ThaiPublica > เกาะกระแส > คลินิกแก้หนี้ระยะที่ 3 ขยายวงรับทุกกลุ่ม หนี้คดีแดงศาลพิพากษาแล้ว-หนี้เจ้าหนี้รายเดียว

คลินิกแก้หนี้ระยะที่ 3 ขยายวงรับทุกกลุ่ม หนี้คดีแดงศาลพิพากษาแล้ว-หนี้เจ้าหนี้รายเดียว

3 กุมภาพันธ์ 2020


นางธัญญนิตย์ นิยมการ(ซ้าย) ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท. และนายโชคชัย คุณาวัฒน์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ร่วมแถลงข่าว

ธปท.เดินหน้ามุ่งปลดหนี้บัตรให้คนไทยคลินิกแก้หนี้ระยะที่ 3 เปิดรับทุกกลุ่ม ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวนการของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว

วันนี้(3 กุมภาพันธ์ 2563) ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดแถลงข่าวการขยายโครงการคลีนิกแก้หนี้ร่วมกับธนาคารออมสิน

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์หนี้ครัวเรือนของประเทศที่อยู่ในระดับน่ากังวลใจ และเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มไม่สดใสนัก ธปท. เห็นว่า การแก้ปัญหาหนี้สินให้กับประชาชนเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญในปี 2563

เมื่อดูข้อมูลภาระหนี้ต่อเดือนของครัวเรือนไทยพบว่าประมาณ 40% เป็นหนี้ส่วนบุคคลเพื่ออุปโภคบริโภค ที่ระยะเวลาผ่อนสั้นและมีอัตราดอก เบี้ยแพง ซึ่งหนี้บัตร ทั้งบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดถือเป็นลูกหนี้ส่วนใหญ่ของหนี้กลุ่มนี้

ที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2560 สถาบันการเงินสมาชิก บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (SAM) และ ธปท. ได้ร่วมกันขับเคลื่อนการแก้หนี้ครัวเรือนผ่าน โครงการคลินิกแก้หนี้ ซึ่ง ณ ธันวาคม 2562 คลินิคแก้หนี้สามารถช่วยประชาชนแก้หนี้บัตรไปแล้ว 3,194 ราย ครอบคลุมบัตรเครดิตและบัตรกดเงินสดกว่า 13,000 ใบ มีหนี้บัตรเฉลี่ยรายละ 3 ใบ มูลหนี้เฉลี่ยต่อราย 234,843 บาท ในจำนวนนี้ 72 รายชำระหนี้หมดแล้ว สามารถหลุดจากวงจรหนี้บัตร

นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศ ไทย

ปัจจุบันโครงการฯ เดินหน้าเข้าสู่ ระยะที่ 3 โดยได้ขยายขอบเขตให้สามารถแก้ไขหนี้บัตรที่มีเจ้าหนี้รายเดียว และหนี้บัตรที่อยู่ในกระบวน การของศาลและมีคำพิพากษาแล้ว รวมทั้งปรับปรุงคุณสมบัติผู้เข้าโครงการจากเดิมต้องมีหนี้บัตรที่เป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ก่อนวันที่ 1 มกราคม 2562 มาเป็นวันที่ 1 มกราคม 2563 กล่าวคือ หลังจากที่ปลดข้อจำกัดเรื่องต่างๆแล้ว โครงการคลินิกแก้หนี้ ระยะที่ 3 สามารถช่วยแก้ปัญหาหนี้บัตรของประชาชนได้ในแทบทุกกลุ่ม

ถึงแม้ว่าโครงการจะเดินหน้าเข้าสู่ระยะที่ 3 แล้ว ธปท. ขอเน้นย้ำ ความพิเศษของโครงการคลินิกแก้หนี้อย่างน้อยใน 2 มิติ ที่ช่วยแก้ไขปัญหาหนี้บัตร กล่าวคือ

หนึ่ง SAM ทำหน้าที่เป็นคนกลางที่ช่วยเจรจาและประสานงานระหว่างเจ้าหนี้-ลูกหนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหนี้บัตรที่อาจมีเจ้าหนี้หลายรายเกิดขึ้นได้ ซึ่งปกติเวลามีเจ้าหนี้หลายรายการเจรจาให้สำเร็จเบ็ดเสร็จเกิดขึ้นยาก โครงการจะช่วยให้รวมหนี้ให้เบ็ดเสร็จ ลูกหนี้จะไม่ถูกทวงจากเจ้าหนี้หลายราย รวมทั้งจะได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาและปรับโครงสร้างหนี้

สอง ลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่ผ่อนปรนเป็นพิเศษ คือ ผ่อนเฉพาะเงินต้น โดยมีระยะเวลาผ่อนนานถึง 10 ปี ซึ่งปกติถ้าไปเจรจากับเจ้าหนี้เดิมอาจถูกเรียกให้จ่ายคืนภายในระยะเวลาสั้น ๆ เช่น 6 เดือน การไม่เร่งรัดและให้ระยะเวลาผ่อนชำระนานเพียงพอ หมายความว่า ยอดที่ต้องผ่อนต่อเดือนจะไม่สูง เช่น ถ้ามีหนี้ 5 หมื่น และ 1 แสนบาท ยอดผ่อนต่อเดือนจะอยู่ที่ประมาณ 600 และ 1,200 บาทเท่านั้น และ เมื่อผ่อนชำระเสร็จสิ้นตามสัญญาจะยกดอกเบี้ยค้างชำระให้ทั้งหมด

ปัจจุบันโครงการคลินิกแก้หนี้ มีสถาบันการเงิน non-bank และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเป็นสมาชิกรวม 35 แห่ง ทำให้โครงการฯ กลายเป็น เครือข่ายที่ช่วยเหลือประชาชนแก้หนี้บัตร ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ โดยธนาคารออมสินถือเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดที่เข้าร่วมโครงการฯ

ออมสินรับรีไฟแนนซ์ดอกเบี้ย 8.50-10.50%

นายโชคชัย คุณาวัฒน์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน

นายโชคชัย คุณาวัฒน์ รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ธนาคารออมสินเล็งเห็นถึงความสำคัญในการช่วยเหลือลูกหนี้ และถือเป็นเรื่องสำคัญของธนาคารที่จะเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้เพื่อช่วยประชาชนแก้ไขปัญหาหนี้เสียบัตร นอกจากนี้ ธนาคารยังได้เริ่มโครงการ refinance หนี้บัตรดีเพื่อลดภาระดอกเบี้ยให้แก่ประชาชนที่มีวินัยและมีประวัติการผ่อนชำระดีเยี่ยม ที่เดิมต้องจ่ายดอกเบี้ยสูง 18% หรือ 28% แต่โครงการนี้จะคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 8.50-10.50% ตามความเสี่ยง อีกทั้งจะสนับสนุนให้ลูกค้านำเงินที่ประหยัดได้ในแต่ละเดือนจากการ refinance ไปเก็บออมไว้ เช่นซื้อสลากออมสินด้วย

ดังนั้นโครงการ refinance บัตรดีนอกจากจะช่วยลดภาระประชาชนแล้วยังส่งเสริมการออมสำหรับอนาคตด้วย อย่างไรก็ตาม การแก้หนี้เสียและการ refinance หนี้บัตรดีจะสัมฤทธิ์ผลสูงสุด หากลูกหนี้ใช้โอกาสนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างวินัยทางการเงิน วางแผนชีวิต และใช้จ่ายอย่างเหมาะสม

นายนิยต มาศะวิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM กล่าวว่า โครงการฯ ในระยะที่ 3 จะมีการปรับกระบวนการทำงานให้รวดเร็วขึ้น ด้วยการนำเทคโนโลยีและช่องทางการสื่อสารที่ทันสมัยมาใช้อำนวยความสะดวกและช่วยตอบโจทย์ลูกค้าให้ดีขึ้น จากให้ความใส่ใจตั้งแต่การให้คำปรึกษา ขั้นตอนสมัครจนถึงลงนามในสัญญา ขั้นตอนทั้งหมดต้องสั้นกระชับ ไม่เสียเวลาลูกค้ามากจนเกินไป รวมทั้งจะทำงานเชิงรุกด้วยการเปิดบริการพิเศษในช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เพื่อรองรับลูกค้าที่ไม่สามารถเดินทางมาที่สำนักงานในช่วงวันทำการปกติ ตลอดจนจะลงพื้นที่ออกไปพบลูกค้าตามสถานประกอบการทั่วประเทศมากขึ้น

นอกจากนี้ โครงการฯ ระยะที่ 3 จะประสานความร่วมมือกับศาลและกรมบังคับคดีเพื่อหาข้อสรุปในขั้นตอนไกล่เกลี่ย ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย

ขณะที่ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (NCB) เปิดเผยว่า SAM จะสมัครเข้าเป็นตัวแทน (agent) ของ NCB และจะร่วมกันปรับปรุงกระบวนการตรวจสอบและส่งข้อมูล ซึ่งจะทำให้การปรับโครงสร้างหนี้เริ่มได้เร็วขึ้นและใช้เวลาโดยรวมสั้นลง อีกทั้ง NCB จะพิจารณาสนับสนุนโครงการฯ โดยมอบคูปองยกเว้นค่าตรวจสอบรายงานเครดิตบูโรสำหรับลูกหนี้ที่เข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ (ปกติมีค่าใช้จ่าย 100 บาท) ซึ่งลูกหนี้ที่สนใจสามารถขอรับคูปองดังกล่าวกับ SAM ได้ตั้งแต่บัดนี้

ทั้งนี้ ประชาชนที่สนใจ สามารถติดตามข่าวสารของโครงการฯ ได้ในหลายช่องทาง เช่น www.คลินิกแก้หนี้.comและ www.debtclinicbysam.com แอดไลน์ @debtclinicbysam Facebook คลินิกแก้หนี้ และ Debtclinicbysam หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02-610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 8.30-17.00 น.