ดร.สุทธิ สุนทรานุรักษ์
ช่วงเวลาแห่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ตั้งแต่ต้นปี 2020 สะท้อนภาพความเป็น “อนิจจัง” ของการพัฒนาเศรษฐกิจที่วิกฤติ Covid-19 ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และส่งผลต่อการปรับตัวครั้งสำคัญที่นำไปสู่ “วิถีปกติใหม่” หรือ New Normal
ย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2019 มีหนังสือเล่มหนึ่งที่อธิบายภาพอนาคตของภูมิรัฐศาสตร์โลก (Geopolitics) ไว้ได้น่าสนใจ โดยเฉพาะบทบาทของเอเชีย ความเป็นเอเชีย และชาวเอเชียในศตวรรษที่ 21
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า The Future is Asian: Commerce, Conflict, and Culture in the 21st Century เขียนโดย ดร.ปารัค คานนา (Dr. Parag Khanna) นักภูมิรัฐศาสตร์ชาวอินเดีย
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2020/10/the-Future-is-Asian.jpg)
ก่อนที่ผู้เขียนจะเข้าสู่เนื้อหาการรีวิวหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนขออนุญาตเล่าภูมิหลังของ ดร.ปารัค คานนา ให้ฟังพอสังเขป
ดร.ปารัค คานนา เกิดที่อินเดีย เติบโตในยูเออี นิวยอร์ค และเยอรมนี เรียนจบปริญญาตรีและโทด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจาก Georgetown University ‘s School of Foreign Service ประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะข้ามฝั่งมาเรียนจบปริญญาเอกจาก London School of Economics
ดร.คานนา มีประสบการณ์ทำงานกับ World Economic Forum เคยได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Esquire ให้เป็นหนึ่งใน 75 ผู้ทรงอิทธิพลแห่งศตวรรษที่ 21…
นอกจากนี้เขายังมีผลงานเด่น ๆ เช่น เป็นที่ปรึกษาให้กับ US Intelligence Council Global Trends 2030 เคยเป็น Research Fellow ที่ Brookings Institution และ Lee Kuan Yew School of Public Policy
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2020/10/ปารัค-คานนา.jpg)
ด้วยความที่สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการวิเคราะห์ภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ (Geoeconomics) ทำให้ ดร.คานนา มีผลงานด้านนี้ออกมาแล้ว 5 เล่ม ได้แก่
-
(1) The Second World: Empires and Influence in the New Global Order
(2) How to run the World,: Charting Course to the Next Renaissance
(3) Connectography: Mapping the Future of Global Civilization
(4) Hybrid Reality: Thriving in the Emerging Human-Technology Civilization
(5) Technocracy in America : Rise of the Info-State
สำหรับงานชิ้นล่าสุดที่เพิ่งตีพิมพ์ออกมา คือ The Future is Asian: Commerce, Conflict, and Culture in the 21st Century ได้อธิบายเหตุผลว่าเพราะเหตุใด ศตวรรษที่ 21 จึงเป็นศตวรรษของเอเชียอย่างแท้จริง
บทรีวิวหนังสือเรื่องนี้ ผู้เขียนวางโครงร่างไว้ 2 ส่วน โดยส่วนแรก ผู้เขียนขออนุญาตหยิบประเด็นน่าสนใจ 4 ประเด็นที่ได้จากการอ่านหนังสือเล่มนี้ และส่วนที่สอง ผู้เขียนจั่วเป็นหัวข้อไว้ว่า ทำไมเราจึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้
The Future of Asia ไม่ใช่ตำราวิชาการทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดร.คานนา เลือกใช้ภาษาที่ค่อนข้างง่าย อ่านสนุกและเพลิดเพลินไปกับความรู้ใหม่ ๆ
ดร.คานนา วางโครงสร้างหนังสือเล่มนี้โดยแบ่งออกเป็น 10 บท เขียนร้อยเรียงเชื่อมโยงบทบาทของภูมิภาคเอเชียและภูมิภาคอื่น ๆ ได้น่าสนใจ เช่น บทที่ 5 Asians in the Americas and Americans in Asia บทที่ 6 Why Europe Loves Asia but Not (Yet) Asians หรือ บทที่ 7 The Return of Afroeurasia
เคยมีการเปรียบเปรยไว้ว่า ในศตวรรษที่ 19 เป็นศตวรรษของยุโรป หรือ Europeanization ศตวรรษที่ 20 เป็นศตวรรษอเมริกา Americanization ขณะที่ศตวรรษที่ 21 คือ ศตวรรษของเอเชีย หรือ Asianization
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2020/10/คานนา.jpg)
สี่ประเด็นสำคัญของ Asianization
…คำว่า Asianization คือ หัวใจสำคัญของหนังสือเล่มนี้ เพราะอย่างน้อยที่สุด เรามองเห็นประเด็นสำคัญจากหนังสือเล่มนี้อยู่ 4 ประเด็น กล่าวคือ
1.ศตวรรษที่ 21 คือ ศตวรรษแห่ง Asianization หรืออนาคตของชาวเอเชีย ที่ไม่ได้เป็นของประเทศจีนหรือชาวจีนเพียงฝ่ายเดียว
แม้ว่า จีน คือ มหาอำนาจในศตวรรษที่ 21 เป็นตัวแทนของทวีปเอเชียและเผ่าพันธุ์มองโกลอยด์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความเป็นเอเชียนั้นมีมากกว่าความเป็นจีน
… ดร.คานนา ชี้ให้เห็นถึงความหลากหลายของชาติพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียที่ไล่เรียงกันตั้งแต่ อาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย เรื่อยมาถึง ชาวอุษาคเนย์อย่างพวกเรา
ด้วยเหตุนี้ ความเป็น Asianization จึงไม่ได้ยึดติดอยู่ที่จีน ถึงแม้จีนจะเป็น “พี่ใหญ่” แห่งเอเชีย แต่ความหลากหลายในภูมิภาคเอเชียนั้นไม่สามารถทำให้จีนเปลี่ยนเอเชียไปได้ทั้งหมด
2.เอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คือ คลื่นลูกใหม่แห่งการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ประชากรในภูมิภาคเอเชียมีถึง 5 พันล้านคน ประชากรเหล่านี้อาศัยอยู่ตามอนุภูมิภาคต่าง ๆ ของทวีปเอเชีย…เฉพาะแค่อินเดีย (1.353 พันล้านคน: ข้อมูลปี 2018) และจีน (1.393 พันล้านคน: ข้อมูลปี 2018) จำนวนประชากรรวมกันเกินครึ่งหนึ่งภูมิภาคเอเชียเข้าไปแล้ว
ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจภูมิภาคเอเชียนั้น นับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง เราอาจแบ่งคลื่นพัฒนาเศรษฐกิจเอเชียได้คร่าว ๆ ดังนี้
- คลื่นลูกแรก ช่วงทศวรรษที่ 60 เป็นยุคการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เพิ่งฟื้นฟูหลังแพ้สงคราม ต่อมา
- คลื่นลูกที่สอง ช่วงทศวรรษที่ 70-80 หรือที่เรารู้จักในชื่อเสือเศรษฐกิจ (Asia Tiger) คลื่นลูกนี้นำโดยเกาหลีใต้ ไต้หวัน ฮ่องกง และสิงคโปร์
- คลื่นลูกที่สาม เป็นยุคที่จีนเปิดประเทศ หลังจากนโยบายสี่ทันสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง ผลิดอกออกผล คลื่นลูกนี้ทำให้จีนเริ่มผงาดตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 และก้าวขึ้นมากลายเป็นมหาอำนาจใหม่
- อย่างไรก็ดี คลื่นลูกล่าสุด คลื่นลูกที่สี่ ที่ ดร.คานนา มั่นใจว่าคลื่นลูกนี้ คือ อนาคตของเอเชียเช่นกัน เมื่อการเติบโตและการพัฒนาขยับมาอยู่ที่เอเชียใต้ (South Asia) ซึ่งไม่ได้มีแค่อินเดียเพียงอย่างเดียว หากมีปากีสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา
…ขณะเดียวกัน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (South East Asia) ยิ่งโดดเด่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อรวมจำนวนประชากรของทั้งเอเชียใต้และอาเซียนเข้าด้วยกัน พบว่า สูงถึง 2.5 พันล้านคน หรือครึ่งหนึ่งของประชากรชาวเอเชียเลยทีเดียว
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2020/10/สี-จิ้นผิง-620x414.jpg)
นับตั้งแต่ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ขึ้นครองอำนาจ โครงการ อิไต้อิลู่ หรือ Belt and Road Initiative ถูกผลักดันออกมาอย่างเป็นรูปธรรม การลงทุนก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย การก่อสร้างทางรถไฟ และสนับสนุนโครงการรถไฟความเร็วสูง เพื่อเชื่อมแผ่นดินเอเชียเข้าด้วยกัน พร้อม ๆ กับการเชื่อมภูมิภาคยุโรปด้วยเส้นทางสายไหมสายใหม่
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ทำให้ภูมิทัศน์เศรษฐกิจการเมืองระหว่างประเทศกำลังเปลี่ยนแปลงไปในศตวรรษที่ 21 จีนใช้ The Asian Infrastructure Investment Bank (AIIB) เป็นเครื่องมือในการพัฒนา ลงทุนขยายสาธารณูปโภคด้านต่าง ๆ ไปทั่วทั้งเอเชีย ยุโรป และแอฟริกา
กล่าวกันว่า AIIB ขึ้นมาเทียบเคียงองค์กรโลกบาลด้านเศรษฐกิจอย่าง World Bank ที่มีสหรัฐอเมริกาหนุนหลัง และ IMF ที่มียุโรปแบคอัพให้
ดร.คานนา มองว่า BRI และ AIIB คือ จิ๊กซอว์สองตัวสุดท้ายที่ทำให้ Asianization ผงาดขึ้นมาในศตวรรษที่ 21 นี้
![](https://thaipublica.org/wp-content/uploads/2020/10/ศตวรรษเอเชีย1-620x383.png)
4.ค่านิยมเอเชียสามประการ (Three Asian values) หนังสือ The Future is Asian ไม่ได้กล่าวถึงการพัฒนาเศรษฐกิจหรือการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียเพียงอย่างเดียว หากแต่ ดร.คานนา ยังเชื่อมโยงถึงบริบททางการเมือง สังคม วัฒนธรรม ตลอดจนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาคนี้
ความเป็น Asianization ทำให้ ดร.คานนา ตั้งข้อสังเกตถึงการสร้างค่านิยมใหม่ของเอเชีย 3 ประการ ได้แก่
-
(ก) การมีระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ยึดโยงกับเหล่า “ขุนนางนักวิชาการ” หรือเทคโนแครต (Technocratic governance)
(ข) การใช้ระบบทุนนิยมแบบผสมผสาน (Mixed capitalism) ที่มีรัฐยังคงเป็นทุนหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
(ค) การยังคงรักษาจารีตบางอย่างทางสังคมไว้ (Social conservation)
น่าสนใจว่ามุมมองดังกล่าวดูจะ “ย้อนหลัง” ไปเมื่อสามสิบหรือสี่สิบปีก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของเหล่าเทคโนแครตในการบริหารราชการแผ่นดินก็ดี หรือ การใช้ระบบทุนนิยมที่มีรัฐเป็นตัวนำขับเคลื่อนก็ดี อย่างไรก็ตาม หากมองจากสายตาของชาวเอเชียด้วยกันก็น่าคิดว่า ค่านิยมที่คานนาอธิบายนั้นเป็นเรื่องเฉพาะในบริบทเอเชียที่ดูจะไม่มีวันเดินไปบรรจบตามค่านิยมแบบอเมริกันหรือยุโรป
หากแต่เป็นค่านิยมแบบเอเชียที่ยังมีอะไรบางอย่างที่สะท้อนว่า ท้ายที่สุดแล้ว กลไกรัฐ กลไกระบบราชการก็ยังเป็นสิ่งชี้นำในสังคมเอเชียที่ “ขาดเสียมิได้”
ขณะเดียวกันในแง่ของการมี Social conservation นั้น แม้เรื่องสิทธิเสรีภาพต่าง ๆ จะเบ่งบานไปทั่วเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ เสรีภาพของสื่อในการรายงานข่าวที่มีมากกว่าแต่เดิม การเปิดโอกาสในการแสดงความเห็นในสื่อสังคมออนไลน์…
แต่เอาเข้าจริงแล้ว สังคมเอเชียยังคงมีจารีตบางอย่างที่ “พึงระมัดระวัง” มากกว่าจะเปิดเผยอย่างอิสระ เมื่อเปรียบเทียบกับสังคมตะวันตก
ทำไมเราจึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผู้เขียนหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อใน YouTube เกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ การอภิปรายต่าง ๆ ของ ดร.ปารัค คานนา..ผู้เขียนชื่นชมนักภูมิรัฐศาสตร์ท่านนี้ตรงที่ไม่ได้นำเสนอภาพความเป็นวิชาการมากเกินไป หากแต่อธิบายและนำเสนอข้อมูล บทวิเคราะห์ด้วยเนื้อหาที่ง่าย กระชับ ตรงประเด็นและมองเห็นว่าอนาคตข้างหน้าที่เราทุกคนต้องเผชิญนั้น เราควรจะปรับตัวอย่างไร
ผู้เขียนตั้งโจทย์กับตัวเองว่า ทำไมเราจึงควรอ่านหนังสือเล่มนี้
คำตอบที่ได้มีสามข้อ กล่าวคือ
- (ก)The Future of Asia ทำให้เข้าใจระบบคิดความเป็นเอเชีย หรือ Asia system ซึ่งเป็นรากฐานเดิมแท้ของเรา ความเป็นเอเชียมีความละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยปรัชญาโดยเฉพาะเป็นปรัชญาตะวันออกจากจีน อินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย…ความเป็นเอเชียสอนให้เราเคารพอ่อนน้อม ถ่อมตนต่อทุกสรรพสิ่ง ซึ่งแสดงถึง “วิถีของคนเอเชีย” ซึ่งผู้เขียนเห็นด้วยกับค่านิยมเอเชียที่ ดร.คานนา ชี้ให้เห็นว่า เรายังคงรักษาจารีตบางอย่างทางสังคมไว้อยู่
หลายปีมานี้ ผู้เขียนสนใจการพัฒนาเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ Emerging economy ซึ่งหลายประเทศอยู่ในเอเชีย เช่น กลุ่มประเทศ “สถาน” ในเอเชียกลาง หรือ กลุ่มประเทศเอเชียใต้ ด้วยเหตุผล คือ ประเทศเหล่านี้มีจุดเด่นที่แตกต่างกันไป แต่ที่มีจุดร่วมกันอยู่อย่างหนึ่ง คือ…
วิธีคิดในการพัฒนาประเทศตนเองให้เติบโตได้ภายใต้บริบทแวดล้อมของประเทศตัวเอง ไม่ใช่ “สูตรสำเร็จ” ที่ต้องเดินตามโลกตะวันตกเพียงฝ่ายเดียว
เช่นกัน The Future of Asia ทำให้เราเห็นว่า ระบบคิดแบบเอเชียนั้นสามารถแผ่อิทธิพลและกลมกลืนกับวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลกได้ในทุกด้าน โดยเฉพาะการสร้าง Soft power ผ่านช่องทางต่าง ๆ นั่นทำให้เราภูมิใจในความเป็นเอเชีย
- (ข)The Future of Asia ทำให้เราเห็นการพัฒนาของยุคโลก “หลายขั้ว” หรือ Multipolar แนวคิดการพัฒนาไม่จำกัดเฉพาะแค่วิถีแบบจีนหรือวิถีแบบอเมริกัน หากแต่เราเห็นการพัฒนาของโลกยุคใหม่ที่มีทั้งเอเชียใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เอเชียกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา กลุ่มประเทศแปซิฟิก
…คำว่า “หลายขั้ว” นี้ทำให้เรามองเห็นความแตกต่างหลากหลายที่เป็นผลผลิตจากโลกาภิวัตน์ การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้โลกทั้งถูกย่อส่วนและทำให้แคบลง คำว่า Connectivity หรือ เชื่อมโยงนั้น มีทั้งการเชื่อมโยงผ่านการเดินทางที่สะดวกขึ้นและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสาร ที่รวดเร็วมากขึ้น
ความเชื่อมโยงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนทำให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้นำไปสู่การพัฒนา การพัฒนานำไปสู่ความเจริญ…นี่คือ คุณค่าที่แท้จริงจากการพัฒนาของโลกหลายขั้ว โลกที่ไม่ได้จำกัดแค่ “ค่ายจีน” หรือ “ค่ายอเมริกา” หากแต่มีความหลากหลายทางภูมิภาค วิธีคิด มุมมองภายใต้พื้นถิ่นของตนเอง
- (ค)The Future of Asia ดูเหมือนจะตอกย้ำว่าวิกฤต Covid-19 เป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของ ภูมิภาคเอเชีย…หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ก่อนวิกฤต Covid-19 ทำให้เรายังไม่มี Scenario ที่แสดงถึงศักยภาพรัฐและผู้คนในการรับมือกับวิกฤตโรคระบาด อย่างไรก็ดี พลันที่ Covid-19 ปรากฏขึ้นเมื่อต้นปี 2020 นั้น เราได้เห็นภาพการจัดการกับวิกฤตของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ได้แจ่มชัดขึ้น
สำหรับเอเชีย แล้ว แม้จีนจะเป็นประเทศแรกที่เผชิญวิกฤติ ผลจากการ Lockdown อู่ฮั่น แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลจีนจัดการเรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี
มิพักต้องเอ่ยถึง “ไต้หวัน” ที่เป็นเป็นต้นแบบในการจัดการวิกฤติรอบนี้ได้ดีเยี่ยม อย่างไรก็ดีด้วยความหลากหลายของเอเชีย ประเทศในเอเชียใต้ ไม่ว่าจะเป็นอินเดียหรือบังกลาเทศ กลับยังต้องสาละวนกับการแก้วิกฤต Covid-19 อย่างไม่เห็นทางออกมากนัก เช่นเดียวกับในอาเซียน ที่บ้านเราได้รับการยกย่องจาก WHO ว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศต้นแบบในการจัดการวิกฤตครั้งนี้ได้ดี แต่หันไปมองรอบกาย ทั้งเมียนมาร์ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ หรือ มาเลเซีย เพื่อนบ้านเราก็ยังหนักใจกับโรคระบาดครั้งนี้อยู่
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเราก้าวเข้าสู่ยุค New Normal แล้ว ศตวรรษที่ 21 ก็ยังคงเป็นศตวรรษของเอเชียอันเรืองรองและเป็นความหวังของพวกเราชาวเอเชียต่อไป