ThaiPublica > เกาะกระแส > แบงก์กรุงเทพโชว์ผู้นำภูมิภาคอาเซียน เทกโอเวอร์แบงก์เพอร์มาตา อินโดนีเซีย หนุนกลยุทธ์ขยายธุรกิจต่างประเทศ

แบงก์กรุงเทพโชว์ผู้นำภูมิภาคอาเซียน เทกโอเวอร์แบงก์เพอร์มาตา อินโดนีเซีย หนุนกลยุทธ์ขยายธุรกิจต่างประเทศ

13 ธันวาคม 2019


นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

เมื่อวานนี้ (12 ธันวาคม 2562) เวลา 18.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ธนาคารกรุงเทพได้จัดให้มีการแถลงข่าว การเข้าซื้อหุ้นธนาคารเพอร์มาตา (Permata) อินโดนีเซีย โดยคณะผู้บริหารที่เข้าร่วมประกอบด้วย นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร, นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร, นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ และนายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ ซึ่งเป็นการจัดพร้อมกับการแถลงข่าวในอินโดนีเซีย โดยนายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ นำเข้าสู่การแถลงข่าวโดยกล่าวว่า เมื่อ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมาที่กรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย ได้มีพิธีลงนามในสัญญาซื้อขายหุ้นระหว่างกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และ พีที แอสทรา อินเตอร์เนชั่นแนล ทีบีเค เรียบร้อยแล้ว

“ขณะนี้คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ก็อยู่ที่กรุงจาการ์ตา และกำลังจะแถลงข่าวกับสื่อมวลชนพร้อมกับการแถลงข่าวในประเทศไทย การแถลงข่าวครั้งนี้จะเป็นการตอบคำถามต่างๆ ของสื่อมวลชน แต่ก่อนที่จะเริ่มการแถลงข่าวขอเชิญคุณเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหารของธนาคาร กล่าวทักทายสื่อมวลชน”

นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า ยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับความสนใจจากสื่อมวลชน การเข้าซื้อหุ้นเพอร์มาตาของธนาคารกรุงเทพ เป็นการซื้อจากสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด และแอสทราที่ถือหุ้นในสัดส่วนที่เท่ากันคือ 45% แต่ในการเจรจาจะซื้อทั้งหมดหรือไม่ ต้องรออีกระยะหนึ่ง ซึ่งหากซื้อทั้งหมดก็จะทำให้ฐานะของธนาคารกรุงเทพในอินโดนีเซียก็จะใหญ่ขึ้น

“ธนาคารกรุงเทพได้เข้าไปดำเนินธุรกิจในอินโดนีเซียเมื่อ 20 ปีก่อน การอยู่ที่นั่นมีลูกค้าจำนวนมากพอสมควร ซึ่งหากได้ธนาคารเพอร์มาตาเข้ามาจะทำให้ธุรกิจใหญ่ขึ้น ก็จะเป็นธนาคารหนึ่งในประเทศอาเซียน ทำให้มีประสิทธิภาพในการบริหารธุรกิจในภูมิภาค” นายเดชากล่าว

ดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่, นายเดชา ตุลานันท์ ประธานกรรมการบริหาร, นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู กรรมการรองผู้จัดการใหญ่, นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร และนายไชยฤทธิ์ อนุชิตวรวงศ์ รองผู้จัดการใหญ่ (จากซ้ายมาขวา)

สร้างรากฐานมั่นคงในอาเซียนก้าวสู่ผู้นำภูมิภาค

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร ให้รายละเอียดการซื้อหุ้นว่า “ผมรู้สึกยินดีที่ได้แจ้งข่าวการทำธุรกรรมครั้งสำคัญของธนาคารกรุงเทพ ในอินโดนีเซียให้ทุกท่านทราบ”

“วันนี้ธนาคารกรุงเทพได้ทำสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไขกับธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จำกัด (มหาชน) กับแอสทรา อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อถือหุ้นในสัดส่วน 89.12% ในธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งเป็นธนาคารในอินโดนีเซีย และมีแผนที่จะทำคำเสนอซื้อหุ้นที่เหลืออีก 10.88% ในธนาคารเพอร์มาตา หลังจากการเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 89.12% เรียบร้อยแล้ว” นายจรัมพรกล่าว

การทำธุรกรรมครั้งนี้จะแล้วเสร็จในปีหน้า ภายใต้เงื่อนไขการอนุมัติของหน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ และผู้ถือหุ้นธนาคารกรุงเทพ ซึ่งธนาคารมั่นใจว่า จะได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

นายจรัมพรได้ให้ข้อมูลธนาคารกรุงเทพว่า เป็นธนาคารไทยมีเครือข่ายต่างประเทศที่กว้างขวางที่สุด 31 สาขาครอบคลุม 14 เขตเศรษฐกิจสำคัญของโลก และมีสัดส่วนสินเชื่อจากเครือข่ายสาขาต่างประเทศ 17% ของสินเชื่อรวมของธนาคาร

สำหรับธนาคารเพอร์มาตา เป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำอยู่ในอันดับที่ 12 ของอินโดนีเซียเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม มีเครือข่ายขนาดใหญ่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มีความโดดเด่นในด้านการให้บริการลูกค้าทั้งผ่านสาขา และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เป็นเลิศ ตลอดจนมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูง ธนาคารเพอร์มาตาจึงมีความพร้อมที่จะเติบโตและสร้างผลกำไร ธนาคารพร้อมที่จะทำงานร่วมกับผู้บริหาร พนักงานของเพอร์มาตา เพื่อเติบโตด้วยกันต่อไปในอนาคต

นายจรัมพรกล่าวว่า เหตุผลเชิงกลยุทธ์ในการทำธุรกรรมครั้งสำคัญนี้ คือ การขยายธุรกิจในต่างประเทศเป็นกลยุทธ์สำคัญของธนาคาร ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพได้ริเริ่มกลยุทธ์เชื่อมโยงสู่ภูมิภาค เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนลูกค้าในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศ

“อินโดนีเซียเป็นตลาดที่เราให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุดในเอเชีย ด้วยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคที่น่าดึงดูดใจ ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่เอื้ออำนวย ตลอดจนความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นของประเทศในภูมิภาคอาเซียน” นายจรัมพรกล่าว

การที่ธนาคารกรุงเทพเข้าไปทำธุรกิจในอินโดนีเซียตั้งปี 2511 ทำให้มีประสบการณ์ตรงในตลาดอินโดนีเซีย มีความเข้าใจในธุรกิจธนาคารอย่างลึกซึ้ง ธนาคารเชื่อว่า ธุรกิจธนาคารของอินโดนีเซียนั้น ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ยังคงรักษาอัตราผลกำไรที่ดีได้

นายจรัมพรกล่าวว่า การเข้าซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตาของธนาคารกรุงเทพในครั้งนี้นับเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองธนาคาร โดยธนาคารเพอร์มาตาจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของธนาคารกรุงเทพ ในด้านการให้บริการลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ลูกค้าเอสเอ็มอี สายสัมพันธ์และเครือข่ายทางธุรกิจที่แข็งแกร่งกับองค์กรธุรกิจชั้นนำในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนผลิตภัณฑ์ทางการเงินข้ามพรมแดน และความเชี่ยวชาญในภาคอุตสาหกรรมต่าง

ด้วยเครือข่ายที่กว้างขวางของธนาคารกรุงเทพในเอเชีย ก็จะสามารถช่วยให้ลูกค้าของธนาคารเพอร์มาตาเข้าถึงทั่วตลาดเอเชียได้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่มาจากแนวโน้มที่ภูมิภาคของเรากำลังเชื่อมโยงเข้าหากันมากยิ่งขึ้น ทั้งภายในอาเซียนเองและกับกลุ่มภูมิภาคอื่น โดยธนาคารกรุงเทพจะดูแลลูกค้าธนาคารเพอร์มาตาอย่างต่อเนื่อง ด้วยผลิตภัณฑ์บริการคุณภาพสูง ส่งเสริมการเข้าถึงความรู้ความเข้าใจพื้นฐานทางการเงิน ตลอดจนช่วยสนับสนุนลูกค้าให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ

นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการบริหาร

การซื้อกิจการเพอร์มาตาครั้งนี้ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของธนาคารในการก้าวสู่ธนาคารชั้นนำในภูมิภาค การขยายธุรกิจในต่างประเทศเป็นกลยุทธ์สำคัญของธนาคาร นับตั้งแต่การเปิดสาขาแห่งแรกในฮ่องกงปี 2497

“กลยุทธ์การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศเป็นครั้งแรกในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวย่างครั้งสำคัญของธนาคาร การซื้อกิจการธนาคารเพอร์มาตา ทำให้กลยุทธ์ขยายธุรกิจสู่ภูมิภาคของเราก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง เพราะนอกจากทำให้ตลาดอินโดนีเซียได้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับภูมิภาคของธนาคารแล้ว ยังช่วยให้ธนาคารบรรลุเป้าหมายในการสร้างรากฐานที่มั่นคงยิ่งขึ้นในตลาดของอาเซียน ซึ่งรวมถึงประเทศไทย และอินโดนีเซียเพื่่อก้าวสู่การเป็นธนาคารชั้นนำและมีความหลากหลายในอาเซียน” นายจรัมพรกล่าว

นอกจากนี้ธนาคารมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจในอินโดนีเซียมายาวนาน และเห็นว่าอินโดนีเซียเป็นตลาดยุทธศาสตร์ที่น่าดึงดูดมากที่สุดของอาเซียน สำหรับการซื้อกิจการของธนาคาร

นายจรัมพรกล่าวต่อว่า ธนาคารเปิดสาขาแห่งแรกในอินโดนีเซียเมื่อปี 2511 และยังคงมุ่งมั่น ส่งเสริมอินโดนีเซียและชาวอินโดนีเซีย ตลอดจนสนับสนุนธุรกิจและเศรษฐกิจอินโดนีเซียมาโดยตลอด และนี่เป็นเหตุผลที่ทำการประเมินตลาดนี้มาเป็นเวลาหลายปีทั้งในแง่ของการเติบโตจากธุรกิจหลักที่ธนาคารมีอยู่และการซื้อกิจการ

ธนาคารเพอร์มาตาคือหนึ่งในธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ ที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจสูง ธนาคารเพอร์มาตามีความโดดเด่น เนื่องจากมีฐานลูกค้ากว่า 3.5 ล้านคน ที่อยู่ในเครือข่ายลูกค้ารายย่อย มีความเข้าใจในกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีอย่างดี และมีกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นปัจจัยหลักในการเติบโต ตลอดจนกลยุทธ์เทคโนโลยีดิจิทัลที่ครอบคลุม เพื่อมอบประสบการณ์ด้านบริการให้แก่ลูกค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ

ธนาคารเพอร์มาตามีวัฒนธรรมองค์กรที่เป็นเลิศ และสอดคล้องกับธนาคารกรุงเทพ ธนาคารพร้อมที่จะเรียนรู้และทำงานร่วมกับผู้บริหาร และพนักงานของเพอร์มาตา เพื่อเติบโตต่อไปด้วยกัน ธนาคารเล็งเห็นว่าทีมผู้บริหารและพนักงานของธนาคารเพอร์มาตานั้นจะสามารถสร้างคุณค่าให้กับธนาคาร และพร้อมให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ ธนาคารหวังว่าจะมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศอินโดนีเซียอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งในด้านวัฒนธรรมและโอกาสทางด้านธุรกิจ จากการทำงานร่วมกันกับพนักงานของเพอร์มาตา ธุรกรรมนี้เป็นการสร้างประโยชน์ร่วมกันหลายประการสำหรับธนาคารเพอร์มาตาและธนาคารกรุงเทพ ซึ่งส่งผลให้เติบโตในอนาคต

“ธนาคารเพอร์มาตาจะเป็นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง และช่วยเสริมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร ด้วยช่องทางในการให้บริการที่กว้างขวาง ความโดดเด่นในด้านเครือข่ายสาขาสำหรับลูกค้ารายย่อย และชื่อเสียงของธนาคาร ตลอดจนความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลชั้นสูง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้ธนาคารเข้าถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ในกลุ่มลูกค้าองค์กรและเอสเอ็มอี ในฐานะตัวแทนของธนาคารกรุงเทพ ผมขอเรียนว่า ธนาคากรุงเทพมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมงานกับเพอร์มาตา เพื่อการเติบโตร่วมกันต่อไปในอนาคต” นายจรัมพรกล่าว

มูลค่าลงทุน 2.67 พันล้านดอลลาร์

ในเอกสารที่เผยแพร่พร้อมกับการแถลงข่าว ธนาคารกรุงเทพคาดว่าการทำธุรกรรมดังกล่าวจะแล้วเสร็จภายในปี 2563

การทำธุรกรรมนี้ตั้งอยู่บนหลักเกณฑ์การประเมินมูลค่าซึ่งมีการตกลงร่วมกันอยู่ที่ 1.77 เท่าของมูลค่าตามบัญชีของเพอร์มาตา (โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงราคา) ดังนั้น หากคำนวณมูลค่าตามบัญชีของเพอร์มาตา ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ราคาซื้อหุ้นเบื้องต้นจะอยู่ที่ 1,498 รูเปียต่อหุ้น สำหรับการถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 89.12 มูลค่าธุรกรรมเบื้องต้น จะอยู่ที่ 37,430,974 ล้านรูเปีย (ประมาณ 2,674 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 81,017 ล้านบาท) และสำหรับการถือหุ้น 100% มูลค่าเบื้องต้นจะอยู่ที่ 42,001,080 ล้านรูเปีย (ประมาณ 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 90,909 ล้านบาท) จาก อัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้เพื่อการจัดทำรายงานฉบับนี้ คือ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 13,999 รูเปีย และ 1 บาทต่อ 462 รูเปีย

โดยราคาซื้อหุ้นที่ธนาคารจะต้องชำระในการเข้าซื้อหุ้นจำนวน 89.12% ในเพอร์มาตา จะถูกคำนวณอีกเป็นครั้งสุดท้ายโดยอ้างอิงที่อัตรา 1.77 เท่าของมูลค่าตามบัญชีของเพอร์มาตา (โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการปรับปรุงราคา) ตามที่ปรากฏในงบการเงินล่าสุดของเพอร์มาตาที่ได้รับการเผยแพร่ก่อนวันที่ทำธุรกรรมแล้วเสร็จ

ธุรกรรมนี้จะสำเร็จได้ เมื่อได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขบังคับก่อน ซึ่งรวมถึงการได้รับการอนุมัติจากธนาคารแห่งประเทศไทย และหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจการเงินของอินโดนีเซีย (Otoritas Jasa Keuangan) ตลอดจนการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพ

ในการเข้าทำธุรกรรมครั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะใช้เงินทุนภายในและแหล่งเงินทุนที่ได้จากการจัดหาเงินทุนตามปกติของธนาคาร และคาดว่า เมื่อธุรกรรมแล้วเสร็จ จะช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้นและอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นของธนาคารได้ทันที ขณะที่ธนาคารยังคงมีฐานะเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อไป

นายปิติ สิทธิอำนวย ประธานกรรมการธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “การขยายธุรกิจในต่างประเทศเป็นกลยุทธ์สำคัญของธนาคาร อินโดนีเซียเป็นตลาดที่ธนาคารให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วที่สุดในเอเชีย และมีปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจมหภาคที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก มีปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ที่เอื้ออำนวย ตลอดจนมีความเชื่อมโยงของประเทศในเขตเศรษฐกิจอาเซียนที่เพิ่มขึ้น”

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า “จากประสบการณ์โดยตรงในการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย และความเข้าใจในภาคธุรกิจธนาคารอย่างลึกซึ้ง เราเชื่อมั่นว่าธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียมีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยที่ยังคงรักษาอัตราผลกำไรที่ดี เพอร์มาตาจะเป็นฐานธุรกิจที่แข็งแกร่ง ซึ่งช่วยเสริมเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของธนาคาร ด้วยช่องทางการให้บริการที่กว้างขวาง ความโดดเด่นของฐานเงินฝากและชื่อเสียงของธนาคาร ตลอดจนความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลขั้นสูง เรามีความยินดีที่จะได้ทำงานและสนับสนุนผู้บริหารและพนักงานของเพอร์มาตา เพื่อให้เพอร์มาตาก้าวหน้าขึ้นไปในอีกระดับ”

ปัจจุบัน เพอร์มาตาเป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับ 12 ของอินโดนีเซียเมื่อพิจารณาจากสินทรัพย์รวม การเข้าซื้อเพอร์มาตาโดยธนาคารกรุงเทพจะช่วยให้เพอร์มาตาได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านบริการสำหรับลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่และเอสเอ็มอี เครือข่ายทางธุรกิจและความสัมพันธ์กับองค์กรธุรกิจชั้นนำในประเทศไทยและในภูมิภาคเอเซียที่แข็งแกร่ง ตลอดจนผลิตภัณฑ์การเงินระหว่างประเทศ และความเชี่ยวชาญที่หลากหลายในแต่ละอุตสาหกรรม ธนาคารกรุงเทพจะให้การสนับสนุนลูกค้าของเพอร์มาตาด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มีคุณภาพสูง ส่งเสริมความรู้และการเข้าถึงทางด้านการเงิน อีกทั้งสนับสนุนลูกค้าธุรกิจรายใหญ่ และลูกค้าในกลุ่มเอสเอ็มอี ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่หลากหลาย รวมถึงผู้ประกอบการในภาคการเกษตรและอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายทางธุรกิจ

นายชาติศิริกล่าวเพิ่มเติมว่า “การรวมกันระหว่างสองธนาคาร ก่อให้เกิดการประสานพลังความร่วมมืออย่างชัดเจน ด้วยการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายต่างประเทศที่ครอบคลุมอย่างกว้างขวางของธนาคารกรุงเทพในเอเชีย และความสามารถในการเชื่อมโยงเครือข่ายต่างประเทศ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกค้าของเพอร์มาตาสามารถเข้าถึงตลาดสำคัญทั่วทั้งภูมิภาค เพื่อพร้อมรับการเชื่อมโยงระหว่างประเทศในอาเซียน และกับภูมิภาคจีนที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งว่า แอสทราจะยังคงความเป็นพันธมิตรในการทำธุรกิจและให้การสนับสนุนร่วมกับเพอร์มาตาต่อไป”

ทั้งนี้ มอร์แกน สแตนลีย์ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินของธนาคารกรุงเทพในการทำธุรกรรมครั้งนี้

ยันไม่เพิ่มทุน เงินในมือมีมากพอ

ในช่วงถามตอบ คำถามแรกจากผู้สื่อข่าวคือ เงินที่จะใช้ซื้อหุ้นเพอร์มาตามาจากที่ไหน นายชาญศักดิ์ เฟื่องฟู ได้ตอบว่า มาจากเงินทุนจากภายในของธนาคาร ซึ่งแหล่งเงินที่ได้จากการจัดหาตามปกติก็มีมากพอทั้งการซื้อหุ้นในส่วนแรก 89% และการทำคำเสนอซื้อเพิ่มอีก 10% และจะไม่มีการเพิ่มทุนจากผู้ถือหุ้น

คำถามต่อมาคือ การใช้เงินทุนจากภายในประเทศจะมีผลต่อการจ่ายปันผลของธนาคารกรุงเทพหรือไม่ นายชาญศักดิ์ตอบว่า การจ่ายเงินปันผลขึ้นอยู่กับผลประกอบการของธนาคารกรุงเทพและธนาคารเพอร์มาตา ซึ่งสำหรับธนาคารกรุงเทพเชื่อว่าสามารถทำกำไรได้ตามปกติ ส่วนธนาคารเพอร์มาตาก็มีแนวโน้มที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้น ทั้งสองธนาคารก็จะจ่ายเงินปันผล

คำถามที่สามเกี่ยวกับราคาเสนอซื้อที่ 1.77 เท่า ของมูลค่าทางบัญชีของเพอร์มาตา นายชาญศักดิ์ตอบว่า ในการเสนอซื้อธนาคารได้พิจารณาในหลายด้าน ซึ่งปัจจุบัน มูลค่าทางบัญชีเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซียอยู่ที่ 1.72-1.83 เท่า ดังนั้นราคาที่เสนอซื้อที่ 1.77 เท่า ก็มีความเหมาะสม

คำถามต่อมา การซื้อหุ้นของเพอร์มาตาครั้งนี้ถือเป็นการเติบโตที่มาจากการซื้อกิจการเป็นครั้งแรกใช่หรือไม่ และกลยุทธ์แบบนี้จะมีอีกหรือไม่ และที่ผ่านมาธุรกิจระหว่างประเทศของธนาคารกรุงเทพจะมุ่งไปที่กลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ แต่เพอร์มาตามีธุรกิจรายย่อย หมายความว่า ธนาคารกรุงเทพจะขยายธุรกิจไปที่กลุ่มรายย่อยใช่หรือไม่

นายจรัมพรกล่าวว่า อินโดนีเซียมีการเติบโตที่รวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกันยังมีกลุ่มที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงินก็มีมากเช่นกัน จะเห็นได้ว่าโอกาสของการเติบโต มีเทคโนโลยีเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายธุรกิจของธนาคารในอินโดนีเซีย จึงถือว่าเป็นส่วนผสมที่ดี ส่วนธนาคารกรุงเทพเองเป็นผู้นำด้านธุรกิจลูกค้ารายใหญ่ ซึ่งสามารถเสริมให้กับเพอร์มาตาได้ แต่ในขณะเดียวกันการเติบโตของเอสเอ็มอีและรายย่อยของอินโดนีเซียต้องใช้ดิจิทัลมาก เพอร์มาตาเป็นแบงก์ที่มีเทคโนโลยีชั้นนำของประเทศ

สภาพการทำธุรกิจของธนาคารในไทยและอินโดนีเซียแตกต่างกัน แนวโน้มธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียจะต้องหันไปสู่กลุ่มที่ยังไม่เข้าถึงบริการทางการเงินมากขึ้น กลยุทธ์ทางธุรกิจและโครงสร้างพื้นฐานได้ปรับให้เหมาะสมกับประเทศ ซึ่งการที่เพอร์มตามีฐานลูกค้าได้ 3.5 ล้านคนในเวลาอันสั้น ถือว่าสามารถเจาะตลาดได้ดีมาก

นายชาญศักดิ์เสริมว่า จุดแข็งของธนาคารกรุงเทพอยู่ที่การให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งมีสัดส่วน 40% และเอสเอ็มอีด้วย ส่วนธนาคารเพอร์มาตาเองเมื่อดูจากพอร์ตสินเชื่อแล้ว ก็มีลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ 42% และทำได้ดีอยู่แล้ว ซึ่งธนาคารกรุงเทพจะเข้าไปเสริม เพราะลูกค้าธนาคารกรุงเทพในอาเซียนก็มีทั่ว รวมธุรกิจไทยที่จะไปลงทุนในอินโดนีเซีย ธนาคารกรุงเทพก็จะให้บริการได้ดีขึ้น ในทางกลับกัน ลูกค้าองค์กรธุรกิจเพอร์มาตาที่ต้องการจะมาในไทย ก็สามารถใช้เครือข่ายธนาคารกรุงเทพได้

ส่วนการที่จะใช้กลยุทธ์การเติบโตจากภายนอกต่อไปหรือไม่ นายชาญศักดิ์กล่าวว่า ธนาคารมองดูโอกาสตลอดเวลา แต่ไม่ง่ายที่จะเจอกิจ การธนาคารที่เหมาะกับธนาคาร ทั้งในแง่ธุรกิจ ศักยภาพ และวัฒนธรรมที่จะทำงานด้วยกัน ครั้งนี้ปัจจัยหลายด้านที่ใช่การพิจารณาก็เหมาะสม ประกอบกับเป็นจังหวะที่ลงตัว รวมไปถึงขนาดของธนาคาร

สำหรับมูลค่าการซื้อหุ้น นายชาญศักดิ์กล่าวว่า หุ้นส่วนแรก 89% มีมูลค่าราว 2.7 พันล้านดอลลาร์และหากรวมการซื้อเพิ่มอีก 10% ก็จะมีมูลค่าราว 2.9 พันล้านดอลลาร์ แต่ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดในขณะนั้น

คำถามต่อมาคือ การเข้าซื้อกิจการครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของการซื้อกิจการที่ใหญ่ที่สุดของไทยหรือไม่

นายชาญศักดิ์ตอบว่า การเสนอซื้อหุ้นครั้งนี้อาจจะเป็นดีลที่ใหญ่ที่สุด

นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

เชื่อมั่นโอกาสทางธุรกิจในอินโดนีเซียมีสูง

คำถามต่อมา การซื้อหุ้นเพอร์มาตาครั้งนี้จะส่งผลให้ในอีก 2-3 ปีข้างหน้าภาพของธนาคารกรุงเทพเป็นอย่างไร และภาพรวมธุรกิจธนาคารในอินโดนีเซียมีแนวโน้มเป็นอย่างไร

นายชาญศักดิ์ตอบว่า การซื้อเพอร์มาตาครั้งนี้จะเป็นจุดเสริมซึ่งกันและกัน ส่วนการขยายธุรกิจต้องพิจารณาทั้งไทยและอินโดนีเซีย สำหรับประเทศไทยในอีก 2-3 ปีข้างหน้าการเติบโตทางเศรษฐกิจเมื่อวัดจากจีดีพีจะโตต่ำกว่าอินโดนีเซีย ดังนั้นการขยายตัวของไทยก็ต้องพึ่งการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ และการท่องเที่ยว

“จุดที่สำคัญคือ เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะเติบโตได้สูงกว่าไทย โอกาสขยายธุรกิจมีมากกว่า และด้วยเครือข่าย ด้วยประสบการณ์ที่ธนาคารมี ทั้งในด้านลูกค้าองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ การบริการการค้าการเงินข้ามแดน เงินตราต่างประเทศ และเอสเอ็มอี ผมมีความมั่นใจว่าหลังจากที่รวมตัวกันแล้ว โอกาสที่จะขยายธุรกิจมีมาก” นายชาญศักดิ์กล่าว

นอกจากนี้หลังจากการเข้าถือหุ้นของธนาคารกรุงเทพแล้ว เพอร์มาตาจะกลายเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 10 ของอินโดนีเซียจากอันดับ 12 และยังเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อินโดนีเซีย

นายชาญศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้โอกาสทางธุรกิจในอินโดนีเซียมีมาก เศรษฐกิจเติบโตสูง โอกาสที่จะลงทุนมีมาก ด้านสังคมเองพัฒนาเป็นสังคมเมืองมากขึ้น และยังมีโอกาสที่จะขยายตัวอีกมาก เพราะระดับความเป็นเมืองอยู่ที่ราว 50-52% ชีวิตคนจะเปลี่ยนไป ไลฟ์สไตล์เปลี่ยน ก็จะมีโอกาสทำธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้อินโดนีเซียมีรายได้ประชากรต่อหัวที่ราว 4,000 ดอลลาร์ เมื่อเศรษฐกิจขยาย รายได้ต่อหัวของประชากรจะเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะทำสินเชื่อมีมากขึ้น

“ที่สำคัญ ระดับการใช้บริการจากธนาคารยังต่ำประมาณ 38-39% จึงเป็นโอกาสเติบโตมาก สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ เป็นโอกาสดีที่จะเข้าไป” นายชาญศักดิ์กล่าว

ธนาคารกรุงเทพดำเนินธุรกิจในไทยมา 75 ปี และมีความเชื่อในการเติบโตจากลูกค้าที่สร้างขึ้น กลุ่มลูกค้ามีมากและยังสามารถบริการได้อย่างดี และต้องให้บริการรต่อไป และการขยายธุรกิจของธนาคารไม่ได้ปิดช่องทางว่า จะต้องเป็นต่างประเทศเท่านั้น

นายไชยฤทธิ์กล่าวเสริมว่า เมื่อการซื้อหุ้นเพอร์มาตาสำเร็จก็จะมีการรวมงบการเงิน ซึ่งจะส่งผลให้สัดส่วนสินเชื่อจากกิจการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของธนาคาร จากปัจจุบัน 17% นอกจากนี้เมื่อพิจารณาจากส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ของธนาคารกรุงเทพอยู่ที่ 2.4% ธนาคารเพอร์มาตาอยู่ที่กว่า 3% กว่า และประกอบกับธนาคารไม่มีการระดมทุนจากหุ้นใหม่ ก็จะส่งผลให้ภาพของบการเงินรวมดีขึ้น

“เรามองว่าในระยะยาว การผนึกกำลังทางธุรกิจ มีจุดร่วมทางธุรกิจ เพอร์มาตาจะได้ประโยชน์จากเครือข่าย สาขาต่างประเทศของเรา ในฝั่งไทย ลูกค้าไทย ของธนาคารที่มีอยู่ก็จะได้ประโยชน์จากสาขาต่างประเทศ และจะได้ประโยชน์จากสาขาของเพอร์มาตาที่มี 330 แห่ง มีเอทีเอ็มอีก 1,000 เครื่อง ลูกค้าอินโดนีเซียก็สามารถใช้เพอร์มาตาเป็นฐานในการใช้ประโยชน์จากธนาคารกรุงเทพที่มีเครือข่ายข้อมูลในเอเชีย และอาเซียน ที่เราเป็นธนาคารภูมิภาค” นายไชยฤทธิ์กล่าว

นายไชยฤทธิ์กล่าวว่า อินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่มากมีประชากร 276 ล้านคน และหากมองไปที่การใช้บริการธนาคารหรือ Penetration เมื่อเทียบกับจีดีพีแล้ว โดยวัดจากสินเชื่อของธนาคาร อินโดนีเซียอยู่ 36% แต่ของไทยเกิน 100% แสดงให้เห็นว่า โอกาสการเติบโตทางการตลาดของอินโดนีเซียยังมีอีกมาก

“เมื่อพิจารณาจากบริบทของธุรกิจธนาคาร ถือว่าเป็นตลาดใหญ่ จำนวนธนาคารที่มีอยู่ก็ไม่มาก เราตั้งใจที่จะซื้อเพอร์มาตา ซึ่งเป็นธนาคารที่ทำธุรกิจมา 64 ปีเป็นธนาคารที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมา และจากการทำ due diligence ในแง่วัฒนธรรมเหมือนกันหลายอย่าง หนึ่งมีพันธมิตรที่มีความสัมพันธ์มานาน สอง มีความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศ และสามทีมผู้บริหารก็เป็นมืออาชีพ เราจึงมองว่าตอบโจทย์ การที่จะเติบโตจากภายในหรือ การเติบโตจากการซื้อกิจการ อยู่ที่โอกาส” นายไชยฤทธิ์กล่าว

นายไชยฤทธิ์กล่าวว่า การซื้อธนาคารเพอร์มาตาของธนาคารกรุงเทพครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายหลักว่าต้องทำให้ขนาดของธนาคารใหญ่เพื่อการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน แต่อยู่ที่โอกาสการทำกำไร เนื่องจากในอินโดนีเซียยังมีการขอสินเชื่ออีกมาก และในแง่ธนาคาร ประเทศไทย อุตสาหกรรมมีความก้าวหน้าไปมาก ธนาคารกรุงเทพเองมีความเชี่ยวชาญในการให้บริการกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ สามารถนำไปให้คำแนะนำลูกค้าในอินโดนีเซียได้ ซึ่งไม่ใช่การให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินเชื่อ เช่น คำแนะนำเกี่ยวกับความเสี่ยง

นายไชยฤทธิ์กล่าวว่า แม้เทคโนโลยีมีผลให้รูปแบบบการทำธุรกิจของธนาคารเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เป็นในส่วนของธุรกิจรายย่อย เอสเอ็มอี แต่สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรขนาดใหญ่ เทคโนโลยีดิจิทัลไม่สามารถนำมาตัดสินว่า โครงการแบบไหน หรือการลงทุนแบบไหนที่ควรให้หรือไม่ควรให้สินเชื่อ ธุรกิจองค์กรขนาดใหญ่มีความลุ่มลึกมากกว่านั้น

“เราไม่สามารถเอางบการเงินใส่ลงไปในระบบ แล้วบอกว่า อันนี้ได้สินเชื่อ อันนั้นไม่ได้สินเชื่อ เพราะต้องมีปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่ปัจจัยทางการเงินนำเข้ามาประกอบการพิจารณาด้วย เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุด และผมเคยเห็นผลการศึกษาหลายชิ้น ที่ว่า corporate banker จะอยู่รอดจากเทคโนโลยีดิสรัปชัน แต่หากเป็นธุรกิจรายย่อย สาขาหรืออื่นๆ ก็อีกเรื่องหนึ่ง” นายไชยฤทธิ์กล่าว

ในประเทศอินโดนีเซีย การพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัล ก็มีความก้าวหน้า ในการให้บริการลูกค้ารายย่อย จะเห็นได้ว่าเพอร์มาตาเอง สาขาก็มีไม่มาก แต่การให้บริการแบบเดิมสำหรับกลุ่มลูกค้าธุรกิจยังมีโอกาสขยายตัวอีกมากในอินโดนีเซีย เพราะอัตราการใช้บริการยังอยู่ที่ 36% แต่ขอไทยเกิน 100% ประกอบกับคนอินโดนีเซียมองการณ์ไกล ผู้บริหารมีความสามารถ และวัฒนธรรมองค์กรมีความคล้ายคลึงกัน ที่ผ่านมาการทำธุรกิจของสาขาธนาคารกรุงเทพบางครั้งต้องแข่งขันกับเพอร์มาตา แต่ทำให้ธนาคารกรุงเทพได้เห็นเพอร์มาตา

“เราสนใจธนาคารนี้มานานแล้ว เพราะขนาดกำลังพอเหมาะ ไม่ได้ใหญ่ไม่ได้เล็ก และเป็นจังหวะที่ดีที่ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดจะลดการลงทุน” นายไชยฤทธิ์กล่าว

ขณะนี้ยังไม่มีแผนที่จะรวม 3 สาขาของธนาคารกรุงเทพที่จาการ์ต้า เมดาน และสุราบายา และเพอร์มาตาเข้าด้วยกัน เนื่องจากต้องให้กระบวนการซื้อหุ้นเสร็จสิ้นก่อนแล้ว ธนาคารจะพิจารณาในอนาคต

ปัจจุบันธนาคารกรุงเทพเข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศในฐานะธนาคารท้องถิ่น 2 ประเทศคือ จีนและมาเลเซีย และหากการซื้อหุ้นเพอร์มาตาสำเร็จอินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่ 3 ที่ธนาคารกรุงเทพมีการดำเนินงานในแบบธนาคารท้องถิ่น

นายเดชากล่าวปิดการแถลงข่าวว่า “ขอบคุณที่มาฟังการแถลงข่าวอย่างแน่นขนัด ส่วนการเพิ่มทุนที่ข้องใจ ผมขอเรียนว่าเรามีเงินสำรองมากพอที่จะซื้ออย่างเต็มภาคภูมิ นอกจากนี้ธุรกิจธนาคารในอาเซียน ธนาคารได้เข้าไปทำธุรกิจที่ฮ่องกงปี 1954 มีธุรกิจโตเกียวและที่อื่น มีความรู้ที่สามารถนำมาใช้ พัฒนาธนาคารกรุงเทพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ผลประโยชน์ของแบงก์กรุงเทพเชื่อว่าปีหน้าจะโตกว่านี้อย่าลืมว่าเรามีคำขวัญว่า เพื่อนคู่คิด มิตรคู่บ้าน ที่ยังใช้อยู่ทุกวันนี้”

ธนาคารกรุงเทพก่อตั้งในปี 2487 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในธนาคารชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วยจำนวนเงินฝากและส่วนของผู้ถือหุ้น ธนาคารมีบัญชีเงินฝากมากกว่า 17 ล้านบัญชี สาขาเกือบ 1,200 แห่งทั่วประเทศ และสินทรัพย์รวม 105 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ณ 30 กันยายน 2562 ธนาคารกรุงเทพมีความมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนธุรกิจที่หลากหลาย ผ่านเครือข่ายในประเทศและต่างประเทศ ตั้งแต่เอสเอ็มอีจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่ในอุตสาหกรรมเช่น การเกษตร ธุรกิจยานยนต์ การผลิต และธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารไทยที่มีเครือข่ายในต่างประเทศมากที่สุดถึง 31 แห่ง ครอบคลุม 14 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ประกอบด้วย จีน กัมพูชา ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน เวียดนาม สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา