ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เห็นชอบเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศ ธ.ค.นี้ – มติ ครม.เคาะ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” จ้าง 6 หมื่นคน

นายกฯ เห็นชอบเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศ ธ.ค.นี้ – มติ ครม.เคาะ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” จ้าง 6 หมื่นคน

6 ตุลาคม 2020


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

นายกฯ เห็นชอบจัดเลือกตั้ง อบจ. ทั่วประเทศ ธ.ค. นี้ ส่วน อปท. ที่เหลือทยอยจัดปีหน้า — มติ ครม. เคาะ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” จ้างงาน 6 หมื่นคน-ผ่านงบผูกพัน 5,574 ล้าน สร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

สั่งทบทวนโครงการสร้างอุดมการณ์รักชาติ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนักเรียนโรงเรียนเบญจมราชูทิศ จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้แสดงความเห็นต่างระหว่างที่โรงเรียนจัดบรรยายโครงการเสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติโดยเจ้าหน้าที่ทหาร แล้วถูกผู้บริหารโรงเรียนเชิญผู้ปกครองมาพบ ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันจนติดแฮชแท็ก #เบญคอน พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้สั่งให้ทบทวนแล้ว ช่วงนี้มีปัญหาอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ก็พอทำได้ ซึ่งตนได้ตรวจสอบแล้วเป็นโครงการของ ศอ.บต. และเป็นเรื่องของจิตอาสา ตนได้สั่งให้ปรับปรุงแล้ว อะไรที่ไม่จำเป็นอย่าเพิ่งมาทำในตอนนี้ หาวิธีอื่นทำไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านการเมือง แต่จุดมุ่งหมายของเราคือ เสริมสร้างอุดมการณ์รักชาติ ปลูกจิตสำนึกของประชาชน ก็ต้องหาวิธีการที่เหมาะสม ก็ไม่อยากให้เป็นภาระ หรือเป็นปัญหา

นำ ครม. ชุดใหม่ถวายสัตย์ 11 ต.ค. นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงเหตุผลที่ตัดสินใจเลือกนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ทั้งที่ปฏิเสธมาตลอดว่า เรื่องบางเรื่องผมพูดก่อนก็ไม่ได้ จนกว่าจะได้ข้อยุติ ผมคิดว่านายอาคมเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลานี้ และมีประสบการณ์ด้านการเงินการคลังเป็นอย่างดี ที่ผ่านมาก็มีการเสนอชื่อผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหลายคน แต่ผมตัดสินใจเลือกนายอาคม นอกจากจะมีประสบการณ์ด้านนี้แล้ว ยังสามารถทำงานการเมืองได้ด้วย บางคนอาจไม่ชอบ แต่ไปชอบอีกคน ผมขอให้ดูผลงาน ผลงานของรัฐมนตรีว่าการกระรวงการคลังคือผลงานของรัฐบาล โดยในวันที่ 11 ตุลาคม 2563 ผมจะนำคณะรัฐมนตรีทั้งหมดเข้าเฝ้าเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณ และจะเริ่มทำงานตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม 2563 เป็นต้นไป

แปลกใจ! หายเฉพาะ “เก้งเผือก” สีอื่นอยู่ครบ-สั่งตั้ง กก. สอบสวนแล้ว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณี “เก้งเผือก” หายว่า เรื่องเก้งเผือกหาย กำลังตั้งคณะกรรมการสอบสวน เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเอง ก็ไม่สบายใจในเรื่องนี้ ผมได้กำชับไปว่าต้องตรวจสอบให้ได้ ตัวที่ 1 พบเป็นโครงกระดูก ก็ต้องไปตรวจสอบว่าใช่หรือไม่ ตัวที่ 2 มีลูกและถูกงูกินเข้าไปอยู่ในท้องงู แต่แปลกงูทำไมกินเฉพาะเก้งสีขาว เพราะมันเชื่องเกินไปหรือไม่ เก้งสีอื่นไม่กิน แปลกดีเหมือนกัน รวมทั้งตัวที่ 3 ที่หายไปด้วย ก็คงต้องรอผลการสอบสวน แต่อย่ารีบสรุปสาเหตุ หรือ ตัดประเด็นใดออกไป ทุกเรื่องต้องมีคำตอบ ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ทำงานก่อน

ประเดิมเลือกตั้ง อบจ. ภายใน ธ.ค. นี้ ที่เหลือทยอยจัดปีหน้า

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามความคืบหน้าเรื่องการเลือกตั้งท้องถิ่นว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลอยู่แล้ว ในการจัดให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น แต่ที่ล่าช้าเพราะที่ผ่านมาามีทั้งเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 และการผ่านร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2564 ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมการไปแล้วในระดับหนึ่ง แต่ที่มีความพร้อมมากที่สุดก็ อบจ. วันนี้ ครม. จึงมีมติให้มีการเลือกตั้ง อบจ. ก่อนภายใน 60 วัน คาดว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในเดือนธันวาคม 2563 ส่วนการกำหนดระยะเวลาในการดำเนินการนั้นเป็นเรื่องที่ กกต. ต้องไปดำเนินการเองต่อไป

“ส่วนการเลือกตั้งท้องถิ่นประเภทอื่น เช่น องค์การบริหารส่วนตำบล, เทศบาล, กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา คาดว่าปีหน้าคงทยอยจัดการเลือกตั้งได้ แต่ต้องเตรียมความพร้อมในเรื่องงบประมาณควบคู่กันไปด้วย แต่ที่สำคัญผมอยากให้มีการเลือกตั้งที่มีความโปร่งใส เป็นธรรม ไม่ทุจริต ได้คนดีมาทำงานในท้องถิ่นเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าว

แจงคดี “บอส อยู่วิทยา” ออกหมายแดงแล้ว เจอจับทันที

พล.อ. ประยุทธ์ ชี้แจงความคืบหน้าในการดำเนินคดีอาญา และลงโทษวินัยเจ้าหน้าที่รัฐ นักการเมืองที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการไม่สั่งฟ้องนายวรยุทธ อยู่วิทยา ตามข้อเสนอของคณะกรรมการชุดนายวิชา มหาคุณ ว่า เรื่องนี้ขอให้ติดตามการทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กำลังสรุปรายงานมาอยู่ เรื่องการกระทำความผิดอันหนึ่ง แต่อีกเรื่องที่ต้องทำต่อไป คือ การฟ้องดำเนินคดี ก็ออกหมายแดงไปแล้วในขณะนี้ ทุกอย่างมีความก้าวหน้าตามลำดับ หมายแดงไปแล้ว สามารถจับกุมได้ทันที และฟ้องคดีใหม่เข้าไปได้อีก ไม่ต้องกังวล

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องความเชื่อมโยงกับใคร ต้องสอบสวนกันอีก ใครโยงใครกันอย่างไร ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบ 5 ฝ่าย ทั้งนี้ ป.ป.ท. กำลังบูรณาการกันอยู่ตรงส่วนนี้ จะมีผลการสอบสวน ผลการดำเนินการอย่างไร ต้องรายงานมาเป็นระยะๆ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ก็รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องทำแบบนี้ เพราะนายกรัฐมนตรีจะไปตัดสินใครผิด ใครถูกไม่ได้ เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรม ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ก็อยู่ในระหว่างการนำเข้ากระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง ด้านสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดที่มีข้อบกพร่องอยู่ ก็ต้องลงโทษ และประสานอินเตอร์โพลออกหมายแดงไปแล้ว

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า โดยภาพรวมก็มีความคืบหน้า แต่ต้องให้เวลาบ้าง หลายเรื่องที่เกิดขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทุจริต การกระทำผิด เรื่องอะไรต่างๆ ก็เกิดขึ้นก่อนหน้ารัฐบาลนี้ บางเรื่องก็เกิดในรัฐบาลนี้ เราจำเป็นต้องดำเนินการ และตอบคำถามประชาชนให้ได้ ที่ผ่านมามีหลายคดีไม่เคยถูกดำเนินการ แต่มาปรากฏในรัฐบาลชุดนี้ เราก็ต้องดำเนินการ รัฐบาลของผมไม่เคยนิ่งนอนใจในเรื่องพวกนี้ ถ้ามีหลักฐานจะต้องดำเนินการก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายทุกประการ ไม่มีการช่วยเหลือใครทั้งสิ้น ผมยืนยันอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องของกลไกต่างๆ ต้องไปตามดู ไม่ใช่นายกฯ คนเดียวจะไปเนรมิตได้ทุกอย่าง นายกฯ ทำงานด้วยระบบ ทำงานด้วยกฎหมาย ทำงานด้วยระเบียบ กฎกติกาทั้งหมดพยายามรักษาไว้ให้ได้ เชื่อเถอะเดี๋ยวก็มีอะไรออกมาอีก ผมคิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่หลายสิ่งหลายอย่างจะปรากฏออกมา ปัญหาอยู่ที่ใครบ้าง ทำความดีกันเถอะ ไว้พระ ทำบุญเข้าวัด ทำกุศลมากๆ เชื่อว่าประเทศไทยจะพ้นภัย

มติ ครม. มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกฯ (ซ้าย-ขวา)
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เคาะ “1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย” จ้างงาน 6 หมื่นอัตรา

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ (1 ตำบล 1 มหาวิทยาลัย) ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ภายในกรอบวงเงิน 10,629.600 ล้านบาท แบ่งออกเป็นค่าจ้างงาน 60,000 อัตรา งบประมาณ 7,920 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการ/กิจกรรมที่จะเข้าไปดำเนินการในพื้นที่ 3,000 ตำบล จำนวน 2,400 ล้านบาท (800,000 บาท/ตำบล) และค่าบริหารจัดการโครงการ 309.600 ล้านบาท

วัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าวเพื่อให้เกิดการจ้างงานประชาชนทั่วไป บัณฑิตจบใหม่ นักศึกษา รวม 60,000 ราย รายละเอียด ดังนี้

1) จ้างงานตำบลละ 20 คน (จ้างนักศึกษา/บัณฑิตจบใหม่/ประชาชนทั่วไป) รายละเอียดงาน เช่น งานวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ประสานงานและติดตามสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 จัดทำข้อมูลราชการในพื้นที่เป็นออนไลน์ พัฒนาทักษะอาชีพใหม่ ฯลฯ

2) สนับสนุนการดำเนินโครงการและกิจกรรมตามที่สถาบันอุดมศึกษารับผิดชอบจำนวน 3,000 ตำบล เน้นการยกระดับสินค้า OTOP และการสร้างอาชีพเพื่อยกระดับการท่องเที่ยว

3) สนับสนุนการบริหารจัดการและการดำเนินการของ National System Integrator และ Regional System Integrator เพื่อบูรณาการข้อมูลทั้งหมด

ทั้งนี้ ค่าตอบแทนแบ่งออกเป็น ประชาชนทั่วไป (ตกงาน-ไม่ได้รับค่าตอบแทนจากหน่วยงานรัฐและเอกชน) จ้างในอัตรา 9,000 บาทต่อเดือน , บัณฑิตจบใหม่ สำเร็จการศึกษาไม่เกิน 3 ปี จ้างในอัตรา 15,000 บาทต่อเดือน และนักศึกษาระดับมหาวิทยาลัยและอาชีวศึกษา จ้างในอัตรา 5,000 บาทต่อเดือน

เห็นชอบจัดเลือกตั้ง อบจ. 76 จังหวัดภายใน 60 วัน

นายอนุชา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) 76 จังหวัด โดยให้ กกต. เป็นผู้กำหนดวันเลือกตั้งตามความเหมาะสม หลังจากที่ได้รับแจ้งจาก ครม. ภายใน 60 วัน ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเป็น ข้อมูลจำนวนราษฎรที่ใช้ในการแบ่งเขตเลือกตั้ง การรวมหมู่บ้านเป็นเขตเลือกตั้ง การเตรียมความพร้อมด้านงบประมาณค่าใช้จ่าย รวมถึงมีการออกระเบียบและการประกาศคณะกรรมการเลือกตั้ง และอบรมผู้อำนวยการการเลือกตั้งในพื้นที่ต่างๆ ทั้งหมด 10,749 คน

อนุมัติ 5.5 พันล้าน สร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย

นายอนุชากล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบเปลี่ยนแปลงสถานที่ดำเนินการก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย จากแขวงวัดราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร เป็นในที่ดินราชพัสดุ แขวงบางลำพูล่าง เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร โดยมีเนื้อที่ประมาณ 18-0-17 ไร่

ทั้งนี้ สำนักงบประมาณได้ให้เห็นชอบความเหมาะสมของราคาค่าก่อสร้างศูนย์ราชการกระทรวงมหาดไทย ในวงเงิน 5,574,500,000 บาท โดยให้เบิกจ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 จำนวนเงิน 900,395,900 บาท ผูกพันงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2568

หนุนปลูกข้าว กข.43 รับความต้องการตลาด

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักรัฐมนตรี กล่าวว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบข้าว กข.43 แก่คณะรัฐมนตรีและผู้เข้าร่วมประชุม อีกทั้งยังฝากให้ทีมโฆษกรัฐบาลประชาสัมพันธ์ข้าวพันธุ์นี้ เพราะรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการตลาด

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวอีกว่า คุณสมบัติที่โดดเด่นคือเป็นพันธุ์ข้าวที่มีอายุการเก็บเกี่ยวเพียง 95 วัน อีกทั้งยังเป็นพันธุ์ข้าวที่มีความต้านทานต่อโรคใบไหม้และปัญหาเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล และมีคุณสมบัติเชิงสุขภาพที่ให้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสต่ำกว่าข้าวชนิดอื่นๆ

อุตฯ-พาณิชย์ แจงผลงาน 1 ปี

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกระทรวงพาณิชย์หลังจากครบรอบการทำงาน 1 ปี หลังรายงานให้ ครม. รับทราบ รายละเอียดดังนี้

    1) การประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกพืชเกษตร 5 ชนิด คือ ข้าว มันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ วงเงินรวม 71,202 ล้านบาท ช่วยเหลือเกษตรกรได้ 7.29 ล้านครัวเรือน
    2) การนำทีมภาคเอกชนขายสินค้าทั่วโลก โดยมีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) และจัดกิจกรรมเจรจาธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ สร้างมูลค่าส่งออกรวม 94,822 ล้านบาท และสร้างมูลค่าจากการจัดงานแสดงสินค้าและจัดคณะผู้แทนการค้ารวม 54,192.68 ล้านบาท และพัฒนาผู้ประกอบการรุ่นใหม่ให้ประสบความสำเร็จกว่า 13,000 ราย
    3) การผลักดันการค้าชายแดน สร้างมูลค่าการค้าชายแดนรวม 1.02 ล้านล้านบาท
    4) การจัดงานลดราคาสินค้าร่วมกับภาคเอกชน ทั้งงาน “พาณิชย์ ลดปัง ข้ามปี New Year Grand Sale 2020” ลดราคาสินค้าเฉลี่ย 30% คิดเป็นมูลค่า 21,600 ล้านบาท และงาน “พาณิชย์ลดราคา ช่วยประชาชน ล็อต 1-5” ลดราคาสินค้ากว่า 8,700 รายการ ลดสูงสุดถึง 80%
    5) การเป็นประธานรัฐมนตรีการค้า RCEP จนได้ข้อสรุปการเจรจาครบ 20 ข้อบท ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างปรับถ้อยคำทางกฎหมายของความตกลงดังกล่าว
    6) ยกระดับร้านโชห่วยเป็นสมาร์ทโชห่วยได้กว่า 28,000 แห่ง และยกระดับสมาร์ทโชห่วยเป็นสมาร์ทโชห่วยเดลิเวอรี่ จำนวน 2,655 ร้าน
    7) ยกระดับราคาเศษกระดาษช่วยซาเล้ง โดยประกันราคารับซื้อเศษกระดาษขั้นต่ำกิโลกรัมละ 2 บาท (ราคาปรับเพิ่มจากเดิม 4 เท่า) คาดว่าจะสามารถช่วยซาเล้งได้ประมาณ 1.5 ล้านครัวเรือน
    8) สร้างนักธุรกิจยุคใหม่ให้มีความพร้อมเข้าสู่การค้ายุค New Normal สามารถสร้างนักธุรกิจยุคใหม่รวม 19,087 ราย และ
    9) การเพิ่มสินค้าบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) จำนวน 19 รายการ คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้แก่สินค้าดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวถึงผลการดำเนินงานของกระทรวงอุตสาหกรรมหลังจากครบรอบการทำงาน 1 ปี หลังรายงานให้ ครม. รับทราบ รายละเอียดดังนี้

    1) การขยายกิจการทั้งในและนอกนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 3,900 โรงงาน มูลค่าการลงทุน 876,000 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 300,000 คน
    2) การส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการ SME โดยอนุมัติสินเชื่อกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐรวม 11,036 ราย วงเงิน 17,434 ล้านบาท
    3) การอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการโดยแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องและนำระบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้ในกระบวนการพิจารณาอนุญาตต่างๆ
    4) การดำเนินมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม โดยกำหนดมาตรการจูงใจให้เกษตรกรตัดอ้อยสด ซึ่งสามารถลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จากการเผาอ้อย และลดการเผาอ้อยได้ 1.2 ล้านไร่ และรวมทั้งส่งเสริมการใช้เทคโนโลยีสะอาด ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ จำนวน 5,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์
    5) การดำเนินงานในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เช่น การพักชำระหนี้และเพิ่มวงเงินสินเชื่อ จำนวน 25,000 ล้านบาท การขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูผู้ประกอบการภายใน 90 วัน

1 ปี ครม. ผ่านร่าง กม. 88 ฉบับ-บังคับใช้แล้ว 13 ฉบับ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานของ ครม. ตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ที่มีการประชุม ครม. วาระแรก จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม 2563 ครม. ได้มีการพิจารณาผ่านร่างกฎหมายไปแล้วทั้งหมด 88 ฉบับ มีผลบังคับใช้แล้ว 13 ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นการแก้ไขพระราชบัญญัติกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกรสามารถรับภาระในการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ของเกษตรกรที่มีบุคคลค้ำประกันได้ ส่วนร่างกฎหมายที่อยู่ในกระบวนการผ่านร่างกฎหมาย รายละเอียดดังนี้

    1) ร่างพระราชบัญญัติที่ ครม. อนุมัติในหลักการแล้วและอยู่ระหว่างการตรวจพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา จำนวน 28 ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. ….
    2) ร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วและอยู่ระหว่างกระทรวงยืนยัน จำนวน 18 ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติสอบสวนคีดอาญา พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. …. ร่างพระราชบัญญัติการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
    3) ร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการประสานสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 13 ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. ….
    4) ร่างพระราชบัญญัติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภา จำนวน 15 ฉบับ เช่น ร่างพระราชบัญญัติการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ. ….

สำหรับร่างพระราชบัญญัติที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว จำนวน 14 ฉบับ และพระราชบัญญัติที่กำลังจะมีผลบังคับใช้ จำนวน 1 ฉบับ

กำหนดขอบเขตอนุรักษ์เมืองเก่าร้อยเอ็ด

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. เห็นชอบขอบเขตเมืองเก่าและแนวทางการอนุรักษ์พัฒนาเมืองเก่าร้อยเอ็ด เพื่อป้องกันการทำลายหลักฐานที่สำคัญและอนุรักษ์เมืองเก่าไว้เป็นมรดก รวมทั้งส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม ทั้งนี้เมืองเก่าร้อยเอ็ดจัดเป็นเมืองเก่าในกลุ่มที่ 2 คือเมืองที่มีความสำคัญตั้งแต่อดีตและมีหลักฐานทางศิลปกรรมรองจากเมืองเก่ากลุ่มที่ 1 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 3.01 ตารางกิโลเมตร อยู่ในความดูแลของกรมศิลปากร แนวทางการอนุรักษ์และพัฒนาแบ่งเป็นด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนและเชิงพื้นที่ มีดังนี้

1) การมีส่วนร่วมของประชาชน เน้นการประชาสัมพันธ์ สร้างจิตสำนึกการอนุรักษ์และการพัฒนาอย่างยั่งยืน การส่งเสริมวิถีชีวิตท้องถิ่นและคุณภาพชีวิต ป้องกันภัยคุกคามจากมนุษย์และธรรมชาติ ระบบจราจรและสิ่งแวดล้อม และการดูแลบำรุงรักษาอาคาร

2) แนวทางสำหรับเขตพื้นที่ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดินให้และรักษาสิ่งแวดล้อมหรือสาธารณประโยชน์เท่านั้น กำหนดสัดส่วนและความสูงของอาคารและสภาพแวดล้อมไม่ให้ทำลายโบราณสถานในพื้นที่ ส่งเสริมให้มีทางเดินเท้าและใช้ยานพาหนะขนาดเบาเพื่อลดปริมาณการจราจร และห้ามรถบรรทุกหนักและขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ พัฒนาภูมิทัศน์ให้เป็นพื้นที่เปิดโล่ง และออกระเบียบและประกาศที่เกี่ยวข้องกับเขตเมืองเก่า

ที่ผ่านมา ครม. เคยมีมติเห็นชอบขอบเขตเมืองเก่าและแนวทางการอนุรักษ์พัฒนาเมืองเก่าไปแล้ว รวม 32 เมือง ซึ่งล่าสุด คือเมืองเก่าพิษณุโลก

เลื่อนเป็นเจ้าภาพยูธโอลิมปิกครั้งที่ 5

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบการเลื่อนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬายูธโอลิมปิกเกมส์ครั้งที่ 5 จากเดิมในปี พ.ศ. 2569 หรือปี ค.ศ. 2026 เป็นปี พ.ศ. 2573 หรือปี 2030 การเลื่อนเสนอตัวเป็นเจ้าภาพฯ สืบเนื่องมาจากวันที่ 17 ก.ค. 2563 ที่คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้รับหนังสือจากคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ให้แจ้งการเลื่อนจัดการแข่งขันยูธโอลิมปิกครั้งที่ 4 ที่สาธารณรัฐเซเนกัล จากเดิมกำหนดจัดขึ้นในปี พ.ศ.2565 หรือปี 2022 เป็นปี พ.ศ. 2569 หรือปี 2026 ทำให้ประเทศไทยต้องเลื่อนการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันยูธโอลิมปิกครั้งที่ 5

ตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ครม. เห็นชอบยุทธศาสตร์การจัดตั้งเครือข่ายศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์ สถาบันทางการแพทย์ และสถาบันการศึกษาต่างๆในภาพรวมของประเทศในระยะยาว (5-10 ปี) หรือ Excellence Center โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงสถานบริการทางการแพทย์ในระดับภูมิภาค

งบประมาณดำเนินการตามยุทธศาสตร์รวม 62,623 ล้านบาท แบ่งเป็น ปีงบประมาณ 2563 จำนวน 19,007 ล้านบาท, ปี 2564 จำนวน 16,398 ล้านบาท, ปี 2565 จำนวน 13,083 ล้านบาท และปี 2566-2570 จำนวน 14,135 ล้านบาท ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์จะแบ่งเครือข่ายเป็น 6 ศูนย์ตามเขตพื้นที่การปกครองของกระทรวงมหาดไทย และมีการเชื่อมโยงกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในด้านต่างๆ เช่น กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สมาคมโรงพยาบาลเอกชน สมาคมแพทย์คลินิกไทย สมาคมไทยอุตสาหกรรมผลิตยาแผนปัจจุบัน สมาคมผู้ผลิตยาสมุนไพร สมาคมสปาไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ผ่านกฎกระทรวง 5 ฉบับ กำกับดูแลสหกรณ์

น.ส.ไตรศุลีกล่าวว่า ครม. อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ปี 2562 จำนวน 5 ฉบับ ดังนี้

1) ร่างกฎกระทรวงการให้กู้และการให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

สาระสำคัญคือการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการให้เงินกู้และให้สินเชื่อของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เช่น กำหนดให้สหกรณ์จะให้เงินกู้แก่สมาชิกได้ 3 ประเภทคือ เงินกู้เพื่อเหตุฉุกเฉิน จะกำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 12 งวด, เงินกู้สามัญเป็นการให้เงินกู้แก่สมาชิกเพื่อใช้จ่าย หรือการอันจำเป็นหรือมีประโยชน์ กำหนดงวดชำระหนี้ได้ไม่เกิน 150 งวด ฯลฯ

2) ร่างกฎกระทรวงการรับฝากเงิน การก่อหนี้ และการสร้างภาระผูกพัน รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกันของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

สาระสำคัญคือการกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการรับฝากเงิน ก่อหนี้ และสร้างภาระผูกพัน รวมถึงการกู้ยืมเงินหรือการค้ำประกันของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เช่น สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน ที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่ไม่เกิน 3 ปี กำหนดให้สหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์ออมทรัพย์จะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 1.5 เท่าของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์ ส่วนสหกรณ์และชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจะก่อหนี้และภาระผูกพันได้ไม่เกิน 5 เท่าของทุนเรือนหุ้นรวมกับทุนสำรองของสหกรณ์

3) ร่างกฎกระทรวงการบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

สาระสำคัญคือกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพื่อให้สหกรณ์มีสภาพคล่องและดำรงสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วโดยที่มูลค่าไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

4) ร่างกฎกระทรวงการจัดชั้นสินทรัพย์และกันเงินสำรองของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

สาระสำคัญคือกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับการจัดชั้นสินทรัพย์และการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน เพื่อให้สามารถจัดชั้นการให้เงินกู้และการให้สินเชื่อหรือสินทรัพย์ที่แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการชำระหนี้อย่างแท้จริงและการกันเงินสำรอง

5) ร่างกฎกระทรวงการกำกับการกระจุกตัวธุรกรรมทางการเงินของสหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน

สาระสำคัญคือกำหนดให้สหกรณ์ออมทรัพย์และสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจำกัดปริมาณการทำธุรกรรมกับลูกหนี้และเจ้าหนี้รายใดรายหนึ่งเพื่อเป็นการป้องกันการกระจุกตัวความเสี่ยงไม่ให้สูงจนเกินไป

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 6 ตุลาคม 2563เพิ่มเติม