คลังจัด “ชิม ช้อป ใช้” 4 รับมือไวรัสโคโรนา – สธ.เผยผู้ป่วย 14 ราย หายแล้ว 8 ราย – พณ.หารือเอกชนผลิตหน้ากากฯขายจีนพรุ่งนี้
นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงสถานการณ์ผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาว่า ตนได้รับรายงานยอดผู้ติดเชื้อ 6 รายใหม่แล้ว และได้รายงานนายกรัฐมนตรีแล้ว โดยการพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นจากการตรวจที่เข้มข้นขึ้น แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะพบผู้ป่วยแล้ว 14 ราย แต่ 8 รายแรกหายแล้ว และมีการเดินทางกลับประเทศแล้ว 3 ราย รอเดินทางกลับอีก 2 ราย ส่วนอีก 3 รายที่รักษาตัวอยู่ได้รับรายงานว่าอาการหายแล้ว ผลแลปเบื้องต้นเป็นลบแล้ว เชื้อไม่มีแล้ว แต่ต้องรอการตรวจซ้ำเพื่อยืนยันอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้หรือไม่ ส่วนผู้ป่วยรายใหม่ 6 ราย ก็ยังมีประวัติที่สามารถโยงไปถึงเมืองอู่ฮั่นได้ และอยู่ในคณะทัวร์เดียวกันกับผู้ป่วยชุดแรก บางคนเป็นสามี บางคนเป็นภรรยา บางคนเป็นหัวหน้าทัวร์ ส่วนระดับความรุนแรงก็เหมือนเดิม และตอนนี้อยู่ในมือหมอแล้วค่อนข้างที่จะปลอดภัย
โดยยืนยันว่าการควบคุมการระบาดของโรคยังอยู่ในกรอบที่ควบคุมได้ แต่ยิ่งตรวจก็จะยิ่งเจอ เพราะไม่สามารถห้ามผู้ป่วยให้เดินทางไปไหนมาไหนได้ เนื่องจากขณะเดินทางผู้ป่วยอาจขจะยังไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามยังมีความเชื่อมั่นว่าเชื้อนิวโรโคโรนาไวรัส 2019 สายพันธุ์ใหม่ ยังไม่รุนแรงเท่า ซาร์สและเมอร์ส และจากการประชุมร่วมกับปลัดกระทรวงสาธารณสุข และอธิบดีกรมควบคุมโรค ก็ยังยืนยันว่าอยู่ในวิสัยที่ควบคุมสถานกรณ์ได้
ทั้งนี้ มีการประเมินว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาจะกินระยะเวลาประมาณ 6 เดือน จากในอดีตการแพร่ระบาดของซาร์สและเมอร์ส มีการวางไว้ 9 เดือน เนื่องจากประเทศจีนซึ่งเป็นต้นทางมีมาตรการควบคุมที่เข้มข้น ก็น่าจะทำให้การควบคุมโรคในประเทศไทยมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
“เราไม่ได้วัดว่าการที่พบคนป่วยมาก ๆเป็นความล้มเหลว แต่ทางการแพทย์ยิ่งพบคนป่วยเท่ากับเป็นการยืนยันประสิทธิภาพในการหาคนป่วยเจอ ส่วนความล้มเหลวจะเกิดขึ้นต่อเมื่อรักษาไม่ได้ ควบคุมการแพร่ระบาดของโรคไม่ได้ ไม่รู้ว่าผู้ป่วยแต่ละรายอยู่ที่ไหน แต่ตอนนี้ผู้ป่วยทุกรายเราทราบว่าอยู่ที่ไหนทั้งหมด มีการติดต่อทั้งบริษัททัวร์ ทั้งญาติ และตัวผู้ป่วย และเราได้ประสานกับโรงพยาบาลเอกชนว่าหากมรีคนไข้จากจีน มาจากเมืองอู่ฮั่น มีไข้สูงเกิน 38 องศา และมีอาการเข้าข่ายติดเชื้อไวรัสโคโรนา เขาก็จะติดต่อมาที่ศูนย์ปฏิบัติการฯของกระทรวงสาธารณสุข ดังนั้นขอยืนยันว่ากระทรวงสาธารณสุขเอาอยู่ ผมกับทีมงานเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำงานด้วยความเข้าใจกัน สนับสนุนกันทั้งกำลังใจ กำลังแรง กำลังสมอง ซึ่งก็ยังมั่นใจว่าจะสามารถรักษาสถานการณ์นี้ได้ และขอกำลังใจอย่าดุด่าอะไรที่ไม่สร้างสรรค์ แนะแนวได้ ตำหนิได้ หากแนะนำอย่างมีเหตุมีผล เป็นคำแนะนำที่ดีเราก็พร้อมจะทำตาม” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อไปว่า นายกรัฐมนตรีได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติให้ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะ และได้มอบหมายตนเป็นประธานกรรมการฯ โดยมีรัฐมนตรีหลายกระทรวง ข้าราชการ และผู้ทรงคุณวุฒิร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งตนได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิด้านการแพทย์และเรื่องระบาดวิทยามาเป็นกำลังสำคัญ ส่วนอำนาจการดำเนินการของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นนี้จะมีอำนาจกำหนดนโยบาย สั่งการ ให้มีความร่วมมือ ใช้อำนาจข้ามกระทรวงได้ ทั้งเรื่องการเบิกจ่ายงบประมาณ เรามีงบฉุกเฉินที่ทำให้การบริหารจัดการสถานการณ์เป็นไปโดยปลอดภัยที่สุด
เมื่อถามเรื่องข้อกังวลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการรักษานั้น นายอนุทินกล่าวว่า ในกรณีของคนไทยไม่ต้องกังวลเพราะอยู่ภายใต้หลักประกันสุขภาพแห่งชาติอยู่แล้ว ส่วนคนจีนเราก็จะให้การรักษาในทางมนุษยธรรม เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อต่อ ซึ่งหากพบใครป่วยก็ต้องรักษาก่อน ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายหากเราเรียกเก็บได้เราก็เรียกเก็บ แต่หากเรียกเก็บไม่ได้เราก็ต้องถือว่าเป็นต้นทุนที่ทำให้คนไข้ไม่แพร่เชื้อให้คนไทยในประเทศ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากคนไข้มีปัญญาเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย เขาต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะทราบว่าหากเกิดอาการป่วยจะต้องหาการรักษาที่ไหน
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุม ครม. ถึงกรณีกระแสข่าวการกักตุนหน้ากากอนามัยเนื่องจากปัญหาฝุ่น PM 2.5 และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า โดยยืนยันว่า เวลานี้ยังไม่มีผลกระทบ โดยตนได้สั่งการให้กรมการค้าภายในติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยในวันที่ 29 มกราคม 2563 กรมการค้าภายในจะเชิญผู้ผลิตหน้ากากอนามัยทั้ง 10 รายของไทย เข้าหารือที่กระทรวงเพื่อที่จะเข้าไปดูแลในเรื่องของปริมาณการผลิตให้เพียงพอ และเพื่อป้องกันการกักตุนรวมทั้งเข้าไปดูแลเรื่องราคาให้อยู่ในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่มีการโก่งราคาขึ้นไปในภาวะที่ประเทศมีความจำเป็นที่จะต้องใช้หน้ากากอนามัยมากเป็นพิเศษ
“ต้องยอมรับว่า หน้ากากอนามัยเป็นวัสดุทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ในช่วงระยะเวลาที่มีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า ข้อมูลเบื้องต้นคือ เดือนหนึ่งๆ จะมีการผลิตประมาณ 30 ล้านชิ้น ขณะนี้ก็ยังอยู่ในปริมาณนั้น แต่ในวันพรุ่งนี้จะได้คุยในรายละเอียดอีกรอบหนึ่ง”
สำหรับการค้าขายกับประเทศจีนนั้น จากการประชุมหารือร่วมระหว่างทูตพาณิชย์ไทยในประเทศจีนทั้ง 7 สำนักงาน กับผู้แทนกระทรวงการต่างประเทศของไทย รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับทางการจีนนั้นได้รับรายงานว่า ในประเด็นที่เกี่ยวพันกับด้านการค้าระหว่างจีนกับไทยนั้น ขณะนี้บางเมืองเริ่มมีความต้องการที่จะนำเข้าถุงมือยางพารา และหน้ากากอนามัยจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น เช่น ที่เมืองเฉิงตู เซียเหมิน เป็นต้น
นายจุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า จากกรณีดังกล่าว จึงต้องให้กรมการค้าภายในเข้าไปดูปริมาณการผลิตอย่างใกล้ชิดเพื่อดูการผลิตให้พอเพียงทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ และต้องไม่มีผลกระทบต่อผู้บริโภคด้านราคา โดยยืนยันว่าขณะนี้การส่งออกไม่ส่งผลกระทบต่อการใช้งานในประเทศ พร้อมที่จะส่งออกเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ
เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวนักท่องเที่ยวจีนกว้านซื้อหน้ากากอนามัยกลับประเทศ รองนายกรัฐมนตรีระบุว่า กรณีดังกล่าวไม่เป็นปัญหาสามารจำหน่ายได้ เพียงแต่ผู้ผลิตต้องไปปรับกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น โดยเบื้องต้นทางจีนต้องการให้ไทยช่วยหาผู้ผลิตให้กับผู้นำเข้าของเซียเหมิน กับเฉิงตู ณ ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการเจรรากัน แต่ยังไม่ได้กำหนดปริมาณแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องการเจรจาธุรกิจต้องให้ผู้ประกอบการได้พบและเจรจากันเอง
“ในอนาคตยังไม่มีความจำเป็นถึงขนาดที่จะกำหนดให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุม คิดว่ายังสามารถคุมราคาและปริมาณ รวมถึงคุมการกักตุนไม่ให้เกิดขึ้นได้อยู่ ซึ่งพรุ่งนี้จะมีการหารือกันหากกำลังการผลิตเพิ่มเติมได้เพื่อรองรับความต้องการในต่างประเทศ เพราะเราก็ต้องเห็นใจจีนด้วยเหมือนกันในภาวะปัจจุบันนี้ความต้องการใช้เพิ่มมากขึ้น หากเราจะช่วยผลิตเพิ่มเติมเพื่อให้เขามีหน้ากากอนามัยใช้เพียงพอนั้นจะเป็นประโยชน์ในการแก้ปัญหาเรื่องไวรัสโคโรน่า แต่ขณะเดียวกันก็ต้องไม่กระทบต่อผู้ใช้ภายในประเทศของเราด้วย” นายจุรินทร์ กล่าว
ด้านนายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ตนได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กรมสรรพากร และกรมบัญชีกลาง ศึกษามาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟสที่ 4 เพื่อนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา ซึ่งคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 โดยใช้งบกลางส่วนที่เหลืออีก 5,000 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินมาตรการ “ชิม ช้อป ใช้” เฟสที่ 3 ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2563 มีผู้ได้รับสิทธิและว 12.6 ล้านคน , มีร้านค้าเข้าร่วมโครงการจำนวน 1.7 แสนร้านค้า มีผู้ใช้จ่ายเงินผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ช่องที่ 1 คิดเป็นวงเงิน 1.1 หมื่นล้านบาท และช่องที่ 2 วงเงิน 1.7 หมื่นล้านบาท
นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การจะรับคนไทยในเมืองอู่ฮั่นกลับประเทศไทยนั้น จะต้องได้รับการอนุญาตจากทางการจีนก่อน ซึ่งจนถึงขณะนี้ยืนยันว่ายังไม่มีประเทศใดสามารถรับพลเมืองกลับประเทศของตนเองได้ และยังไม่มีประเทศใดเร่งรัดขอรับคนกลับ เนื่องจากทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือกับทางการจีนในการปิดเมืองไม่ให้มีการเข้า-ออก เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า
ทั้งนี้ตนเชื่อมั่นว่าทางจีนจะควบคุมสถานการณ์ได้ และมาตรการปิดเมืองจะทำให้สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นมาตรการเดียวกับที่จีนเคยใช้เมื่อครั้งเกิดการระบาดของโรคซาร์ส จึงมั่นใจว่ามาตรการนี้จะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ต้องใช้เวลาสักระยะ ซึ่งหากไทยได้รับการอนุญาตจากทางการจีน ก็พร้อมที่จะส่งเครื่องบินไปรับคนไทยกลับโดยทันที โดยทางการจีนรับปากว่าจะดูแลคนไทยเป็นอย่างดีและทางสถานทูตไทยได้ประสานสอบถามความต้องการและความช่วยเหลือจากคนไทยอยู่เสมอ
“นักท่องเที่ยวจีนที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย และยังไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ในขณะนี้นั้น ทางการไทยไม่ได้กดดันหรือผลักดันกลับประเทศ เพราะไทยก็จะต้องดูแลคนจีนให้เหมือนกับที่จีนดูแลคนไทยอย่างดีที่สุด ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนกกับภาพที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อโซเชียลในกรณีว่าเมืองอู่ฮั่นเป็นเมืองร้าง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติเมื่ออยู่ในภาวะควบคุมการแพร่ระบาดโรคต่าง” นายดอน กล่าว