ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 18-24 เม.ย. 2563
เปิด จม. “บิ๊กตู่” ถึง 20 “เจ้าสัว” ยืนยัน ไม่ขอเงิน-ขอให้เสนอโครงการช่วยประชาชน
วันที่ 20 เม.ย. 2563 เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า รายงานข่าวเปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ทำหนังสือถึง 20 มหาเศรษฐีแล้ว ตามที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ โดยจดหมายดังกล่าว ลงวันที่ 20 เม.ย. มีข้อความระบุว่า
ประเทศไทยกำลังเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 เป็นวิกฤตการณ์ร้ายแรงของประเทศและของโลก ทำร้ายและทำลายชีวิต ความสัมพันธทางสังคมและเศรษฐกิจไปพร้อมกัน อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นช่วงเวลาที่คนไทยและประเทศไทยต้องการความร่วมมืออย่างมากที่สุดจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มคนหรือองค์กรที่มีความรู้ ความสามารถมีความเข้มแข็ง จึงสื่อสารมายังท่านในฐานะเป็นผู้อาวุโสของสังคม
จดหมายระบุต่อไปว่า ผมซาบซึ้งใจที่หลายท่านได้ลงมือช่วยเหลือประชาชนไปแล้วหลายเรื่อง แต่ผมต้องการขอให้ทุกท่านทำเพิ่มเติม โดยใช้ศักยภาพของท่านมาทำให้เกิดการช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องประชาชนคนไทยที่กำลังเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ผมขอให้ท่านทำเอกสาร นำเสนอสิ่งที่ท่านพร้อมจะทำเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือพี่น้องคนไทย โดยผมไม่ขอรับเป็นเงินบริจาค แต่ผมขอให้ท่านลงมือทำโครงการที่จะออกไปช่วยเหลือประชาชนคนไทยทุกกลุ่มทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นการบรรเทาความทุกข์ร้อนของประชาชนทางด้านใดก็ตาม หรือด้วยวิธีการใดก็ตามขอให้เป็นการช่วยเหลือประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งสิ่งใดที่ท่านเห็นว่ารัฐบาลจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับโครงการนั้นได้ขอให้ท่านโปรดส่งมาให้ผมรับทราบภายในสัปดาห์หน้า ก็จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง จึงเรียนมาเพื่อพิจารณาและขอขอบพระคุณล่วงหน้ามา ณ ที่นี้ด้วย ลงชื่อ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
มาตรการช่วยไฟบ้าน ใช้ ก.พ. เป็นฐาน “ฟรีส่วนต่าง-ลดส่วนต่าง 30%/50%
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า หลังจากสังคมมีเสียงเรียกร้องให้รัฐช่วยเหลือค่าไฟฟ้าประชาชน ที่คนส่วนใหญ่ต้อง Work from home นั้น ช่วงบ่ายวันนี้ (20 เม.ย.) นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ประชุมกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
โดยนายสนธิรัตน์เปิดเผยว่า กระทรวงพลังงานได้หารือมาตรการดูแลประชาชนที่ให้ความร่วมมือตามนโยบาย อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ โดยอยู่ทำงานที่บ้าน หรือ work from home จนส่งผลให้ค่าไฟฟ้าในรอบบิล มี.ค. และ เม.ย. มีภาระค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ที่ประชุมจึงมีมติเตรียมนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันพรุ่งนี้ (21 เม.ย.) พิจารณาอนุมัติมาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าเพิ่มเติมให้กับ ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ครอบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 20 ล้านรายทั่วประเทศ ดังนี้
1. กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า ประเภท 1.1 (บ้านอยู่อาศัย) ที่มีขนาดมิเตอร์ 5 แอมป์ เดิมจะได้รับสิทธิ์ใช้ไฟฟ้าฟรีไม่เกิน 90 หน่วยต่อเดือน จะขยายเป็นไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ตั้งแต่รอบบิล มี.ค.-พ.ค. นี้ คาดว่าจะ ครบคลุมผู้ใช้ไฟฟ้า 10 ล้านราย
2. กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า ประเภท 1.2 (บ้านอยู่อาศัย) ที่มีขนาดมิเตอร์เกิน 5 แอมขึ้นไป จะมีมาตรการช่วยเหลือส่วนเกินค่าไฟฟ้า โดยจะยึดฐานการใช้ไฟฟ้าในเดือน ก.พ. 2563 เป็นตัวตั้ง ซึ่งจะต้องมีจำนวนหน่วยใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 800 หน่วย จะได้ใช้ไฟฟ้าส่วนต่างฟรี
เช่น รอบบิล ก.พ. 2563 ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 300 หน่วย แต่รอบบิล มี.ค. มีจำนวนหน่วยใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 700 หน่วย เท่ากับ มีส่วนเกินจากเดือน ก.พ. อยู่ที่ 400 หน่วย ซึ่ง “ส่วนต่าง” ตรงนี้จะได้ใช้ไฟฟ้าฟรี และจ่ายเฉพาะหน่วยที่ใช้ไฟฟ้าตามฐานเดือน ก.พ. เท่านั้น
แต่กรณีหากใช้ไฟฟ้าเกิน 800 หน่วย เช่น รอบบิลเดือน ก.พ. 2563 ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 500 หน่วย และเดือน มี.ค. มีการใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 1,000 หน่วย เท่ากับมีส่วนเกินจากเดือน ก.พ. อยู่ที่ 500 หน่วย จะได้ส่วนลด 50% หรือ ใช้ไฟฟ้าเกินอยู่ที่ 250 หน่วย และนำไปบวกรวมกับ 500 หน่วยในเดือน ก.พ. เท่ากับจะจ่ายไฟฟ้าในอัตรา 750 หน่วย เท่านั้น
3. กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้า (บ้านอยู่อาศัย) เกิน 3,000 หน่วย จะได้ลดค่าไฟฟ้าส่วนเกิน 30% เช่น รอบบิลเดือนก.พ. 2563 ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 1,200 หน่วย และรอบบิล มี.ค. ใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 3,200 หน่วย เท่ามีส่วนเกิน 2,000 หน่วย ซึ่งจะได้ส่วนลด 30% หรือ ลดไป 600 หน่วย เหลือส่วนเกินอยู่ที่ 1,400 หน่วย แล้วนำไปคำนวณรวมกับ 1,200 หน่วยในฐานเดือน ก.พ. เท่ากับมียอดใช้ไฟฟ้ารวมอยู่ที่ 2,600 หน่วยที่ประชาชนต้องจ่าย
ทั้งนี้ ทุกรอบบิลในเดือน มี.ค.-พ.ค. นี้ จะอ้างอิงฐานการคำนวณหน่วยค่าไปจากเดือน ก.พ. เป็นหลัก เนื่องจากเป็นเดือนที่มีอัตราการใช้ไฟฟ้าปกติ โดยส่วนลดค่าไฟฟ้าจะเริ่มทยอยหักกลับในรอบค่าไฟฟ้าตั้งแต่เดือน พ.ค. เป็นต้นไป ดังนั้น ประชาชนจะต้องสำรองจ่ายค่าไฟฟ้าในแต่ละรอบบิลไปก่อน เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากในทางปฏิบัติ
เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่าhttps://bit.ly/3avupOY เพื่อการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน กฟน. จะคืนเงินด้วยวิธีการหักจากค่าไฟฟ้าของแต่ละเดือน โดยผู้ที่ชำระค่าไฟไปแล้ว จะมีการหักคืนให้ในบิลค่าไฟฟ้ารอบถัดไป นอกจากนี้ มาตรการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ผ่านมา จะยังคงอยู่ เช่น การลดค่าไฟฟ้าร้อยละ 3 ก็จะถูกคำนวนหลังจากมีการลดจากมาตรการอื่น ๆ ทั้งหมดแล้ว รวมถึงมาตรการผ่อนผันการเก็บค่าไฟฟ้าอัตราขั้นต่ำ และขยายเวลาชำระค่าไฟฟ้า 6 เดือนกับกลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทต่างๆ โดยสามารถดูรายละเอียดมาตรการเดิมได้ที่
กพท. ออกกฎคุมเข้ม รับสายการบินกลับมาเปิดบริการ 1 พ.ค.
เว็บไซต์ข่าวสดออนไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2563 นายจุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับตัวแทนสายการบินเพื่อซักซ้อมความเข้าใจและแนวทางปฏิบัติ เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรการควบคุมโรคของกระทรวงสาธารณะสุข เนื่องจากมีหลายสายการบินที่จะกลับมาเปิดทำการบินเที่ยวบินในประเทศในวันที่ 1 พ.ค. 2563 ว่า กพท. เชิญสายการบินสัญชาติไทยและสายการบินต่างชาติ กว่า 20 สายการบินมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโรค เพื่อให้เกิดความความพร้อม กลับในการกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในวันที่ 1 พ.ค. 2563 หลังจากที่ก่อนหน้านี้สายการบินส่วนใหญ่ได้ประกาศหยุดให้บริการชั่วคราว เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศจะลดลงและสายการบินภายในประเทศเตรียมกลับมาให้บริการ แต่ทุกสายการบินยังจะต้องปฏิบัติตามมาตรการการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด โดย กพท.กำหนดให้ สายการบินต้องขายตั๋วโดยสารในลักษณะที่นั่งเว้นที่นั่ง และ เมื่อถึงช่วงเวลาการเดินทาง จะต้องมีการจัดระบบการรักษาระยะห่างระหว่างผู้โดยสาร (social distancing) ทุกขั้นตอน
เริ่มตั้งแต่การเช็กอิน การขึ้นและลงเครื่องบิน และจะไม่มีการให้บริการอาหาร และเครื่องดื่มระหว่างเที่ยวบิน ทั้งนี้สำหรับเส้นทางที่มีระยะเวลาการบินเกินกว่า 90 นาทีสายการบินจะต้องกันที่นั่งแถวหลังไว้พิเศษสำหรับแยกผู้โดยสารที่มีอาการน่าสงสัยระหว่างเที่ยวบิน ด้วย
สำหรับลูกเรือกำหนดให้ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย ถุงมือ และ face shield ส่วนผู้โดยสารต้องรับผิดชอบสวมใส่หน้ากากอนามัยมาเองและใส่ตลอดเวลาการเดินทาง รวมถึงห้ามไม่ให้นำอาหารของตนเองมารับประทานในเครื่องบิน”
อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้โดยสารตรวจสอบเที่ยวบินที่ให้บริการในประเทศกับสายการบินโดยตรง เนื่องจากอาจจะยังไม่เปิดให้บริการในทุกเส้นทาง
แต่ตั้ง “ตั๊น” นั่ง กมธ. ตำรวจ
วันที่ 23 เม.ย. 2563 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่องตั้งกรรมาธิการการตำรวจแทนตำแหน่งที่ว่าง ลงนาม นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตามที่ได้มีประกาศสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 12 กันยายน 2562 ตั้งนายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ เป็นกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการตำรวจนั้น
เนื่องจากนายชัยวัฒน์ เป้าเปี่ยมทรัพย์ ได้พ้นจากกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการตำรวจ เพราะลาออก และในคราวประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 30 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่สอง) วันพฤหัสบดี ที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ประชุมเห็นชอบตั้ง นางสาวจิตภัสร์ ตั๊น กฤดากร เป็นกรรมาธิการแทน ประกาศ ณ วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
ฝรั่งเศสจลาจลค้านล็อกดาวน์
วันที่ 22 เม.ย. 2563 เว็บไซต์อมรินทร์ทีวีรายงานว่า เกิดเหตุจลาจลครั้งใหญ่ที่สุดในรอบกว่า 15 ปีในฝรั่งเศส หลังจากที่กลุ่มวัยรุ่นและประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับมาตรการล็อกดาวน์ รวมตัวกันออกนอกที่พัก มาจุดไฟเผารถยนต์ตามท้องถนน และร้านค้า ก่อนจะเกิดการเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจล
รายงานข่าวระบุว่า จุดที่เกิดการจลาจลหนักหน่วงที่สุด คือ ที่เขตวิลล์เนิฟ-ลา-กาแร็นน์ ทางตอนเหนือของกรุงปารีส โดยทางการฝรั่งเศสต้องส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบจลาจลจำนวนหลายร้อยนาย เข้าสลายการรวมตัวประท้วงมาตรการล็อกดาวน์ของกลุ่มวัยรุ่นและชาวบ้านในพื้นที่
นอกเหนือจากที่เขตวิลล์เนิฟ-ลา-กาแร็นน์ ยังมีรายงานการเกิดความวุ่นวายในอีกหลายเขตรอบกรุงปารีส ท่ามกลางกระแสความไม่พอใจของชาวฝรั่งเศสที่เพิ่มสูงขึ้น โดยส่วนใหญ่ต้องการกดดันให้รัฐบาลประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามประชาชนออกนอกบ้าน เนื่องจากเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน
สื่อท้องถิ่นระบุว่า มีรถยนต์จำนวนมาก รวมถึงป้ายรถประจำทาง และร้านค้าถูกกลุ่มผู้ประท้วงทุบทำลายและจุดไฟเผา ขณะที่ทางการฝรั่งเศสยังไม่สามารถประเมินตัวเลขความเสียหายจากเหตุจลาจลต้านมาตรการล็อคดาวน์ครั้งนี้ว่ามีมูลค่ามากเพียงใด
เหตุจลาจลต่อต้านมาตรการล็อกดาวน์ล่าสุดในฝรั่งเศส เกิดขึ้นในขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วประเทศล่าสุดได้เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นอย่างน้อย 158,050 คน และมีผู้เสียชีวิตไปแล้ว 20,796 ราย