ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” จัดแพกเกจเยียวยาเหตุ “ยิงที่โคราช” – มติ ครม.ปรับเกณฑ์จ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรัฐวิสาหกิจ

“บิ๊กตู่” จัดแพกเกจเยียวยาเหตุ “ยิงที่โคราช” – มติ ครม.ปรับเกณฑ์จ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรัฐวิสาหกิจ

11 กุมภาพันธ์ 2020


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

“บิ๊กตู่” ตั้งคกก.ช่วยเหลือ-จัดแพกเกจเยียวยาเหตุ “กราดยิงที่โคราช” – มติ ครม.ปรับเกณฑ์จ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะให้รัฐวิสาหกิจ

เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน โดยบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลผู้สื่อข่าวล้วนแต่งกายด้วยชุดขาว-ดำเพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่จังหวัดนครราชสีมาเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา โดยในช่วงเย็นวันนี้นายกรัฐมนตรีจะเดินทางไปร่วมพิธีศพที่จังหวัดนครราชสีมา 3 วัด และจะมีการจัดตัวแทนจากคณะรัฐมนตรีที่ไม่ติดงานที่รัฐสภา เพื่อเดินทางไปร่วมพิธีศพของผู้เสียชีวิต

“ต้องแบ่งกันไปมีหลายพื้นที่ ได้มอบหมายให้กับผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละจังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตเป็นผู้รับผิดชอบหลัก และมีกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่เป็นหน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่อยู่แล้วช่วยกันทำให้พิธีศพนั้นเป็นไปด้วยความเรียบร้อย …ขณะนี้ทุกคนยังอยู่ในวาระของความโศกเศร้าอยู่ ก็ขอเป็นกำลังใจให้กับคนไทยทุกคน และชาวโคราช และอื่นๆ ด้วย เราจะต้องเข้มแข็งไปด้วยกัน ไม่ให้ใครมาแบ่งแยก หรือทำให้เกิดความเกลียดชังจนเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา… ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมืออย่าให้ความรุนแรงเกิดขึ้นอีกต่อไปเลย”

โยนสภาฯโหวตร่างพ.ร.บ.งบฯ 63 วาระ 2-3 ยึดตามคำวินิจฉัย ศาล รธน.

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการโหวตในวาระสองและสามของสภา เกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ว่าควรให้มีการอภิปรายหรือควรให้ลงมติเลย ว่า กระบวนการในส่วนนี้จะเป็นไปตามกรอบที่ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยมาแล้ว อันนี้เป็นเรื่องของสภา ว่าผิดจุดใดก็ไปแก้ไขในจุดนั้น

“เป็นไปได้อยากให้ทุกคนคำนึงถึงความจำเป็นในการใช้จ่ายงบประมาณด้วย ในสถานการณ์วันนี้มีหลายอย่างด้วยกันที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจ การแก้ปัญหาจากผลกระทบต่างๆ ในหลายด้านด้วยกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งสอบโครงการบ้านจัดสรร ทบ. เอาเปรียบทหารชั้นผู้น้อย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงปมเหตุจูงใจของคนร้ายที่ก่อเหตุกราดยิงที่จังหวัดนครราชสีมา ที่เชื่อมโยงไปถึง “โครงการจัดสรรที่ดินสร้างบ้านพักเพื่อขายให้บรรดาทหาร” และมีญาติของผู้เสียชีวิตมาเกี่ยวข้อง ว่า ตนกำลังให้ตรวจสอบอยู่ ต้องแยกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรกคือโครงการบ้านจัดสรรฯ ปกติเป็นเรื่องที่ดี แต่ต้องไปดูว่าที่เขาทำมานั้นมีปัญหาที่จุดใด วัตถุประสงค์ของโครงการคือต้องการให้ข้าราชการมีบ้านเป็นของตนเอง และเป็นการขออนุมัติตามกฎระเบียบของเขา แต่ประเด็นที่สองจะมีการไปหาประโยชน์กันตรงไหน โกงกันตรงไหน เป็นเรื่องที่ต้องไปหาข้อเท็จจริงซึ่งกองทัพบกกำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้

นายกรัฐมนตรีตอบคำถามสื่อมวลชน

“ตรงไหนที่ทำให้เกิดช่องว่างให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันผมก็ได้ย้ำไปแล้ว และ พล.อ. อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้แถลงข่าวไปแล้วไม่ใช่หรือว่าจะสอบสวนทั้งหมด และเปิดช่องทางให้เหล่าทหารแจ้งเรื่องปัญหามาถึงตัวท่านเองได้ในทุกรณี นอกเหนือจากการร้องเรียนตามระบบราชการปกติ”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ด้วยหลักการของข้าราชการและกองทัพแล้ว เราพยายามจะดูอย่างครอบคลุมในทุกมิติ อะไรต่างๆ ก็ตามที่เกิดเรื่องขึ้นมาแล้วต้องไปดูว่ามาตรการเดิมที่มีอยู่นั้นเพียงพอหรือไม่ในทุกเรื่อง ฉะนั้นบทเรียนในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่ที่ทุกฝ่ายจะต้องนำไปแก้ไขเพื่อหาแนวปฏิบัติที่ดีไม่ให้เกิดขึ้นอีก

“ผมเป็นห่วงพฤติกรรมเลียนแบบ โดยเฉพาะเรื่องของการใช้สื่อสังคมออนไลน์จะต้องลดความรุนแรงลง ไม่เช่นนั้นประชาชน หรือคนที่มีปัญหา มีโอกาสที่จะเรียนแบบได้ ยกตัวอย่างจากหลายประเทศที่เคยมีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกันมาก่อน แต่ประเทศของเราผมมานั่งคิดดูว่าทำไมจึงเกิดได้ขนาดนี้”

“ก็ต้องมาดูว่าปัญหาในสังคมเกิดอะไรขึ้นในปัจจุบัน การใช้โซเชียลของเราเป็นอย่างไร หากทุกคนช่วยกันจะช่วยลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้มากพอสมควร ในช่วงที่ผ่านมาโซเชียลมีเดียอาจไม่กว้างขวางเท่านี้ ฉะนั้นวันนี้ก็ต้องใช้โซเชียลในทางที่เกิดประโยชน์และสร้างสรรค์มากว่า วันนี้ได้มีการเข้มงวดในเรื่องการโพสต์ต่างๆ ที่เรียกบอกว่าเมา รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้นไม่ได้ กฎหมายมีอยู่ ต้องไปดูว่ากฎหมายเขียนว่าอย่างไร ฉะนั้นจะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายทั้งสิ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ตั้งคกก.ช่วยเหลือ – จัดแพคเกจเยียวยาเหตุ “กราดยิงที่โคราช”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงการที่มีหลายฝ่ายแนะนำให้มีการทำบุญประเทศเพื่อเรียกขวัญกำลังใจของประชาชนว่า เรื่องดังกล่าวทางจังหวัดนครราชสีมานั้นมีแผนการเตรียมการทำบุญจังหวัดอยู่แล้ว เช่นเดียวกับเรื่องการบริจาคท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาได้เปิดรับบริจาคโดยตรงไปแล้วซึ่งได้เงินมาจำนวนหนึ่งแล้ว ตนฝากไว้สำหรับผู้ที่ต้องการทำบุญ หรือช่วยเหลือให้บริจาคเงินผ่านทางช่องทางที่จังหวัดนครราชสีมาจัดไว้ ก็ต้องไปดูว่าจะนำเงินเหล่านี้ไปใช้จ่ายอะไรอย่างไร นอกเหนือจากที่รัฐบาลเตรียมการไว้แล้ว

นอกจากนี้รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อติดตามมาตรการในการช่วยเหลือเยียวยาในทุกๆ กิจกรรม จากทุกภาคส่วนเพื่อให้เป็นแพกเกจออกมาให้เห็นว่าผู้ได้รับผลกระทบจะได้รับอะไรจากใครบ้างอย่างไร ซึ่งจะได้รับการช่วยเหลือจากที่กำหนดตามกฎหมายและกฎระเบียบที่มีอยู่แล้วเดิม เป็นสิทธิที่ประชาชนและข้าราชการมีอยู่แล้ว อีกส่วนคือเป็นเรื่องความร่วมมือของภาคเอกชน ธนาคาร หอการค้า และอุตสาหกรรม ที่ระดมความช่วยเหลือกันอยู่

“สำหรับรัฐบาลจะดูแลเรื่องมาตรการการท่องเที่ยวในระยะต่อไป เพื่อให้เป็นที่เชื่อมั่น ไว้วางใจ ไม่เช่นนั้นทุกคนก็ขวัญเสียกันหมด บ้านเมืองก็มีปัญหาอยู่เช่นเดียวกัน ผมก็ไม่อยากให้มันมีปัญหามากไปกว่านี้อีกแล้ว ขอฝากไปถึงทุกภาคส่วนด้วย อย่าเอาประเด็นเหล่านี้มาทำให้เกิดความแตกแยกกันอีก ทุกคนก็ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด รัฐบาลไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ จะต้องหาทางแก้ปัญหาและแก้ไขเยียวยา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สำหรับการช่วยเหลือมีหลายหน่วยงานด้วยกัน ได้รับข้อมูลสรุปมาขั้นต้น ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ พม. กระทรวงแรงงาน สำนักงานประกันสังคม รวมความไปถึงกรณีบาดเจ็บและไม่บาดเจ็บ มาตรการที่จะเสริมเข้าไปตรงนี้รัฐบาลกำลังหารือกันในข้อกฎหมาย เพราะทำเองคิดเองไม่ได้ในการที่จะอนุมัติงบประมาณต่างๆ

ด้าน  ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ คือ การเยียวยาช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ทั้งผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง ผู้ได้รับผลกระทบทางอ้อม ที่สูญเสียทรัพย์สินผลกระทบทางธุรกิจซึ่งรัฐบาลจะเร่งหามาตรการเยียวยาทุกกลุ่ม

รวมถึงมีข้อเสนอมาตรการจากหลายกระทรวง โดยในที่ประชุม ครม.ได้ระบุถึงความพร้อมที่จะนำมาตรการอื่นๆ ลงไปให้การช่วยเหลือเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุนการศึกษา เรื่องการจ้างงาน การให้ความรู้ หรือกระทรวงสาธารณสุขจะมีเรื่องการเยียวยาผลกระทบทางจิตใจโดยกรมสุขภาพจิต

“นายกฯ ได้เน้นย้ำ กับคณะกรรมการฯ ที่จัดตั้งขึ้นนี้จะต้องลงไปดูเป็นแพกเกจในการดูแลให้ครบถ้วน รวมถึงความช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบ เบื้องต้นมีธนาคารของภาครัฐออกมาแสดงความจำนงช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบบ้างแล้ว เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยเราเชื่อว่านอกจากธนาคารของรัฐแล้วจะมีธนาคารพาณิชย์อื่นๆ จะมีมาตรการช่วยเหลือตามมา รวมทั้งในภาคเอกชนด้วย ทั้งสภาอุตสาหกรรมสภาหอการค้ากำลังหารือกันถึงมาตรการช่วยเหลือพี่น้องที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าว”

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รายงานสถานการณ์ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีตัวเลขผู้เสียชีวิต 30 ราย หนึ่งในนั้นคือผู้ก่อเหตุ ส่วนอีก 29 รายมีการจัดพิธีศพในจังหวัดนครราชสีมา 18 ราย นอกจังหวัดนครราชสีมาอีก 11 ราย ซึ่งมีทาง กทม. สมุทรปราการ สกลนคร อุดรธานี หลังการรายงานสถานการณ์ผู้เสียชีวิตแล้ว พล.อ. อนุพงษ์ ได้ขอให้นายอิทธิพล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม เป็นเจ้าภาพประสานงานกับ ครม.ว่าทั้ง 29 รายที่มีการจัดพิธีศพที่วัดไหนอย่างไรบ้าง ครม.ที่สะดวกจะไปร่วมงานจะได้ประสานงานไปที่จุดศูนย์รวมเดียว ส่วนผู้บาดเจ็บมีทั้งหมด 58 ราย 29 รายเดินทางกลับบ้านแล้ว ส่วนอีก 29 ราย ยังรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล พล.อ. อนุพงษ์ ยังได้พูดถึงกรอบการช่วยเหลือโดยคร่าวๆ 4 เรื่อง คือ มาตรการช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง มาตรการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูจิตใจสำหรับญาติผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ มาตรการสร้างขวัญและกำลังใจให้ประชาชน และมาตรการเยียวยาและลดผลกระทบของผู้ประกอบการ ทั้งหมดจะออกมาเป็นแพกเกจภายใต้การพิจารณาหารือของคณะกรรมการชุดพิเศษที่นายกฯ มีบัญชาให้ตั้งขึ้น

รายงานข่าวเพิ่มเติมว่า กรมบัญชีกลางได้เร่งจ่ายเงินสงเคราะห์ผู้ประสบภัยช่วยเหลือทายาทผู้เสียชีวิตจากเหตุคนร้ายกราดยิงที่โคราช โดยกรมบัญชีกลางสั่งการให้คลังเขต/คลังจังหวัด เร่งประสานกับสถานีตำรวจในพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อมูลผู้มีสิทธิเพื่อให้มารับเงินตามสิทธิที่ได้รับจากทางราชการ ดังนี้

  • กรณีข้าราชการเสียชีวิต ทายาทมีสิทธิได้รับเงินช่วยเหลือ ซึ่งกรมบัญชีกลางได้ประสานกับหน่วยงานให้เสนอเรื่องมาเบิกจ่ายโดยเร็ว คือ

1.1. บำเหน็จตกทอดตามกฎหมายบำเหน็จบำนาญ เป็นจำนวนเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้าย x เวลาราชการ

1.2. เงินช่วยค่าทำศพ เป็นจำนวน 3 เท่าของเงินเดือน

1.3. ข้าราชการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ทายาทมีสิทธิได้รับบำนาญพิเศษ

  • กรณีบาดเจ็บ มีสิทธิได้รับการรักษาจนกว่าจะหาย ตาม พ.ร.บ.สงเคราะห์ข้าราชการสำหรับประชาชนช่วยเหลือราชการ (พลเมืองดี)
  • มีสิทธิได้รับเงินค่าทำศพ 3 เท่าของเงินเดือน ป.ตรี คือ (15,000×3= 45,000 บาท) และได้รับเงินชดเชย 30 เท่า = 450,000 บาท
  • ได้รับเงินชดเชย อัตราตามความร้ายแรงของการสูญเสียอวัยวะ และมีสิทธิได้รับเงินชดเชยจากการต้องรักษาตัวในโรงพยาบาล วันละ 500 บาท (พ.รบ.สงเคราะห์พลเมืองดี)

ด้านสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มอบเงินช่วยเหลือประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ จากเหตุการณ์ความรุนแรงในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา นำรายได้ส่วนหนึ่งจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพี่น้องประชาชน มอบให้กับพี่น้องประชาชนที่ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงครอบครัวผู้เสียชีวิต จากเหตุการณ์ดังกล่าว รายละ 50,000 บาท โดยจะประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการมอบเงินดังกล่าวโดยเร็ว สำหรับกรณีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น จะพิจารณาให้การช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนตามความเหมาะสมต่อไป

ขณะที่ธนาคารกรุงไทยได้ออกมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนโดยยกหนี้ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่และเป็นลูกค้าของธนาคาร พร้อมมอบเงินให้กับครอบครัว จำนวน 200,000 บาท รวมทั้งมอบเงินช่วยเหลือ และลดดอกเบี้ยกรณีบาดเจ็บ สำหรับลูกค้าประชาชนทั่วไปที่เสียชีวิต ลดดอกเบี้ยเหลือ 0.01% ต่อปี คงที่เป็นเวลา 5 ปี

นอกจากนี้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าว ธนาคารได้ประสานงานบริษัทประกันในเครือ เพื่อเร่งรัดการจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์อย่างเร่งด่วนเป็นกรณีพิเศษ จากการตรวจสอบรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตพบว่า มีลูกค้าธนาคารกรุงไทยประมาณ 48 ราย

ยอมรับหน้ากากอนามัยไม่พอ สั่งพณ. หารือเอกชน เพิ่มกำลังการผลิต

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงถึงการแก้ไขและปัองกันไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ว่า เรื่องของเรือสำราญที่จะขอจอดเทียบท่าเรือของไทยนั้น เราไม่อนุญาตให้จอดเทียบท่า แต่เราจะดูแลในเรื่องของมนุษยธรรม อย่างเช่นการเติมน้ำมัน หรือถ้าต้องการน้ำ อาหาร ทางการไทยจะส่งไปให้

“เราจำเป็นต้องมีมาตรการที่เหมาะสมก่อน เช่นเดียวกับต่างประเทศ ที่ดำเนินการเช่นเดียวกัน ก็ขอให้เข้าใจด้วย เพราะบนเรือมีคนจำนวนมากถึง 2 พันกว่าคน เราจึงต้องระมัดระวังการแพร่กระจายไประยะที่ 3 วันนี้เราอยู่ในระยะที่ 2 ยังควบคุมได้ หรือดูแลผู้ที่มาจากต่างประเทศได้ รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะประชุมและให้ทางกระทรวงสาธารณสุขชี้แจงมาตรการเตรียมการขั้นต้น ไม่ให้นำไปสู่การแพร่ระบาด ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ถ้าเราทำได้ดีครบถ้วนทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา”

ท้งนี้ ตนได้กำชับให้นายจุรินทร์  ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปประชุมหารือกับผู้ประกอบการที่ผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งได้รับรายงานว่าหลายโรงงานได้เพิ่มกำลังการผลิตแล้ว เพื่อให้ประชาชนได้ใช้อย่างทั่วถึง และต้องมีมาตรการสำรองด้วย เพราะหลายประเทศขอมาเหมือนกัน ขณะนี้หน้ากากอนามัยขาดแคลนหลายประเทศ เราจึงต้องเตรียมการให้พร้อม

“อยากฝากเรียนว่า วันนี้เราให้ความรู้ทั้งการสาธารณสุข ทางการแพทย์ อาจจะใช้วิธีการทำหน้ากากอนามัยด้วยผ้า ซึ่งสามารถซักได้ใช้ได้หลายครั้ง จะทนทานมากกว่าใช้หน้ากากชั่วคราวแบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามต้องมีให้เพียงพอ ทั้งในส่วนที่จำหน่ายตามร้านค้า ต้องไปหาตั้งแต่ต้นทางมา ผลิตได้เท่าไหร่ จะเพิ่มจำนวนเท่าไหร่ อย่าลืมว่าที่ผ่านมาโรงงานทำด้วยกลไกทางการตลาดของเขาเอง ราคาก็เป็นจำนวนหนึ่ง เราจะดูว่าทำอย่างไรให้กระจายไปทุกพื้นที่”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า วันนี้หน้ากากอนามัยได้กระจายไปร้านค้าประชารัฐส่วนหนึ่ง และร้านค้าต่างๆ อีกส่วนหนึ่ง แต่ปริมาณผลิตไม่พอ จึงมีการขาดแคลนซึ่งต้องเร่งรัดตรงนี้ รัฐบาลยินดีพร้อมสนับสนุน ส่วนหนึ่งที่ได้รับมาก็นำไปแจกก็มี

“ทุกคนต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่า การผลิตภาคเอกชนและองค์การเภสัชกรรม (อภ.) คนละแบบกัน อันนั้นเป็นเรื่องการตลาดการค้าของเขาที่มีค่าการตลาดอยู่พอสมควร ในส่วนของ อภ.ก็มีจำกัด ราคาจึงอาจแตกต่างกัน ก็ต้องดูในส่วนไหนจะทำประโยชน์อย่างไร อย่างน้อยเราก็ได้กำชับไปในทางปฏิบัติให้ได้มากที่สุด วันนี้ได้พูดคุยกับ ครม.หลายประเด็นด้วยกัน ทั้งมาตราการระยะสั้น มาตรการระยะยาว เพื่อแก้ไขปัญหาในเรื่องการขาดแคลน และในส่วนที่ต้องร่วมมือกับต่างประเทศด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

มติ ครม.มีดังนี้

ขยายเวลาขอใช้สิทธิเสียภาษี 10% ในเขตศก.พิเศษถึงสิ้นปี

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการลดอัตรารัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ) สืบเนื่องจากที่เดิม ครม.เคยอนุมัติหลักการไปก่อนหน้าและจนกระทั่งรอ ครม.ชุดใหม่ ทางกระทรวงการคลังยืนยันว่าจำเป็นต้องออกมาตรการนี้และนำเข้ามาสู่ ครม.

โดยมีสาระสำคัญคือขยายเวลาการจดแจ้งการขอใช้สิทธิลดภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการประกอบกิจการในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตั้งแต่วันที่บังคับใช้จนถึง 30 ธันวาคม 2563 โดยกำหนดให้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคล จาก 20% เป็น 10% ระยะเวลา 10 รอบปีบัญชี ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งมีสถานประกอบการในเขตฯ สำหรับกำไรสุทธิจากรายได้ที่เกิดจากการผผลิตสินค้าหรือบริการและมีการใช้บริการในเขตฯ ของบริษัทดังกล่าว ทั้งนี้ กระทรวงการคลังคาดว่าจะเสียรายได้ 4 ล้านบาท

บริจาคเงินให้ศูนย์พัฒนาบุคลากร อุตฯ 4.0 ของสถานการศึกษา หักภาษีได้ 3 เท่า

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … (มาตรการภาษีสนับสนุนการพัฒนาบุคคลกรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0) โดยมีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลในส่วนที่จ่ายไปเพื่อทรัพย์สินที่บริจาคให้แก่ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม 4.0 ที่สถานศึกษาของรัฐหรือเอกชนจัดตั้งขึ้น โดยให้ลดหย่อยได้เป็นจำนวน 3 เท่าของที่จ่ายจริงสำหรับการบริจาคตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 ธันวาคม 2563

“เรื่องนี้เริ่มต้นเกิดจากสำนักงานอีอีซีเสนอมาตรการภาษีเพื่อหนุนให้มีการพัฒนาบุคคลกรรองรับอุตสาหกรรม จะสอดรับกับนโยบายของภาครัฐที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อหนุนให้มีการบริจาคของภาคเอกชน จึงกำหนดมาตรการจูงใจให้บริจาคทรัพย์สินที่ใช้ประกอบกิจการ 4.0 เน้นเครื่องจักร automation robotic”

ทั้งนี้ คาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้ 120 ล้านบาท แต่มีประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีทักษะที่จำเป็นในอนาคต และทำให้มีการบริจาคทรัพย์สินให้แก่ศูนย์ส่งเสริมฯ ประมาณ 600 ล้านบาท

ปรับเกณฑ์จ่ายเงินทดแทนแรงงานเจ็บป่วย

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงที่ออกตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน 2561 จำนวน 3 ฉบับ โดยสาระสำคัญของร่างกฎกระทรวงฉบับแรกว่าด้วยค่ารักษาพยาบาล กำหนดให้เมื่อลูกจ้างประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยายาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น โดยจ่ายเป็นขั้นบันได แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท เว้นแต่กรณีที่ลูกจ้างเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลของรัฐตั้งแต่เริ่มแรก ให้นายจ้างจ่ายค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็นจนสิ้นสุดการรักษาพยาบาลต่างจากเดิมที่ระเบียบกำหนดกำหนดไว้ไม่เกิน 2 ล้านบาทในกรณีนี้

ฉบับที่ 2 มีสาระสำคัญคือ การกำหนดหลักเกณฑ์ค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสมรรถภาพในการทำงานที่ให้นายจ้างจ่าย ให้จ่ายตามที่จ่ายจริง แบ่งเป็นค่าใช้จ่ายในกระบวนการเวชศาสตร์ฟื้นฟูทางกายภาพบำบัด ไม่เกินวันละ 200 บาท ทางกิจกรรมบำบัด ไม่เกินวันละ 100 บาท และรวมกันไม่เกิน 24,000 บาท, ค่าใช้จ่ายด้านการบำบัดรักษาและผ่าตัดไม่เกิน 40,000 และหากไม่พอให้ขยายเป็นให้จ่ายไม่เกิน 140,000 บาท (จากเดิม 110,000 บาท), ค่าวัสดุอุปกรณ์ไม่เกิน 160,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการฝึกตามหลักสูตรของสำนักงานประกันสังคม ไม่เกิน 24,000 บาท และฉบับสุดท้ายกำหนดอัตราค่าทำศพที่กำหนดให้ ให้จ่าย 40,000 บาท

เห็นชอบ ธอส.ถือหุ้นบริษัท NDID สร้างระบบยืนยันตัวตนดิจิทัล

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์การจัดตั้งบริษัท การร่วมกิจการกับบุคคลอื่น และการถือหุ้นในกิจการตามพระราชบัญญัติธนาคารอาคารสงเคราะห์ 2496 จำนวน 2 ฉบับ โดยฉบับแรกมีสาระสำคัญให้ ธอส.ร่วมกิจการกับบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการสร้างระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางดิจิทัล หรือคือการซื้อหุ้นบริษัท NDID

สำหรับฉบับที่สอง กำหนดให้ ธอส.จัดตั้งบริษัท องค์กร หรือร่วมกิจการกับบุคคลอื่นที่เกี่ยวกับการรับประกันสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือการรับประเมินมูลค่าทรัพย์สิน รวมทั้งกำหนดให้ ธอส.ถือหุ้นในบริษัทที่ประกอบธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัยและประกันชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ ทั้งนี้ ด้าน คปภ.ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่าต้องเป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตด้วย

ปรับเกณฑ์จ่ายเงินอุดหนุนบริการสาธารณะรัฐวิสาหกิจ

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. …. (การปรับปรุงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการให้เงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2554) โดยสาระสำคัญคือการปรับปรุงขั้นตอน วิธีการพิจารณาเงินอุดหนุนบริการสาธารณะของรัฐวิสาหกิจให้สอดคล้องกับกฎหมายวินัยการเงินการคลัง มีการแก้ไขคำนิยามของรัฐวิสาหกิจ บริการสาธารณะ ผลกำไรขาดทุน ต้นทุนของบริการสาธารณะ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดวัตถุประสงค์การให้เงินอุดหนุนที่จะทำให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง

และสุดท้ายมีการปรับปรุงคณะกรรมการพิจารณาฯ โดยเพิ่มผู้อำนวยการ สำนักบริหารหนี้สาธาณะเป็นกรรมการและกำหนดนหน้าที่เพิ่มเติมให้กำหนดหลักเกณฑ์และปันรายได้ การทำต้นทุนบริการ และปรับปรุงขั้นตอนการจัดทำและขอยุติการรับการสนับสนุน นอกจากนี้ ยังให้ตั้งคณะกรรมการกำกับการให้บริการสาธารณะเพื่อกำกับดูแลการดำเนินงานของแต่ละรัฐวิสาหกิจ และให้รัฐวิสาหกิจจัดทำรายงานภายใน 2 เดือน หรือตามที่คณะกรรมการกำหนดด้วย

แจงแก้ปัญหา P-move แล้ว 65 กรณี จาก 266 กรณี

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบความคืนหน้าของการแก้ไขปัญหาของกลุ่มขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move หลังจากยื่นเรื่องร้องเรียนมาตั้งแต่ปลายปีที่ผ่าน โดยรัฐบาลจัดตั้งคณะกรรมการแก้ไขปัญหาในทุกประเด็นและมีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ทั้งนี้ ความจำเป็นในการจัดตั้งคณะกรรมการเนื่องจากทุกเรื่องที่ร้องมาเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เพียงกระทรวงเดียวจะแก้ไขได้ ต้องมีหลายกระทรวงและหลายกฎหมายมาเกี่ยวข้อง และจะให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่

ในวันนี้ ครม.รับทราบว่าปัญหาที่มาร้องเรียนและเกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัยและที่ทำกิน 266 กรณี ปัจจุบันแก้ไขได้ข้อยุติได้ 65 กรณี และกำลังดำเนินการอีก 201 กรณี นอกจากนี้ ประเด็นเรื่องสิทธิของคนไร้สถานะ ไร้รัฐ ไร้สัญชาติ ที่เรียกร้องให้มีการขยายมติ ครม.เมื่อปี 2548 ให้สำรวจคนตกหล่นเป็นการเฉพาะและตั้งคณะกรรมการกลางแก้ไขปัญหาสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ วันนี้ที่ประชุม ครม.ไม่ได้เห็นแย้งและเห็นชอบในหลักการ ซึ่งในปัจจุบันนี้ มีแนวทางการสำรวจคนตกหล่นและทบทวนหลักเกณฑ์ของคนเหล่านี้อยู่ ซึ่งครอบคลุมทุกอย่างที่เรียกร้องมาอยู่แล้ว จึงขอให้สบายในว่ารัฐบาลให้ความสำคัญและพร้อมขับเคลื่อนเรื่องนี้

ยันเบิกจ่ายงบฯล่าช้า ไม่กระทบสวัสดิการเด็ก

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า สำหรับประเด็นที่ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยต่ำกว่า 100,000 บาทต่อปี และเป็นผู้ปกครองเด็กแรกเกิดถึงหกปีเดือนละ 600 บาท และกังวลเกี่ยวกับเงินเลี้ยงดูเด็ก ขอให้สบายใจได้ เพราะรัฐบาลมีเงินจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแน่นอนแม้งบประมาณปี 2563 ล่าช้า

โดยวันนี้ ครม.อนุมัติงบกลางปี 2562 วงเงิน 2,056 ล้านบาท เพื่อจ่ายเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็ก ของเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2563

ออกกฎคุมเข้มงานก่อสร้าง ป้องกันฝุ่น

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงฯ เกี่ยวกับการควบคุมอาคาร ต้องมีมาตรการป้องกันฝุ่นและได้มาตรฐานความปลอดภัย เนื่องจากกฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ. 2526) ออกตามความพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 บังคับใช้มาเป็นเวลานานประกอบกับรูปแบบและวิธีการก่อสร้างอาคารในปัจจุบันได้เปลี่ยนไป

ในวันนี้ ครม.จึงเห็นชอบร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ .. (พ.ศ. ….) ออกตามความพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมจากกฎกระทรวงฉบับเดิมในหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน เคลื่อนย้าย ใช้หรือเปลี่ยนการใช้อาคารที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันฝุ่นละออง ความปลอดภัยของนั่งร้าน ค้ำยัน ปั้นจั่นหอสูง (ทาวเวอร์เครน) และเดอร์ริกเครน (การใช้งานเพื่อรื้อถอนทาวเวอร์เครนลงจากตัวอาคาร) เพื่อประโยชน์ด้านความปลอดภัยและการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้

  1. กำหนดให้ระหว่างการก่อสร้างอาคารที่มีความสูงตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป ต้องมีมาตรการป้องกันฝุ่นละออง เช่น ล้อมอาคารด้วยวัสดุหรืออุปกรณ์เพื่อป้องกันฝุ่นละออง การผสมคอนกรีตหรือการไสไม้ต้องทำในพื้นที่ปิดล้อม และทำความสะอาดล้อรถทุกชนิด ก่อนนำออกนอกบริเวณสถานที่ก่อสร้าง
  2. กำหนดให้ระหว่างการก่อสร้างอาคารต้องมีการตรวจสอบความแข็งแรงและความปลอดภัยของนั่งร้านและค้ำยันที่ใช้รับน้ำหนักของการก่อสร้างอาคารที่สูงตั้งแต่ 3 ชั้นขึ้นไป หรือความสูงของนั่งร้านและค้ำยันตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป หรือการก่อสร้างอาคารประเภทที่ใช้พื้นไร้คาน เมื่อใช้นั่งร้านและค้ำยันที่สร้างด้วยโลหะต้องรับน้ำหนักไม่น้อยกว่า 2 เท่า ส่วนนั่งร้านและค้ำยันที่สร้างด้วยไม้ต้องรับน้ำหนักไม่น้อยกว่า 4 เท่า และตรวจสอบความแข็งแรงความปลอดภัยของปั้นจั่น โดยเฉพาะปั้นจั่นหอสูงต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม
  3. กำหนดให้นำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการก่อสร้างมาใช้บังคับแก่การรื้อถอนอาคารโดยอนุโลม

ทั้งนี้ ผู้ใดจะก่อสร้าง ดัดแปลง หรือเปลี่ยนการใช้อาคารบางชนิดหรือบางประเภทในเขตควบคุมอาคาร ต้องขออนุญาตหรือแจ้งต่อพนักงานท้องถิ่นและต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในร่างกฎกระทรวงนี้

อนุมัติพณ. จ้างติดตั้งเครื่องวัดสต็อกน้ำมันปาล์มกว่า 372 ล้าน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.อนุมัติให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินการตามโครงการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์ม วงเงิน 372.51 ล้านบาท เพื่อเป็นเครื่องมือให้รัฐสามารถบริหารจัดการและควบคุมสต็อกน้ำมันปาล์มได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำข้อมูลมาใช้ประกอบในการกำหนดนโยบายภาครัฐที่เหมาะสมต่อไป

โครงการนี้เป็นการจัดจ้างเอกชนที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินการติดตั้งเครื่องมือวัดปริมาณน้ำมันปาล์มแบบ real-time ที่ถังเก็บน้ำมันความจุตั้งแต่ 1,000 ตันขึ้นไป จำนวน 455 ถัง ของผู้ประกอบการโรงสกัดน้ำมันปาล์ม โรงกลั่นน้ำมันปาล์ม โรงงาน ไบโอดีเซล และคลังรับฝาก โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือนนับถัดจากวันที่ลงนามในสัญญา

ระบบการตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ระบบตรวจวัดปริมาณ เป็นอุปกรณ์วัดระดับและความหนาแน่นในถัง และอุปกรณ์วัดอุณหภูมิ ทำหน้าที่ตรวจสอบความแตกต่างของอุณหภูมิเพื่อใช้ในการคำนวณปริมาตร 2) ระบบประมวลผลและส่งสัญญาณ ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลการตรวจวัดปริมาณและส่งข้อมูลไปยังระบบส่วนกลาง เพื่อแสดงผลที่เป็นปัจจุบัน (real-time) อยู่ในระดับเกณฑ์ปกติ เตือนภัย หรือวิกฤติ 3) ระบบฐานข้อมูลและซอฟต์แวร์ประมวลกลาง ทำหน้าที่ประมวลข้อมูลปริมาณน้ำมันจากแต่ละถัง และสามารถสั่งการให้ระบบตรวจวัดปริมาณได้ตลอดเวลาจากส่วนกลาง

งบประมาณโครงการจำนวน 372.51 ล้านบาท ให้จัดสรรจากงบกลางฯ ปี 2562 หรืองบกลางฯ ปี 2563 แล้วแต่กรณี โดยแบ่งเป็น 1) งบลงทุนและค่าเครื่องมือ จำนวน 368.54 ล้านบาท และงบดำเนินการ จำนวน 3.96 ล้านบาท ทั้งนี้ ประโยชน์จากโครงการนี้ 1) ทำให้มีระบบติดตามตรวจสอบปริมาณน้ำมันปาล์มดิบทั้งระบบที่มีความถูกต้องแม่นยำ 2) เป็นกลไกในการตรวจสอบการและป้องกันการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์ม โดยใช้ข้อมูลบ่งชี้จากความผิดปกติของปริมาณน้ำมันในสต็อก 3) รักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันปาล์มและน้ำมันปาล์มทั้งระบบ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้การดำเนินโครงการในระยะต่อไป ให้ภาคเอกชนและผู้ประกอบการเป็นผู้รับผิดชอบนโยบายเกี่ยวกับราคาน้ำมันปาล์ม ปัญหาคือการลักลอบนำน้ำมันผิดกฎหมายเข้ามา อ้างว่าสต็อกน้ำมันน้อยทั้งๆ ที่มีน้ำมันเยอะอยู่ การแก้ไขปัญหาต้องติดเครื่องมือวัดน้ำมันปาล์มตาม พณ.เสนอ ให้ติดตั้งเครื่องมือเพื่อบริหารจัดการสต็อกน้ำมัน 372 ล้านบาท เบิกจ่ายจากงบกลาง 2562 หรือ 2563 แล้วแต่กรณี

การติดตั้งจะติดตาม ตรวจสอบ ความเคลื่อนไหวของน้ำมันปาล์มดิบ เป็นแบบ real-time ตามถังเก็บน้ำมันปาล์มต่างๆ เพื่อตรวจสอบว่ามีอยู่ตามโรงงานเท่าไหร่ จะไปติดที่ถัง 1,000 ตันขึ้นไป จากการสำรวจ 22 เมษายน 2562 ตอนนี้มีอยู่ 445 ถังที่จะต้องติดตั้ง เชื่อว่าเป็นมาตรการที่มีประโยชน์และทราบปริมาณน้ำมันปาล์มในภาพรวม

ไม่อนุญาต “เรือเอ็มเอส เวสเตอร์ดัม” เทียบท่า

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีเรือ “เอ็มเอส เวสเตอร์ดัม” ของบริษัทฮอลแลนด์อเมริกาไลน์ พร้อมผู้โดยสารและลูกเรือ กว่า 2,257 คน จะเข้าเทียบท่าที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2563 ว่า อธิบดีกรมเจ้าท่าได้ชี้แจงยืนยันแล้วว่า เรือลำดังกล่าวไม่ได้มีการขออนุญาตเข้ามาเทียบเรือในไทยตั้งแต่แรก โดยเรือดังกล่าวเพียงติดต่อมายังเอเจนต์คนไทยที่อาศัยในไทยเท่านั้น ซึ่งเอเจนต์คนดังกล่าวก็ยังไม่ได้มีการติดต่อมายังกรมเจ้าท่าแต่อย่างใด ซึ่งกระแสข่าวออกมาเนื่องจากทางเรือเวสเตอร์ดัมก็นำข้อมูลที่ติดต่อกับเอเจนต์ไทยไปลงในเว็บไซต์ของตัวเอง ทำให้โลกโซเชียลเห็น จึงหยิบไปเป็นกระแส

“ใน ครม.ได้มีการหารือถึงเรื่องนี้ ถึงต่อให้เกิดขึ้นจริงๆ ทางนายกรัฐมนตรีก็ได้แสดงความชัดเจนแล้วว่า ไม่อนุญาตให้เรือเข้ามาจอด และจะดำเนินการช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรมด้านอื่นๆ หากมีการร้องขอมา เช่น ยา น้ำมัน อาหาร ทางฝ่ายไทยก็พร้อมให้การช่วยเหลือ” นางสาวไตรศุลีกล่าว

เคาะค่าผ่านทาง “บางประอิน-โคราช” รถ 4 ล้อเก็บสูงสุด 255 บาท

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนต์บนทางหลวงพิเศษหมายเลข 6 ตอนบางประอิน-นครราชสีมา พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยกรมทางกลวงได้ก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-สระบุรี-นครราชสีมา ระยะทาง 196 กิโลเมตร โดยมีแผนดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2563

ทั้งนี้ โครงการทางหลวงพิเศษฯ แห่งนี้มีด่านเก็บค่าธรรมเนียมจำนวน 9 ด่าน ได้แก่ ด้านบางปะอิน ด่านวังน้อย ด่านหินกอง ด่านสระบุรี ด่านแก่งคอย ด่านมวกเหล็ก ด่านปากช่อง ด่านสีคิ้ว และด่านขามทะเลสอ

โดยกรมทางหลวงได้พิจารณากำหนดค่าอัตราธรรมเนียมผ่านทางพิเศษดังกล่าว แบ่งเป็น 2 ส่วน ประกอบด้วยค่าธรรมเนียมแรกเข้าและค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง สำหรับรถยนต์ 4 ล้อ ธรรมเนียมแรกเข้า  10 บาท ค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง 1.25 บาทต่อกิโลเมตร อัตราสูงสุดที่จัดเก็บอยู่ที่ 255 บาท รถยนต์ 6 ล้อ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 16 บาท ค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง 2.00 บาทต่อกิโลเมตร อัตราสูงสุดที่จัดเก็บอยู่ที่ 408 บาท และรถที่เกิน 6 ล้อขึ้นไป ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 23 บาท ค่าธรรมเนียมตามระยะทางที่ใช้จริง 2.88 บาทต่อกิโลเมตร อัตราสูงสุดที่จัดเก็บอยู่ที่ 587 บาท และจะมีการปรับอัตราค่าธรรมเนียมทุกๆ 5 ปี โดยจะมีผลบังคับใช้นับแต่วันที่อธิบดีกรมทางหลวงประกาศ

เห็นชอบไทยเข้าร่วมสมาชิก HCCH

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของที่ประชุมแห่งกรุงเฮกว่าด้วยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล (Hague Conference on Private International Law: HCCH) ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งมีค่าธรรมเนียมแรกเข้าในการเข้าเป็นสมาชิกอยู่ที่ 22,500 ยูโร หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 766,000 บาท โดยจะใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณของกระทรวงยุติธรรม ซึ่งจะทำให้ไทยมีสิทธิในการเข้าร่วมกระบวนการเจรจาร่างอนุสัญญาหรือตราเอกสารระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสให้ไทยสามารถผลักดันวัตถุประสงค์หรือความต้องการของไทยบนเวทีระหว่างประเทศได้ และจะทำให้ไทยได้รับความช่วยเหลือและคำแนะนำจาก HCCH ในการบังคับใช้และปฏิบัติตามอนุสัญญากรุงเฮกฯ ฉบับต่างๆ

“กระทรวงการต่างประเทศได้ให้ความเห็นว่า การเข้าเป็นสมาชิก HCCH จะเป็นประโยชน์ต่อการติดตามพัฒนาการของกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองดูแลสิทธิและผลประโยชน์ในการดำเนินกิจการข้ามรัฐ หากไทยมีบทบาทในการแสดงท่าที่หรือมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดทิศทางของกฎหมายระหว่างประเทศดังกล่าวตั้งแต่ต้น จะทำให้ไทยสามารถผลักดันกฎหมายฯ ให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของไทยและสามารถปรับปรุงกฎหมายภายในของไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลได้อย่างทันท่วงที” นางสาวไตรศุลีกล่าว

อนึ่ง HCCH มีสถานะเป็นองค์กรการระหว่างรัฐบาลประกอบด้วยสมาชิก 83 ราย โดยมีประเทศสมาชิกอาเซียนเข้าเป็นสมาชิกแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่ง HCCH มีพันธกิจหลักคือการพัฒนาความเป็นเอกภาพของระบกฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล โดยการหารือความตกลงร่วมกันระหว่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางความร่วมมือทางกฎหมายระหว่างประเทศในด้านเอกชน ซึ่งจะมีการจัดประชุมทุกๆ 4 ปี เพื่อเจรจาและจัดทำสนธิสัญญา รวมถึงกำหนดกรอบงานในอนาคต

ตั้ง “วิจารย์ สิมาฉายา” นั่งประธานบอร์ด สนง.เศรษฐกิจชีวภาพฯ

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติแต่งตั้งนางสาวเกตสุดา สุประดิษฐ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (เศรษฐกรทรงคุณวุฒิ) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นต้นไป

นอกจากนี้ ครม.ได้มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เสนอแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการบริหารสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ รวม 7 คน แทนประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเดิมที่ลาออก ดังนี้ 1. นายวิจารย์ สิมาฉายา ประธานกรรมการ 2. นางสาวธัญลักษณ์ เจริญปรุ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการบริหารเศรษฐกิจการเกษตร 3. นายคนิต ลิขตวิทยาวุฒิ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 4. นางจิราวรรณ แย้มประยูร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 5. นางสาวนิลุบล เครือนพรัตน์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาการเงิน 6. นายโยธิน มูลกำบิล กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ และ 7. นายชัยเกียรติ ห่านสัมฤทธิ์ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสาขาบริหารธุรกิจ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563เพิ่มเติม