ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ เตรียมพร้อมรับศึกซักฟอก 25-27 ก.พ.นี้ – มติ ครม.จัดมาตรการลดผลกระทบท่องเที่ยวจากไวรัสโคโรนา

นายกฯ เตรียมพร้อมรับศึกซักฟอก 25-27 ก.พ.นี้ – มติ ครม.จัดมาตรการลดผลกระทบท่องเที่ยวจากไวรัสโคโรนา

4 กุมภาพันธ์ 2020


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

นายกฯ สั่งทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง เตรียมข้อมูล รับศึกซักฟอก 25-27 ก.พ.นี้ – มติ ครม.ไฟเขียวมาตรการลดผลกระทบธุรกิจท่องเที่ยวจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา

เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

เตรียมพร้อมรับศึกซักฟอก 25-27 ก.พ.นี้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงวันเวลาที่เหมาะสมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า วันนี้ได้มีการหารือเรื่องดังกล่าวในที่ประชุม ครม.แล้วได้ข้อสรุปว่าเป็นวันที่ 25-27 กุมภาพันธ์ นี้ โดยจะเสร็จสิ้นการอภิปรายในเที่ยงคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ และจะดำเนินการลงมติในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ และปิดสภาในวันที่ 29 กุมภาพันธ์

ต่อคำถามถึงความเห็น ที่มีการกล่าวหาจากฝ่ายค้านในการอภิปรายครั้งนี้รัฐบาลเตรียมจะแจกกล้วยหรือให้ผลประโยชน์ เพื่อดึงเสียงสนับสนุนให้ลงมติไม่ไว้วางใตรัฐบาล นายกฯ ว่า เรื่องนี้เป็นแค่ข้อกล่าวหา ตนไม่ขอตอบ ไม่มีประโยชน์

“ผมไม่ขอใช้คำว่าองครักษ์ที่จะช่วยในการชี้แจง เพราะการตอบคำถามจะเป็นไปตามหลักการและเหตุผลในประเด็นที่ถูกอภิปราย เนื่องจากรายละเอียดบางอย่างสามารถชี้แจงได้ ในส่วนของหน่วยงานและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ทุกคนปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของสภาอยู่แล้ว ให้เป็นการสร้างสรรค์ ไม่เป็นการสร้างวาทกรรมให้ร้าย ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีการพิจารณากันต่อไปอีกครั้งว่ามีการให้ร้ายอะไรกันหรือเปล่า ในสภาก็ว่ากันไป นอกสภาก็ว่ากันต่อไปในภายหลัง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ด้าน ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ทาง ครม.ก็ได้รับการประสานจากวิปรัฐบาลว่าวันที่จะอภิปรายฯ จะเป็นวันที่ 25-27 กุมภาพันธ์ และลงมติ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ก่อนจะปิดสมัยประชุมรัฐสภาในวันสุดท้ายของเดือน นอกจากนี้ ครม.ยังรับทราบเรื่องที่วิปรัฐบาลส่งเรื่องแก้ไขข้อความในญัตติอภิปรายที่เห็นว่ายังไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นจริง แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะพิจารณาอย่างไร

“ท่านนายกฯ กำชับว่าให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องเตรียมข้อมูลให้ครบถ้วนสำหรับการตอบคำถาม ส่วนเรื่องเศรษฐกิจให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ดูแลด้วย บรรยากาศการหารือเป็นไปอย่างราบรื่นดี”

ยันมีมาตรการตรวจกัก – คัดกรองโรคทุกด่าน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการการกักเรือที่มาจากประเทศจีนไว้ที่ท่าเรือเพื่อกักโรค 14 วันนั้นไทยจะมีการดำเนินการเหมือนกับประเทศออสเตรเลียหรือไม่ ว่า ตนยืนยันว่ามีการทำทุกที่ทั้งทางบก ทางเรือ ทางอากาศ  ณ ชายแดน และด่านตรวจต่างๆ รวมถึงช่องทางธรรมชาติ ซึ่งตนได้สอบถามไปยังกระทรวงคมนาคมแล้ว ผู้ที่เข้าประเทศผ่านทางท่าเรือได้มีการกักตัวกันโรคไว้ เพื่อคัดกรอง

เผยใช้พื้นที่ “อู่ตะเภา” กักตัวคนไทยจากอู่ฮั่น 14 วัน

ต่อคำถามถึงการเดินทางไปรับคนไทยกลับจากเมืองอู่ฮั่นหลังการระบาดของไวรัสโคโรนา พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการเดินทางด้วยเครื่องบินซึ่งต้องใช้เวลาต้นทางถึงปลายทางหลายชั่วโมง โดยคาดว่าจะเดินทางถึงประเทศไทยประมาณ 19.00 น. ตามกระบวนการจะต้องมีมาตรการคัดกรองก่อนขึ้นเครื่องเพื่อระมัดระวังการกลับมาแพร่เชื้อในไทย เมื่อเข้ามาก็ต้องหาพื้นที่รองรับ

อย่างไรก็ตาม ต้องเห็นใจคนที่กลับมาที่ต้องถูกกักตัวไว้ 14 วัน โดยต้องดูแลทั้งความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ญาติพี่น้องเยี่ยมได้หรือไม่อย่างไร ตอนนี้มีมาตรการพร้อม โดยตนตัดสินใจใช้พื้นที่อู่ตะเภาของกองทัพเรือรองรับผู้ที่เดินทางกลับ

“นั่นแหละมีทหารไว้ทำไม ทุกคนอยากได้กลับมา แต่ทุกคนไม่ต้องการ เอ๊ะ มันยังไงกัน ท้ายที่สุดทหารรับกันไป เห็นใจทหารเขาบ้างสิ เขาเสียสละ เขากลัวไหม เขาก็กลัว แต่ทหารเรือเขาก็ยินดีตอบรับ หาพื้นที่ที่เหมาะสม เป็นอาคารที่พักที่สะดวกสบายพอสมควร มันต้องช่วยกันแบบนี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า มีรายงานว่านายกฯ จะเดินทางไปเยี่ยมคนไทยกลุ่มดังกล่าว พล.อ. ประยุทธ์ ถอนหายใจ พร้อมกล่าวว่า เอาไปทีละอัน ต้องรอดูก่อน

เมื่อถามว่า มีรายงานว่าชาวเกาหลีใต้ที่เดินทางกลับจากไทยแล้วพบว่าติดเชื้อไวรัสโคโรนา ได้รับรายงานหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการรายงาน ซึ่งหลายประเทศเมื่อเดินทางกลับจากประเทศต่างๆ ก็มีติดเชื้ออยู่เหมือนกัน หลายประเทศจึงได้ทบทวนกันอยู่ตอนนี้ ดังนั้นเราต้องมีมาตรการคัดกรอง โดยเฉพาะกลุ่มคนไทยที่จะกลับมาในวันนี้ ต้องผ่านการควบคุมอะไรต่างๆ เพราะระยะการฟักตัวมีเวลาพอสมควร แต่เท่าที่ทราบชั้นต้น คนเหล่านี้ไม่ได้มีการติดเชื้อ

เมื่อถามว่า นายกฯ กังวลเรื่องการแพร่ระบาดในประเทศไทยหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้าถามว่ากังวลหรือไม่ ต้องบอกว่ากังวล เพราะสถานการณ์ยังมีอยู่ เราไม่ต้องการให้ไปสู่ระดับ 3 คือการแพร่ระบาดในประเทศไทย เราพยายามหยุดยั้งไว้ในระยะที่ 2 คัดกรองการเข้ามา ควบคุม ดูแล จัดเตรียมการรักษาพยาบาลให้เหมาะสมตามขั้นตอน

“ขอให้มั่นใจ ถึงจะกังวลยังไงก็ตาม เราก็ต้องมั่นใจในมาตรการของเรา และมาตรการของบุคลากรสาธารณสุขของเรา ซึ่งมาตรฐานของเราถือว่าระดับต้นของโลก แต่ถ้าจะมีการแพร่ระบาดก็เป็นเรื่องที่เราจะต้องแก้ปัญหาต่อไป เราไปสั่งให้เชื้อโรคมันหยุดก็คงไม่ได้ แต่ก็คิดว่าสถานการณ์จะคลี่คลายได้โดยเร็วด้วยความร่วมมือของประเทศต้นทาง กลางทาง ปลายทาง วันนี้เราต้องดูแลทุกพื้นที่ ทำเต็มที่แล้ว ขอให้เข้าใจว่า รัฐบาลได้ทำเต็มที่แล้ว ไม่เหมือนกับไข้หวัดนก เอาไก่ไปฆ่าทีนึง 3-4 ล้านตัว มันทำได้ไหม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

จัดมาตรการสภาพคล่องธุรกิจท่องเที่ยว บรรเทาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามที่ภาคเอกชนเร่งให้รัฐบาลพิจารณาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อเสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการช่วยเหลืออื่นๆ ในภาคการท่องเที่ยว ว่า วันนี้ได้มีการพิจารณาให้แล้ว จะเห็นได้ว่ารัฐบาลมีมาตรการเตรียมการไว้แล้วในการลดผลกระทบจากเรื่องการท่องเที่ยว ในช่วงนี้ต้องใช้เวลาที่มี ช่วงที่นักท่องเที่ยวน้อยในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงโรงแรมและสถานประกอบการต่างๆ เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเมื่อสถานการณ์คลี่คลายแล้วได้ ยืนยันว่าได้เตรียมการไว้แล้ว

“วันนี้นำเข้า ครม.แล้ว โดยเฉพาะ การช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ไวรัสโคโรนา ตามแนวทางของรัฐบาล วันนี้เดี๋ยวโฆษกคงชี้แจงรายละเอียดอีกครั้ง”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในเรื่องเศรษฐกิจตนได้ให้แนวทางไปว่า จะทำอย่างไรที่จะใช้งบประมาณที่มีอยู่ในปัจจุบันในการดำเนินการต่างๆ ให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจฐานราก ผู้ประกอบการรายเล็ก รัฐจะเสาะหาในส่วนที่มีศักยภาพของแต่ละชุมชน แต่ละพื้นที่ เพื่อให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นได้เข้าถึงเงินทุน เข้าถึงการตลาดให้ได้ โดยความร่วมมือของภาคเอกชนและภาคประชาชน ร่วมกับผู้นำชุมชนในพื้นที่ที่ไม่ใช่ส่วนราชการต่างๆ

นอกจากนี้ ตนยังได้ย้ำเตือนเรื่องมาตรการดูแลปัญหา PM2.5 ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงพาณิชย์ ให้ไปดูว่าจะทำอย่างไรสำกรับกรณีที่มีการเผาหรือไม่เผา เพราะบางครั้งก็ต้องดูความเดือดร้อนของประชาชนด้วยว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ หรือเกิดผลกระทบน้อยที่สุด

“การทำงานต้องเป็นแบบนี้ ไม่มีอะไรที่แก้ปัญหาได้ทีเดียวร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องค่อยๆ แก้ปัญหากันไป ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ หรือท้องถิ่น และความร่วมมือจากเอกชน ที่จะจัดหาสิ่งสำคัญ คือ เครื่องจักร หรือเครื่องไม้เครื่องมือในการช่วยเหลือเกษตรกร ก็ได้สั่งการให้หามาตรการเหล่านี้ไปแล้ว โดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอุตสาหกรรม” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้หน้ากากราคาแพงนำเข้าจากต่างประเทศ – จวกคนเลวชอบบิดเบือน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมาตรการที่ให้หน้ากากอนามัยเป็นสินค้าควบคุมข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า จะมีการประกาศกฎกระทรวงในช่วงบ่ายวันนี้ในราชกิจจานุเบกษา ตนได้สั่งการให้ กทม.และหน่วยงานของกระทรวงพาณิชย์รับหน้ากากฯ จากโรงงานมาจัดจุดจำหน่าย ให้ร้านค้าปลีกค้าส่งมาซื้อเพื่อไม่ให้ถูกใครหลอกหรือขึ้นราคา ซึ่งจะมีช่องทางให้ประชาชนแจ้งเข้ามา หากพบว่ามีการขายหน้ากากฯ เกินราคา สามารถแจ้งได้ทันที จะได้จับกุมลงโทษดำเนินคดีตามกฎหมาย

ต่อคำถามเรื่องความแตกต่างของหน้ากากฯ แต่ละประเภท พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้มีหน้ากากฯ สำหรับป้องกันไวรัสโคโรนา และ PM2.5 ราคาแตกต่างกันตามคุณภาพ

“หน้ากากกัน PM2.5 ที่มาจากต่างประเทศก็ราคาแพง ส่วนหน้ากากกันเชื้อไวรัสนั้นราคาถูก ไม่ใช่เอาราคามาบอกว่าแพงถ้าไปซื้อแพงมาใช้ หากมีเงินซื้อก็ซื้อของแพงไป ตอนนี้ระวังโคโรนาก็ระวังโคโรนาเป็นหลัก สำหรับประชาชนที่ไม่มีศักยภาพในการซื้อ ส่วนการป้องกันฝุ่นละอองที่ราคาแพงกว่าก็มีคนซื้อ ก็ซื้อกันได้ หน้ากากที่ใช้กันเชื้อไวรัสก็ใช้กัน PM2.5 ได้บ้างแหละ”

ในส่วนของ PM2.5 นั้นการที่จะให้รัฐบาลทำโน่นนี่ให้เต็มที่ ประชาชนจะมั่นใจหรือไม่ ถ้ารัฐบาลทำไป 100% แล้วจะแก้ได้ 100% ตนไม่เห็นประเทศไหนแก้ได้ 100% มีแต่แก้ไขให้ลดลง 70-80% ขึ้นอยู่กับสภาวะอากาศภายนอกด้วย ขอให้เข้าใจตรงนี้ อากาศจากภายนอกเพื่อนบ้านเข้ามาครอบ มันก็สะสมฝุ่นละออง เราก็ต้องแก้ปัญหาให้ได้มากที่สุด ไม่ใช่ว่าไม่ให้ความสำคัญ รัฐบาลให้ความสำคัญทุกอย่าง แต่ต้องเข้าใจว่า การทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ หากเกิดผลกระทบกับคนจำนวนมากจะต้องทำอย่างไรในมาตรการที่เหมาะสม ใครที่ช่วยเหลือตัวเองได้ ก็ช่วยเหลือตัวเองบ้าง ถ้ามีสตางค์ก็ช่วยซื้อกันเองบ้าง ข้อสำคัญหน้ากากฯ ที่ใช้ อย่าทิ้งส่งเดช เพราะมันเป็นขยะติดเชื้อ ไม่รู้ว่าเชื้ออะไรบ้าง ต้องถูกทำลาย ต้องเข้าใจและคิดให้รอบคอบ

“การให้ความรู้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลทำ แต่อย่างไรก็ตามก็ยังมีคนเลวๆ ชอบไปบิดเบือน ชอบทำให้เกิดปัญหา ผมคิดว่าต้องทำงานสร้างสรรค์ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาลอะไรก็แล้วแต่ วันนี้บ้านเมืองกำลังมีปัญหาอยู่ ท่านก็จะเล่นการเมืองกันอยู่แบบเดียว ผมว่ามันไม่ถูก เพราะนี่คือประเทศของท่านด้วย หรือไม่ใช่ประเทศของฝ่ายค้าน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในวันพฤหัสฯ ที่ 6 กุมภาพันธ์นี้ นายกรัฐมนตรีจะพูดคุยกับกลุ่มนักเรียนและคนไทยที่เดินทางกลับมาจากอู่ฮั่น ประเทศจีน เพื่อให้กำลังใจ และติดตามสอบถามชีวิตความเป็นอยู่ หลังต้องพำนักเพื่อเฝ้าสังเกตอาการที่ฐานทัพเรือสัตหีบเป็นเวลา 14 วัน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์

มติ ครม.มีดังนี้

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขวา) ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เห็นชอบมาตรการลดผลกระทบธุรกิจท่องเที่ยวจากไวรัสโคโรนา

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ภายหลังจากที่ ครม.เศรษฐกิจหารือเรื่องผลกระทบจากไวรัสโคโรนาและพิจาณามาตรการพยุงการท่องเที่ยว ในวันนี้ ครม.เห็นชอบมาตรการของกระทรวงการคลังที่เข้ามาวันนี้เพื่อบรรเทาปัญหาดังกล่าว แบ่งเป็นมาตรการทางการเงิน มาตรการขยายระยะเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียม และมาตรการภาษี รายละเอียดดังนี้

มาตรการทางการเงิน ได้แก่ มาตรการสินเชื่อ แบ่งเป็น

  • โครงการสินเชื่อ SME ประชารัฐสร้างไทยของธนาคารออมสิน มีวงเงินคงเหลือ 40,000 ล้านบาท คิดดอกเบี้ย 4% ต่อปีใน 2 ปีแรก ระยะเวลากู้สูงสุด 7 ปี โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นระยเวลา 4 ปี
  • โครงการสินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน (local economy loan) ของ SME Bank โดยมีวงเงินคงเหลือ 15,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3% ต่อปีใน 3 ปีแรก วงเงินต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาสูงสุด 7 ปี (ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 1 ปี)
  • โครงการสินเชื่อกรุงไทย SME ของธนาคารกรุงไทย วงเงินคงเหลือ 55,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 4% ต่อปี วงเงินต่อรายสูงสุด 3 เท่าของหลักประกัน ระยะเวลากู้เงินสูงสุด 7 ปี โดยกำหนดการจ่ายค่าธรรมเนียมค้ำประกันสินเชื่อแทนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เป็นระยเวลา 4 ปี
  • โครงการ Transformation Loan เสริมแกร่ง (ซอฟต์โลนเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักร ระยะที่ 2) ของธนาคารออมสิน วงเงินคงเหลือ 15,000 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ยกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจที่เข้าร่วมโครงการ 1% ต่อปี และธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจะคิดดอกเบี้ยกับลูกค้าเอสเอ็มอีต่ออีก 4% ต่อปี วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ระยะเวลาสูงสุด 7 ปี (ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 1 ปี)

มาตรการขยายเวลาการชำระหนี้และค่าธรรมเนียม แบ่งเป็น

  • ธนาคารออมสิน มีมาตรการขยายระยะเวลาชำระหนี้ให้ 2 เท่าของระยะเวลาคงเหลือตามสัญญา สูงสุดไม่เกิน 5 ปี สำหรับลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการท่องเที่ยว
  • SME Bank มีมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นสำหรับเงินกู้ยืมระยะยาวที่มีวงเงินคงเหลือไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลา 6 เดือน โดยต้องมีประวัติการผ่อนชำระหนี้ดีไม่น้อยกว่า 6 เดือนก่อนวันเข้าร่วมโครงการ และต้องไม่เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ สำหรับเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
  • ธ.ก.ส.มีมาตรการผัดผ่อนการชำระหนี้ได้ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน ต่อเนื่องไม่เกิน 5 ครั้ง หรือสามารถขอปรับปรุงโครงสร้างหนี้และขยายเวลาการชำระหนี้ได้ไม่เกิน 20 ปี สำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร หรือกองทุนหมู่บ้านที่ประสบปัญหาในการประกอบธุรกิจ
  • ธอส.มีมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยงินกู้และงวดผ่อนชำระได้ไม่เกิน 6 เดือน โดยคิดดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา เช่น ไกด์นำเที่ยว พนักงานโรงแรม ผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายสินค้าในแหล่งท่องเที่ยว
  • บสย.มีมาตรการพักชำระค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อ 12 เดือน สำหรับลูกค้าเอสเอ็มอีเดิมของ บสย. สำหรับธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ ธุรกิจการท่องเที่ยว ร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก

มาตรการด้านภาษี แบ่งเป็น

  • การขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อช่วยเหลือผู้มีหน้าที่เสียภาษีที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาที่อาจจะกระทบกับเศรษฐกิจไทย โดยให้ขยายออกไปอีก 3 เดือน หรือต้องยื่นภาษีภายในเดือนมิถุนายน 2563
  • มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ เพื่อช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสามารถหักรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องกับการอบรมสัมมนาภายในประเทศ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนได้จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึง 31 ธันวาคม 2563 เป็นจำนวน 2 เท่าของรายจ่ายที่จ่ายตามจริง ทั้งนี้ คาดว่าจะมีบริษัท 1,000 ราย และมีจำนวนเงินที่ใช้สิทธิภาษี 435 ล้านบาท และจะสูญเสียรายได้ประมาณ 87 ล้านบาท
  • มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงกิจการโรงแรม เพื่อช่วนส่งเสริมและกระตุ้นให้การลงทุนภาคเอกชนในกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้นในปี 2563 โดยให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม โดยให้หักรายจ่ายสำหรับเงินได้เท่ากับรายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการต่อเติม เปลี่ยนแปลง ขยายออก หรือทำให้ดีขึ้นซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการ แต่ไม่ใช่เป็นการซ่อมแซมให้คงสภาพเดิม เป็นจำนวน 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง และต้องเป็นทรัพย์สินคืออาคารถาวรที่มีไว้ใช้ในการประกอบกิจการโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม และเครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นส่วนประกอบและยึดติดกับอาคาร โดยเป็นรายจ่ายตั้งแต่ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563

มาตรการนี้คาดว่าจะมีผู้ผู้ประกอบการประมาณ 1,000 ราย คิดเป็นจำนวนเงินที่ใช้ในการปรับปรุงโรงแรม 24,000 ล้านบาท ทำให้สูญเสียรายได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลประมาณ 120 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 20 ปี ในส่วนของการลงทุนในเครื่องตกแต่งหรือเฟอร์นิเจอร์คาดว่าจะมีประมาณ 5,000 ล้านบาท และทำให้สูญเสียรายได้เงินได้นิติบุคคล 25 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 ปี รวมสูญเสียรายได้ 2,900 ล้านบาท

  • มาตรการลดอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินไอพ่น (น้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินฯ) เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตามนโยบายของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยวเมืองรองมากขึ้น โดยให้ปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับน้ำมันเชื้อเพลิงเครื่องบินจากเดิม 4.726 บาทต่อลิตรเหลือ 0.2 บาทต่อลิตร เป็นการชั่วคราวทั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 30 กันยายน 2563 หรือเป็นระยะเวลา 8 เดือน โดยคาดว่ารัฐจะสูญเสียรายได้รวม 2,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ครม.ยังอนุมัติกรอบวงเงิน 500 ล้านบาทเพื่อขับเคลื่อนมาตรการฟื้นฟูการท่องเที่ยว โดย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำขับให้กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กลับไปจัดทำรายละเอียดของมาตรการกลับมาเสนอ ครม.อีกครั้งโดยเร่งด่วน ซึ่งคาดว่าหากเป็นไปได้อังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ 2563 จะนำรายละเอียดของโครงการกลับมาเสนอ ครม.อีกครั้ง

ให้อำนาจสำนักงบฯจัดสรรเงินเป็น 75% รับมือเบิกจ่ายล่าช้า

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า สำหรับประเด็น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ซึ่งคาดว่าจะล่าช้าออกไปอีก เดิม ครม.ได้หลักเกณฑ์และเงื่อนไขการใช้งบประมาณประจำปี 2562 ไปพลางก่อน ซึ่งเดิมตามกฎหมายกำหนดให้ใช้จ่ายได้ไม่เกิดครึ่งหนึ่งของแผนงาน แต่เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าอาจจะมีโอกาสที่จะล่าช้าออกไปอีกและคาดการณ์ไม่ได้

ในวันนี้ ครม.จึงอนุมัติขยายกรอบวงเงินและรับทราบหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 2562 ไปพลางก่อน โดยแบ่งเป็น 1) ให้สำนักงบประมาณสามารถจัดสรรได้ 75% ของแผนงานและงบประมาณประจำปี 2562 เฉพาะรายได้ตามข้อผูกมัดสัญญาหรือภารกิจพื้นฐานหรือจำเป็นเร่งด่วนที่หากไม่ใช้จะกระทบกับการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ต้องไม่เกินแผนงานของงบนั้นๆ

2) รายการงบผูกพันข้ามปีที่เบิกจ่ายไว้ก่อนแล้วในปีที่แล้วและต้องใช้จ่ายต่อเนื่องในปีนี้ ถ้าไม่เพียงพอให้ใช้จ่ายจากงบกลางของปีงบประมาณ 2563 ไปพลางก่อน โดยให้ไปหักออกทีหลังเมื่องบประมาณประจำปี 2563 ประกาศใช้แล้วต่อไป

เห็นชอบหลักเกณฑ์ซื้อ-ขายข้าว จีทูจี

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.รับทราบแนวทางปฏิบัติในการเจรจาและการทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (government to government: G to G) ตามที่คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติเสนอ เพื่อให้การทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐมีความน่าเชื่อถือและโปร่งใสมากขึ้น และสามารถดำเนินการได้อย่างเหมาะสมสอดคล้องกับการค้าข้าวของประเทศในปัจจุบัน ซึ่งรัฐบาลของประเทศที่จะทำสัญญาซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทยจะต้องเป็นหน่วยงานรัฐบาลหรือผู้แทนที่ได้รับมอบหมายเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดำเนินการแทนรัฐบาลเท่านั้น เว้นแต่บางประเทศมีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เจรจาและทำสัญญาซื้อขายข้าวเพียงหน่วยงานเดียว

ทั้งนี้ ในการทำสัญญาซื้อขาย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศเป็นผู้เจรจาหรือเข้าร่วมการประมูลแบบ G to G และลงนามทำสัญญาซื้อขายข้าวในนามรัฐบาลไทย ส่วนสาระของการเจรจา อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศต้องนำเสนอปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพื่อนำเสนอนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานกรรมการ นบข. พิจารณาให้ความเห็นชอบการเสนอขาย การเจรจาต่อรองราคา การตกลงเงื่อนไขในสัญญา แนวทางจัดหาข้าวเพื่อส่งมอบ ก่อนการดำเนินการ

มากไปกว่านั้น ในกรณีที่ข้าวในสต็อกรัฐบาลไม่เพียงพอ ให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดหาข้าวเพิ่มเติมและส่งมอบตามสัญญา และกรณีรัฐบาลไม่มีข้าวในสต็อกที่ตรงกับความต้องการของผู้ซื้อ ให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดหาและส่งมอบข้าวตามสัญญา

การชำระเงิน  ต้องเป็นการชำระเงินระหว่างประเทศ เช่น  การเปิด letter of credit (L/C) และการโอนเงินระหว่างประเทศ (telegraphic transfer: T/T) ซึ่งสามารถตรวจสอบที่มาของเงินได้ โดยมีเอกสารหลักฐานการทำธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารทั้งของไทยและธนาคารของประเทศคู่ค้า

การส่งมอบข้าว รัฐบาลไทยจะต้องมีการส่งออกข้าวไปประเทศคู่ค้าจริง โดยมีหลักฐานสำคัญคือ ใบอนุญาตให้ส่งสินค้าออกไปนอกราชอาณาจักรแบบ อ.2 (สินค้าข้าว) ออกโดยกรมการค้าต่างประเทศที่ระบุว่าเป็นการส่งออก “ข้าวรัฐบาล”

กำหนดหลักเกณฑ์นำเข้าปาล์มน้ำมัน ป้องกันการลักลอบ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้น้ำมันปาล์มและแฟรกชันของน้ำมันปาล์ม และน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มเป็นสินค้าที่ต้องปฏิบัติตามมาตรการจัดระเบียบในการนำเข้าและนำผ่าน พ.ศ. …. เพื่อกำกับดูแลการนำเข้าและนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มฯ ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มให้เกิดประสิทธิภาพโดยเร็ว ซึ่งหากดำเนินการล่าช้าจะส่งกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนปาล์ม เนื่องจากมีการลักลอบนำเข้าน้ำมันปาล์มเข้ามาสวมสิทธิ์ทำให้ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มในประเทศตกต่ำ

ร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับนี้ ได้กำหนดด่านนำเข้าและนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มไว้ดังนี้

  1. ด่านนำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม จำนวน 3 ด่าน ได้แก่ ด่านศุลกากรมาบตาพุด สำนักงานศุลกากรกรุงเทพฯ และสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง
  2. ด่านนำผ่านสินค้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม ด้านต้นทาง จำนวน 1 ด่าน คือ สำนักงานศุลกากรท่าเรือกรุงเทพฯ และกำหนดด่านปลายทางสำหรับการนำผ่านน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์มไปยังแต่ละประเทศ คือ
    • ด่านศุลกากรจันทบุรี เป็นด่านปลายทางไปยังกัมพูชา
    • ด่านศุลกากรหนองคาย เป็นด่านปลายทางไปยังลาว
    • ด่านศุลกากรแม่สอด เป็นด่านปลายทางไปยังเมียนมา

ไฟเขียว “หน้ากากอนามัย-เจลล้างมือ” เป็นสินค้าควบคุม

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบสี่รายการเป็นสินค้าควบคุม สืบเนื่องจากมีการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในประเทศจีน และการเกิดฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ทำให้หน้ากากอนามัยและเจลล้างมือมีปริมาณไม่เพียงพอต่อความต้องการ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน ได้เสนอให้สินค้า 1) หน้ากากอนามัย 2)ใยสังเคราะห์ polypropylene (spunbond) เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย 3) ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ (เจลล้างมือ) เป็นสินค้าควบคุม

ซึ่ง ครม.ได้อนุมัติตามที่เสนอ และหลังจากนี้กรมการค้าภายในจะดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการปฏิบัติต่อสินค้าควบคุม เช่น หลักเกณฑ์และวิธีการขนย้าย (ส่งออก/นำออก) หน้ากากอนามัยต่อไป

“มากไปกว่านั้น ครม.ยังเห็นชอบให้เศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีกเป็นสินค้าควบคุม เนื่องจากผู้ประกอบธุรกิจโรงงานเยื่อกระดาษในประเทศมีการนำเข้าเศษกระดาษเพิ่มขึ้นอย่างมาก ทำให้ราคาเศษกระดาษตกต่ำ ส่งผลต่อระบบการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทรวงพาณิชย์จะกำหนดมาตรการที่เหมาะสมต่อไป”

อนึ่ง การประกาศสินค้าควบคุม 4 รายการนี้ ทำให้มีรายการสินค้าและบริการควบคุมเป็น 56 รายการ

เห็นชอบลดหย่อนภาษีจ้างอดีตนักโทษ

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า สืบเนื่องจากกระทรวงยุติธรรมมีนโยบายพัฒนาและส่งเสริมอาชีพของผู้พ้นโทษ ผู้ถูกคุมประพฤติ เด็กและเยาวชน ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน เพื่อสร้างความเป็นธรรมและลดความเลื่อมล้ำให้บุคคลเหล่านี้สามารถประกอบอาชีพสุจริตเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวหลังพ้นโทษได้ โดยไม่กลับมากระทำความผิดซ้ำ แต่หลังจากพ้นโทษแล้วบุคคลเหล่านี้ถือเป็นบุคคลที่มีประวัติทางอาชญากรรม ส่งผลให้นายจ้างหรือผู้ประกอบการปฏิเสธรับเข้าทำงาน ดังนั้น รัฐจึงมีมาตรการส่งเสริมให้นายจ้างหรือผู้ประกอบการจ้างงานผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัว

วันนี้ ครม.อนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษเข้าทำงาน) โดยมีสาระสำคัญคือ

  1. กำหนดสิทธิประโยชน์ทางภาษีโดยยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งรับผู้พ้นโทษที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำเป็นระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่ปล่อยตัวเข้าทำงาน สำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละ 50 ของรายจ่ายที่ได้จ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างงานผู้พ้นโทษเฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 15,000 บาทต่อคนต่อเดือน ในรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563
  2. กำหนดให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นี้ ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ตามมาตรา 59 แห่งประมวลรัษฎากร ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตภายในกำหนดตามกฎหมาย ตั้งแต่เดือนที่รับผู้พ้นโทษเข้าทำงานจนถึงเดือนสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้ใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้
  3. กำหนดนิยาม “ผู้พ้นโทษ” หมายถึง นักโทษเด็ดขาด มีสัญชาติไทย ที่ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ เนื่องจากครบกำหนดโทษตามหมายศาล ลดวันต้องโทษจำคุก หรือพักการลงโทษ

ทั้งนี้ มาตรการทางภาษีดังกล่าวทำให้รัฐจัดเก็บภาษีลดลงประมาณ 6,732 ล้านบาท แต่มีประโยชน์ในการ 1) สร้างแรงจูงใจให้ภาคเอกชนมีส่วนร่วมสนับสนุนการจ้างงานผู้พ้นโทษให้มีอาชีพสุจริตก่อให้เกิดรายได้ที่พึ่งพาตนเองอย่างมีศักดิ์ศรี 2) สร้างโอกาสให้ผู้พ้นโทษกลับคืนสู่สังคมได้อย่างมั่นคงและลดการกลับมากระทำความผิดซ้ำ 3) เสริมสร้างตลาดแรงงานในระบบเศรษฐกิจของไทยที่ขาดแคลนโดยไม่ต้องพึ่งพาแรงงานประเทศเพื่อนบ้าน

อนุมัติงบกลาง 178 ล้าน – สร้างพื้นที่นอนนักโทษเพิ่ม

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบงบกลาง 178 ล้านบาท สำหรับโครงการเพิ่มพื้นที่นอนสำหรับผู้ต้องขังตามที่กรมราชทัณฑ์ประสบปัญหาอย่างมากเรื่องพื้นที่ในเรือนจำไม่เพียงพอต่อจำนวนผู้ต้องขังที่มีอยู่ที่ 3.6 แสนคน ในขณะที่มีพื้นที่นอนสำหรับผู้ต้องขังได้เพียง 2.5 แสนคน มีจำนวนผู้ต้องขังเกินความจุของพื้นที่ 1.1 แสนคน ครม.จึงได้อนุมัติการใช้งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 178 ล้านบาท

สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายโครงการจัดทำพื้นที่นอนเพิ่มสำหรับผู้ต้องขัง ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์ได้ดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ภายในห้องขังให้เป็นเพื้นที่นอน 2 ชั้น ในเรือนจำต่างๆ ไปแล้ว รองรับจำนวนผู้ต้องขังได้ 1.5 หมื่นคน  จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการต่อ ซึ่งงบประมาณที่อนุมัตินี้ จะนำไปปรับปรุงเพิ่มพื้นที่นอน 2 ชั้น ในเรือนจำ 93 แห่ง ได้ 1,895 ห้อง รองรับผู้ต้องขังได้ 7.2 หมื่นคน

จัดซื้อเครื่อง EM ติดตามตัวนักโทษ 30,000 ตัว 877 ล้าน

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.เห็นชอบโครงการนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว (electronic monitoring: EM) มาใช้เพื่อเป็นมาตรการทางเลือกแทนการลงโทษจำคุก จำนวน 30,000 เครื่อง วงเงิน 877.26 ล้านบาท โดยขอผูกพันข้ามปีงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์ฯ ระยะเวลาดำเนินการ 30 เดือน ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2563-2565 วงเงิน 832.5 ล้านบาท

พร้อมทั้งเห็นชอบให้ยกเลิกการผูกพันงบประมาณรายการค่าเช่าอุปกรณ์เครื่องมือติดตามตัวอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมระบบควบคุมการทำงาน จำนวน 4,000 เครื่อง วงเงิน 151.20 ล้านบาท ตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 เนื่องจากบริษัทคู่สัญญาส่งมอบอุปกรณ์ไม่ตรงตามคุณลักษณะที่กำหนดไว้ในสัญญาเช่า ทางกรมคุมประพฤติจึงบอกเลิกสัญญา

โครงการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความแออัดในเรือนจำโดยการเช่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวพร้อมระบบที่เกี่ยวข้องสำหรับการติดตามตัวผู้กระทำผิดตามที่กรมประพฤติกำหนด ครอบคลุม 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) ผู้ถูกคุมประพฤติตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 2) ผู้ต้องราชทัณฑ์ นักโทษเด็ดขาดที่ได้รับการพักการลงโทษหรือได้รับการลดวันต้องโทษจำคุกตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และ 3) ผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545

คุณลักษณะเฉพาะของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวตามที่กำหนดไว้ เช่น เป็นระบบ GPS และระบบ RF (radio frequency — คลื่นความถี่วิทยุ) แบบชิ้นเดียว มีน้ำหนักรวมไม่เกิน 250 กรัม ระบบการแจ้งเตือน เป็นการแจ้งเตือนแบบ real-time เมื่อเกิดเหตุกับอุปกรณ์ เช่น แบตเตอรี่เหลือน้อยกว่า 20 เปอร์เซ็นต์  ออกนอก/เข้าเขตพื้นที่ที่กำหนด ถอดอุปกรณ์หรือสายรัดโดยไม่ได้รับอนุญาต อุปกรณ์/สายรัดถูกทำลาย เป็นต้น โดยระบบจะแจ้งเตือนผ่าน 3 ช่องทาง ได้แก่ 1) เว็บไซต์ 2) การส่งข้อความ (SMS) ไปยังหมายเลขโทรศัพท์ตามเขตพื้นที่รับผิดชอบของเจ้าหน้าที่ตามที่กรมคุมประพฤติกำหนด และ 3) การส่งข้อมูลผ่านอีเมลไปยังเจ้าหน้าที่

ทั้งนี้ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กระทรวงยุติธรรมจะนำอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้กับกลุ่มเป้าหมายจำนวน 137,062 ราย สรุปได้ดังนี้

1. กลุ่มนักโทษเด็ดขาดที่เข้าเกณฑ์การพักโทษในกรณีปกติ รวม 21,117 ราย แบ่งเป็นคดีทั่วไป จำนวน 3,333 ราย คดียาเสพติด จำนวน 17,784 ราย

2. กลุ่มนักโทษเด็ดขาดที่เข้าเกณฑ์การพักโทษในกรณีมีเหตุพิเศษ รวม 72,298 ราย แบ่งเป็นคดีทั่วไป จำนวน 12,532 ราย คดียาเสพติด จำนวน 59,766 ราย

3. ผู้เข้ารับการตรวจพิสูจน์คดียาเสพติด รวม 13,647 ราย

4. ผู้เข้ารับการฟื้นฟูสมรรถภาพยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด พ.ศ. 2545 ที่ยังไม่สามารถเข้ารับการบำบัดในศูนย์วิวัฒน์พลเมืองได้ รวม 30,000 คน

รณรงค์ปลูกต้นไม้ดูดฝุ่น

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.รับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาฝุ่นว่าแนวทางหนึ่งคือการปลูกต้นไม้ที่สามารถกรองฝุ่นได้ เพื่อรองรับนโยบายนี้ กระทรวงเกษตรจัดร่วมกับ วช., กทม. และภาคเอกชนร่วมกันจัดงานปลูกเพื่อปอด ท่านนายกรัฐมนตรีจะไปมอบต้นไม้ที่มีคุณสมบัติกรองฝุ่น ได้แก่ พร้า หางนกยูง เศรษฐี ในงานวันที่ 9 กุมภาพันธ์นี้ ที่ลานน้ำพุ สยามพารากอน เวลา 9:00 น. ใช้พื้นที่ กทม.เป็นโครงการนำร่องและจะขยายไปในจังหวัดอื่น โดยไม่ใช้งบประมาณ แต่ทำงานร่วมกับเอกชน บางจาก

โดยจะแจกให้ 1 ล้านต้นและแจกให้คนละ 5 ต้น แต่มีเงื่อนไขคือลงทะเบียนก่อนที่ www.green-city.online เพื่อแจ้งชื่อ นามสกุล คนที่ลงทะเบียนก่อนวันที่ 9 จะรับได้ที่พารากอน ส่วนคนที่ลงทะเบียนหลังจากนั้นระบุได้ว่าจะไปรับที่ไหนที่สะดวกที่สุด

ผลสัมฤทธิ์ มีการจัดประกวดว่าพื้นที่ใดปลูกต้นไม้เยอะกว่ากัน เอกชนก็จะไปดูแลแต่ละพื้นที่และวัดว่าแต่ละพื้นที่สามารถลดฝุ่นได้จริงหรือไม่ อีกส่วนจะมีอาชีพเสริมที่จะปลูกต้นไม้ทั่วไปให้หันมาปลูกต้นไม้ที่กรองฝุ่นมากขึ้น เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดแน่นอน

กำหนดมาตรฐาน มอก. “เพาเวอร์แบงก์”

นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับใช้งานแบบพกพา คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน พ.ศ. …. เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับสินค้าที่อาจก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย โดยให้มีผลใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนด 150 วันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

โดยร่างกฎกระทรวงนี้เป็นการออกกฎกระทรวงตาม มาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ.มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ฉ.8) พ.ศ. 2562 เพื่อกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับใช้งานแบบพกพา (เพาเวอร์แบงก์) ต้องมีคุณลักษณะเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก.2879-2560 ตามประกาศ อก. ฉ. 5091 ซึ่งได้จัดให้มีการรับรองความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องแล้ว

อนึ่ง “แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับการใช้งงานแบบพกพา” หมายถึง อุปกรณ์จัดเก็บพลังงานแบบพกพาที่มีแบตเตอรี่ทุติยภูมิและมีวงจรอัดประจุไฟฟ้า ที่มีแรงดันไฟฟ้าด้านนอกกระแสตรงไม่เกิน 6 โวลต์ อย่างน้อย 1 ช่องทาง ซึ่งรวมถึงแบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าที่รองรับระบบการจ่ายแรงดันไฟฟ้าด้านนอกสำหรับการอัดประจุแบบรวดเร็ว (quick charge) เพื่ออัดประจำไฟฟ้าให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ผ่าน ร่าง พ.ร.บ.ก่อการร้ายฯ จนท.ทำผิด ลงโทษ 3 เท่า

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย พ.ศ. …. ตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ เนื่องจากเห็นว่า การตรา พ.ร.บ.ดังกล่าว มีความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย หากไม่ดำเนินการจะกระทบความั่นคงของชาติในวงกว้าง และสอดคล้องกับ มาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมโดยตัดบทบัญญัติในส่วนที่ซ้ำซ้อนกับกฎหมายอื่นออก และจัดเรียงอำนาจหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่ตามร่าง พ.ร.บ.นี้มีความถูกต้องและชัดเจน

โดยมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามการก่อการร้าย โดยกำหนดให้ สมช.เป็นหน่วยงานบูรณาการและกำหนดหน้าที่และอำนาจเจ้าหน้าที่ รวมถึงมาตรการในการคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่และคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน  ดังนี้

  1. กำหนดคำนิยาม “การก่อการร้าย” ให้หมายถึงการกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา และกำหนดคำนิยาม “พนักงานเจ้าหน้าที่” โดยกำหนดประเภทและระดับตำแหน่งของข้าราชการที่จะปฏิบัติหน้าที่ และกำหนดให้ก่อนปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่จะต้องเข้ารับการฝึกอบรมตามหลักสูตรที่ สมช.กำหนดด้วย
  2. กำหนดมาตรการเชิงป้องกันการก่อการร้าย โดยกำหนดอำนาจทั่วไปสำหรับพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการเข้าไปในเคหสถานหรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้นบุคคลหรือทรัพย์สิน การค้นบุคคลหรือยานพาหนะที่มีเหตุสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย การยึดหรืออายัดทรัพย์สิน การห้ามเข้า ห้ามใช้เส้นทางคมนาคม ยานพาหนะ อาคาร สถานที่ หรือสั่งอพยพ การเข้าถึงและได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย การสะกดรอยผู้ต้องสงสัยว่าจะกระทำความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย การปฏิบัติการอำพราง การเคลื่อนย้ายภายใต้การควบคุม การจับกุมและการควบคุมตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย
  3. กำหนดมาตรการเชิงปราบปรามการก่อการร้าย โดยกำหนดอำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ในกรณีที่ สมช.ได้ประกาศสถานการณ์อันเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงแห่งชาติในด้านการก่อการร้ายแล้ว ให้มีอำนาจเพิ่มเติมในการควบคุมการเสนอข่าวหรือข้อมูลข่าวสารที่ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตกใจหรือหวาดกลัว การออกคำสั่งห้ามบุคคลออกไปนอกราชอาณาจักรในกรณีที่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าเป็นการออกไปเพื่อเตรียมการหรือเข้าร่วมการก่อการร้าย การออกคำสั่งให้คนต่างด้าวออกไปนอกราชอาณาจักรเพื่อป้องกันการก่อการร้าย และการควบคุมการซื้อ ขาย ใช้ หรือครอบครองอาวุธหรือสิ่งอื่นใดที่อาจนำไปใช้ในการก่อการร้าย ทั้งนี้ ต้องไม่เกินสมควรแก่เหตุ ไม่เกินความจำเป็น และได้สัดส่วนกับระดับความรุนแรงและผลกระทบต่อประชาชนด้วย
  4. กำหนดขอบเขตการบังคับใช้ เขตอำนาจศาล และสถานะของพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยกำหนดให้ระเบียบ คำสั่ง หรือการกระทำตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และให้การดำเนินคดีอยู่ในอำนาจของศาลยุติธรรม รวมทั้งกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
  5. กำหนดบทกำหนดโทษ โดยกำหนดให้ผู้ใดที่เปิดเผยการได้มาซึ่งเอกสาร หรือข้อมูลข่าวสารตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หกหมื่นถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และกำหนดให้พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้กระทำการนอกเหนือจากการปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องระวางโทษหนักเป็นสามเท่าที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

เคาะยุติโครงการเดินเรือ แม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบการยุติการดำเนินโครงการปรับปรุงร่องน้ำการเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง ภายใต้ความตกลงการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง พ.ศ. 2543 ซึ่งเดิมทีร่างความตกลงดังกล่าวจัดทำขึ้นระหว่างรัฐบาจีน สปป.ลาว เมียนมา และไทย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การเดินเรือในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง เป็นไปโดยเสรี สะดวก ปลอดภัยและมีระเบียบ ลดความเสี่ยงอุบัติเหตุ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมการค้าขายระหว่างกัน

โดยที่ผ่านมาไทยในฐานะประเทศสมาชิกได้ร่วมดำเนินการภายใต้การดำเนินงานเบื้องต้นฯ มีการจ้างเอกชนจัดทำแผนปฏิบัติงานสำรวจและเก็บข้อมูลผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม (ESIA) และได้มีการรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่แล้ว อย่างไรก็ตามในการประชุมคณะกรรมการ JCCN เมื่อวันที่ 26-27 มีนาคม 2562 ฝ่ายจีนได้แจ้งว่าไม่ได้จัดสรรงบฯ สำหรับดำเนินการโครงการดังกล่าวแล้วและการดำเนินการต้องสิ้นสุดลงโดยจะไม่มีการดำเนินการใดๆ เว้นแต่จะมีความเห็นชอบร่วมกันในระหว่างสมาชิกทางการทูต

ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคมเห็นว่า รายงานผลการดำเนินงานเบื้องต้นฯ ยังไม่ครบถ้านสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ ประกอบกับภาคประชาชนยังมีข้อกังวลเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศทางธรรมชาติ สังคม และวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโยงทั้ง 8 จังหวัดของไทย นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลต่อท่าทีในการเจรจาทางด้านเทคนิคในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนในแม่น้ำโขงในอนาคต (ระหว่างไทยและ สปป.ลาว) ประกอบกับจีนไม่ได้จัดสรรงบฯ สำหรับโครงการแล้ว จึงเห็นควรให้ยุติการดำเนินโครงการดังกล่าว

เห็นชอบ “นักวิจัยโภชนาการ” เป็นการประกอบโรคศิลปะ

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดให้สาขาการกำหนดอาหารเป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ . … โดยกำหนดให้ “การกำหนดอาหาร” เป็นการกระทำต่อมนุษย์ หรือมุ่งหมายจะกระทำต่อมนุษย์เกี่ยวกับการวินิจฉัยปัญหาโภชนาการ โดยการประเมินภาวะโภชนาการของผู้ป่วย วิเคราะห์และวางแผนการให้โภชนบำบัด การให้คำปรึกษา ติดตาม ประเมินผล ส่งเสริม และฟื้นฟูภาวะโภชนาการและการดัดแปลงอาหารเฉพาะโรคให้เป็นไปตามแผนการรักษาเพื่อให้เหมาะสมกับโรคและภาวะโภคชนาการ เพื่อประโยชน์แก่ประชาชนที่รับบริการจากผู้ที่ประกอบวิชาชีพเฉพาะด้าน

โดย ร่าง พ.ร.ฎ.ดังกล่าว มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ “สาขาการกำหนดอาหาร” เป็นสาขาการประกอบโรคศิลปะ ตามมาตรา 5 (8) แห่ง พ.ร.บ.ประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยให้มีคณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหาร ทำหน้าที่รับขึ้นทะเบียนและออกใบอนุญาต เพิกถอนใบอนุญาตแก่ผู้ประกอบโรคศิลปะสาขานั้นๆ ให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำแก่สถานศึกษาเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาประกอบโรคศิลปะสาขานั้น

นอกจากนี้ ยังได้กำหนดคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นผู้ประกอบโรคศิลปะสาขาการกำหนดอาหารต้องเป็นผุ้ที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรเที่ยวเท่าสาขาการกำหนดอาหารจากสถาบันการศึกษา ที่คณะกรรมการวิชาชีพสาขาการกำหนดอาหารรับรอง และต้องสอบผ่านความรู้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการฯ กำหนด

ตั้ง “ธนดล เผ่าจินดา” นั่งผู้ทรงคุณวุฒิ ใน คกก.กำลังพลสำรอง

นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายชาญวิทย์ นาคบุรี รองผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาด้านการประเมินผลรัฐวิสาหกิจ (นักวิเคราะห์รัฐวิสาหกิจทรงคุณวุฒิ) สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ กระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นวันที่ผู้ครองตำแหน่งอยู่เดิมเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

นอกจากนี้ ยังมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหมเสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกำลังพลสำรอง (คกส.) จำนวน 5 คน ดังนี้  1. พลเอก ธนดล เผ่าจินดา 2. พลเอก อภิชัย ทรงศิลป์ 3. นายประพันธ์ ปุษยไพบูลย์ 4. พลเอก วิเชียร มัญญะหงษ์ 5. นายสุรเดช วลีอิทธิกุล ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2563เพิ่มเติม