษทางกฎหมายให้พรรคพวก หรือแม้แต่ตนเองในเวลาที่เหลือไม่กี่วันทำได้ยากมากขึ้น (6) การไปช่วยหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสภาในรัฐ Geogia ทำให้เเพ้ทั้งสองคน จนทั้งสองสภาตกอยู่ในอนาคของพรรคเดโมแครต

ไม่น่าเชื่อว่าคนสหรัฐจะเลือกคนเช่นนี้ถึง 74.2 ล้านคน ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่เก่าแก่และเข้มแข็ง คำถามก็คือถ้าปรากฎการณ์เช่นนี้ยังสามารถเกิดกับสหรัฐได้ แล้วประเทศอื่น ๆ ที่อ่อนแอกว่ามากในระบอบนี้จะต้องทำอะไรบ้างเพื่อไม่ให้เกิดการซ้ำรอย

หมายเหตุ : ตีพิมพ์ครั้งแรกคอลัมน์ “อาหารสมอง” นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ 12 ม.ค. 2564