ThaiPublica > เกาะกระแส > เจาะโอกาสการค้าการลงทุนในกัมพูชา (ตอน 1) ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีมากทุกระดับ

เจาะโอกาสการค้าการลงทุนในกัมพูชา (ตอน 1) ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีมากทุกระดับ

17 มกราคม 2020


นายปัญญารักษ์ พูลทรัพย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำราชอาณาจักรกัมพูชา

กัมพูชา หนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) และหนึ่งในสมาชิกประเทศอาเซียน มีการเติบโตทางเศรษฐกิจในอัตราสูงมากเป็นอันดับต้นๆ ของอาเซียน จากการเข้ามาลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างประเทศ เนื่องจากมีวัตถุดิบ มีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ มีแรงงานจำนวนมากซึ่งยังมีค่าแรงที่ต่ำ ประกอบกับการส่งเสริมการลงทุนเพื่อยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

การเข้ามาลงทุนในกัมพูชาจึงมีโอกาสอีกมาก เมื่อวันที่ 15-17 มกราคม 2563 ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย ได้นำลูกค้าธุรกิจเดินทางไปกัมพูชาเพื่อศึกษาโอกาสและข้อมูลสำหรับการลงทุนในกัมพูชา พร้อมกับร่วมงานสัมมนา Economic Overview and Investment Opportunities in Cambodia เพื่อฉายภาพสภาวะเศรษฐกิจและโอกาสการลงทุนในประเทศกัมพูชา

คณะนักธุรกิจไทยได้เข้าพบนายปัญญารักษ์ พูลทรัพย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำราชอาณาจักรกัมพูชา พร้อมกับรับฟังการบรรยาย ภาวะเศรษฐกิจการค้า การลงทุนของกัมพูชา โดยนายจิรวุฒิ สุวรรณอาจ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ สถานทูตไทยประจำกัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ

ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาดีเยี่ยมทุกระดับ

ผู้สื่อข่าวไทยพับลิก้ารายงานว่านายปัญญารักษ์ พูลทรัพย์ เอกอัครราชทูตไทยประจำกัมพูชา ได้ให้ข้อมูลว่าตั้งแต่รัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลสมัยที่แล้วจนมาถึงปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาดีเยี่ยม มีการแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง ในระดับผู้นำมีการพบกันทุกเดือน เพราะในเวทีอาเซียนมีการประชุมระหว่างประเทศค่อนข้างถี่ เฉลี่ยแล้วเกือบทุกเดือน ดังนั้นผู้นำทั้งสองเวลามีปัญหาหรือข้อติดขัดก็สามารถหารือกันอย่างใกล้ชิดแทบจะทุกเดือน ปัญหาที่คั่งค้างระหว่างกันก็สามารถเปลี่ยนไปได้ด้วยดี

“ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา ตอนนี้ไม่มีปัญหาใดๆ ระหว่างกันเลย” นายปัญญารักษ์กล่าว

นอกจากความสัมพันธ์ระดับสูงแล้ว ยังมีกลไกอื่นทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ที่มีการแลกเปลี่ยนระหว่างกันในระดับคณะกรรมการร่วมหลายชุด เช่น Joint Commission, Joint Trading Commission รวมทั้งประเทศไทยมีโครงการที่ให้ความช่วยเหลือด้านวิชาการทั้งด้านการศึกษา ด้านสาธารณสุข เพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวกัมพูชาเพื่อยกระดับทรัพยากรบุคคลของชาวกัมพูชาให้เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า และเป็นทรัพยากรที่มีฐานะดีขึ้น อันจะเป็นการขยายตลาดสินค้าไทยในหมู่ชาวกัมพูชาด้วย

โครงการเหล่านี้ได้แก่ โครงการพระราชทานความช่วยเหลือของพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งมีความสำคัญต่อประเทศทั้งสอง ทั้งการศึกษา สาธารณสุข หลายโครงการในกัมพูชา ที่โดดเด่นคือการพระราชทานทุนการศึกษาแบบไม่มีข้อผูกมัดปีละ 200 ทุน รวมทั้งได้พระราชทานสถาบันเทคโนโลยีให้ 2 แห่งที่วิทยาลัยกำปงเฌอเตียล อยู่ที่จังหวัดจังหวัดกำปงธม วิทยาลัยเทคโนโลยีกำปงสปือ ใกล้กับกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นสถาบันที่สอนทางด้านวิชาชีพ ทำให้ชาวกัมพูชาสามารถยกระดับคุณภาพบุคคลากรทางด้านวิชาชีพได้เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมร่วมมือระหว่างประเทศ มีโครงการให้ความช่วยเหลือทางด้านวิชาการหลายโครงการ มีการแลกเปลี่ยนด้านวิชาการ การถ่ายทอดวิทยาการสมัยใหม่ การให้ทุนการศึกษาไปศึกษาเพิ่มเติมทั้งระยะสั้นและระยะยาวในประเทศไทย เป็นโครงการพัฒนายกระดับบุคคลากรของกัมพูชาด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล และโครงการพัฒนาต่างๆ มากมาย

“ทั้งหมดนี้เป็นการวางรากฐาน ระดับประชาชน เยาวชน นักศึกษา เพราะเยาวชนเหล่านี้จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีรายได้ดีมีฐานะให้มีความนิยมไทยต่อไป ปกติชาวกัมพูชานิยมไทยอยู่แล้ว โครงการต่างๆ เหล่านี้เป็นการเสริมรากฐานให้ความนิยมไทยมากขึ้น เป็นผู้ที่จะสามารถนิยมสินค้าไทยซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่ไทยจะสามารถขยายตลาดสินค้าไทย ความนิยมไทยในหมู่ชาวกัมพูชาต่อไปในอนาคต และทำให้สินค้าไทยเป็นที่นิยมในตลาดกัมพูชามากขึ้น” นายปัญญารักษ์กล่าว

นักธุรกิจและตัวแทนจากธุรกิจไทย ที่เดินทางไปศึกษาโอกาสการลงทุนในกัมพูชา ณ สถานทูตไทยประจำกัมพูชา ในกรุงเพนมเปญ

สำหรับความสัมพันธ์ในระดับประชาชน โดยที่ประเทศไทยและกัมพูชามีเส้นเขตแดนระหว่างกันถึง 800 กิโลเมตร ประชาชนของประเทศทั้งสองไปมาหาสู่กันมาตั้งแต่ในสมัยประวัติศาสตร์แล้ว นายปัญญารักษ์กล่าว

“ขณะนี้รัฐบาลทั้งสองมีนโยบายตรงกันคือ ให้ชายแดนมีความสงบเพื่อที่ประชาชนของประเทศทั้งสองจะสามารถไปมาหาสู่กัน ทำมาค้าขายกัน บางคนก็มีครอบครัวทางกัมพูชา ชาวกัมพูชาบางคนก็มีครอบครัวอยู่ทางไทย ดังนั้นการที่ชายแดนสงบไม่มีการปิดด่าน ประชาชนสามารถไปมาหาสู่กันได้ตลอดเวลา เป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์อันดี จะเกื้อกูลต่อการส่งเสริมการค้าระหว่างกันด้วย เนื่องจากการค้าชายแดนมีมูลค่าถึง 50% ของมูลค่าการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชา” นายปัญญารักษ์กล่าว

ความสัมพันธ์ด้านสังคมและวัฒนธรรมก็ดีเยี่ยมเช่นกัน เพราะชาวกัมพูชาโดยทั่วไปนิยมเดินทางไปรักษาพยาบาลในประเทศไทย ไปกันเป็นครอบครัว ทั้งนี้อยู่บนพื้นฐานที่เขามีความนิยมไทย นิยมภาพยนตร์ ละครไทย ซึ่งภาพยนตร์และละครไทยช่วยสร้างความนิยมไทยให้แก่ชาวกัมพูชาได้อย่างดีจริง ได้เห็นไลฟ์สไตล์ เสื้อผ้า เครื่องใช้ที่คนไทยใช้ เมื่อไปเมืองไทยก็ไปซื้อสินค้าเหล่านี้

  • “พลเอก วิชิต ยาทิพย์” สวมบท Personal Contact เชื่อมสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา-เมียนมา ชูธงสมาคมมิตรภาพดูแลแบบพี่น้อง
  • นายปัญญารักษ์กล่าวอีกว่า โอกาสในการเข้าลงทุนของไทยในภาพรวมมีมาก คนกัมพูชามีความนิยมไทยอยู่แล้ว นิยมสินค้าไทย นิยมแบรนด์ไทย สินค้าไทยที่ติดตลาดในเมืองไทยอยู่แล้ว ชาวกัมพูชายินดีต้อนรับเสมอ ดังนั้นหากนักธุรกิจไทยจะขยายการลงทุนมายังกัมพูชา มีโอกาสมาก แรงงานมีจำนวนมาก อายุเฉลี่ยอยู่ในวัย 25 ปี วัยทำงาน ค่าแรงงานขั้นต่ำเอื้ออำนวยต่อการลงทุนของต่างชาติ

    นอกจากนี้ สถานการณ์ทางเมืองของกัมพูชาถือว่าค่อนข้างมั่นคง รัฐบาลอยู่ในอำนาจมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจัยด้านการเมืองเป็นปัจจัยดึงดูดที่สำคัญสำหรับนักลงทุนต่างชาติ เพราะการเมืองมั่นคง รัฐบาลมีนโยบายที่ต่อเนื่อง

    “ประเด็นที่คนไทยทุกคนไม่ว่าจะไปลงทุนที่ไหนก็ตาม ต้องคำนึงว่าเป็นประเด็นที่อ่อนไหว ที่ต้องให้ความสำคัญคือ การให้ความเคารพในความเป็นชาติของเขา ไม่ดูถูกเขา หรือไม่คิดว่า เขาต่ำต้อยกว่าไทย ทุกประเทศก็ต้องการให้ต่างชาติให้ความเคารพเขา ให้มองเขาว่าเขาเป็นชาติอธิปไตยชาติหนึ่ง ไม่ว่าพื้นที่ของเขาจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม” นายปัญญารักษ์กล่าว