ThaiPublica > เกาะกระแส > ASEAN Roundup กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1 ม.ค.2563

ASEAN Roundup กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1 ม.ค.2563

29 ธันวาคม 2019


ASEAN Roundup ประจำวันที่ 22-28 ธันวาคม 2562

  • กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม
  • เวียดนามเล็งเก็บภาษีเหล็กแผ่นนำเข้าอุ้มผู้ผลิตในประเทศ
  • สิงคโปร์ประกาศมาตรฐานประหยัดพลังงานขั้นต่ำ
  • มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1ม.ค. 2563
  • อินโดนีเซียตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวยุโรป
  • เมียนมาห้ามรับการชำระเงินผ่านโมบายจากนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญจีน

กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม

พิธีเปิดตลาดร่วมกัมพูชา-เวียดนาม ที่มาภาพ: https://en.nhandan.org.vn/business/item/8256202-vietnam-funded-border-market-handed-over-to-cambodia.html

เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2562 ได้มีการเปิด ตลาดการค้าชายแดนร่วมระหว่างเวียดนามกับกัมพูชาซึ่งเป็นตลาดต้นแบบการค้าชายแดน ที่คาดว่าจะสนับสนุนการค้าชายแดนและเสริมความร่วมมือทางเศรษฐกิจให้มากขึ้นของทั้งสองประเทศ

สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาและ รองนายกรัฐมนตรีเวียดนาม นายจีง ดิ่ง ยวุ๋ง ได้ทำพิธีเปิดตลาดดา(Da market) ในเขตเศรษฐกิจพิเศษที่บริเวณชายแดนของ จังหวัด ตโบงคมุม ของกัมพูชา และ จังหวัดไตนีง ของเวียดนาม โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนในพื้นที่ร่วมอยู่ด้วย

สมเด็จฮุนเซนกล่าวว่า ตลาดเป็นแหล่งการค้าที่สำคัญและมีส่วนในการลดความยากจน เสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนรวมทั้งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

สมเด็จฮุนเซน คาดว่า การค้าแบบทวิภาคีของสองประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2020 ดังนั้นการสนับสนุนการค้าการแลกเปลี่ยนชายแดนจึงมีความจำเป็น และช่วยสนับสนุนความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนของธุรกิจจากทั้งสองประเทศ

นายดิ่ง ยวุ๋ง กล่าวว่า ความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุนระหว่างเวียดนามและกัมพูชาขยายตัวมากขึ้นในช่วง 2-3 ปีนี้และเป็นเสาหลักของความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ

นายดิ่ง ยวุ๋ง กล่าวว่า เวียดนามเป็น 1 ใน 5 นักลงทุนที่มีการลงทุนสูงสุดในกัมพูชา มีโครงการลงทุนทั้งหมด 214 โครงการ มูลค่าจดทะเบียนรวม 3.3 พันล้านดอลลาร์

นาย เจิ่น ต๊วง แองห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามกล่าวว่า ตลาดชายแดนจะเป็นโอกาสที่ทั้งสองฝ่ายได้ศักยภาพและจุดเด่นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะมีส่วนขยายการค้าระหว่างกัน พัฒนาระบบกระจายสินค้าและสร้างงาน

นายต๊วง แองห์ กล่าวว่า ตลาดแห่งนี้ยังจะช่วยพัฒนาพื้นที่ชายแดนให้เป็นเมืองมากขขึ้น และเป็นเขตเศรษฐกิจที่คึกคักขึ้น

ในรอบ 11 เดือนของปี 2562 การค้าระหว่างเวียดนามกับกัมพูชามีมูลค่า 4.81 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกของเวียดนามไปกัมพูชามีมูลค่า 3.97 พันล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 15.8% ทำให้เวียดนามเกินดุลการค้ากับกัมพูชามูลค่า 3.14 พันล้านดอลลาร์

เวียดนามเล็งเก็บภาษีเหล็กแผ่นนำเข้าอุ้มผู้ผลิตในประเทศ

ที่มาภาพ: http://hanoitimes.vn/vietnam-mulls-5-increase-duty-on-hot-rolled-coil-amid-massive-imports-46189.html
เวียดนามเตรียมพิจารณาที่จะเก็บภาษีเหล็กแผ่นนำเข้าเพื่อคุ้มครองผู้ผลิตเหล็กในประเทศ หลังจากที่มีการนำเหล็กที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าจากต่างประเทศเข้ามามาก ประกอบกับกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในปี 2020 ซึ่งมีผลให้เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลาย

มาตรการกีดกันนี้อาจจะมีผลต่อการขยายตัวของการนำข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน (Hot-Rolled Coil:HRC) ในเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเอเชียที่ไม่มีการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อน

ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ ได้ล้อบบี้รัฐบาลให้ใช้มาตรการภาษี เช่นเดียวกับการคุ้มครองเหล็กแท่งยาวและเหล็กทรงยาว

ราคานำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนลดลงมากกว่า 100 ดอลลาร์ต่อตันในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม เป็นผลจากแรงกดดันจากการหั่นราคาอย่างน่ากลัวของผู้ส่งออกอินเดียในช่วงฤดูฝน และลดลงหลังจากที่ราคาอ้างอิงแร่เหล็กเพิ่มขึ้นสูงสุดที่เหนือ 125 ดอลลาร์ต่อตันซึ่งเป็นราคาขนส่งทางเรือจากจีน ทำให้ต้นทุนการผลิตเหล็กสูงขึ้นก่อนที่ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนจะลดต่ำลง

โอกาสที่ผู้ประกอบการในประเทศจะได้รับผลกระทบและกำลังการผลิตใหม่ที่จะเพิ่มขึ้ในปี 2020 ทำให้รัฐบาลเตรียมหาแนนวทางที่จะคุ้มครองด้วยการเก็บภาษีเหล็กแผ่นรีดร้อน

ผู้ผลิตรายใหญ่ในประเทศ Hua Phat จะเริ่มผลิตเหล็กแผ่นรีดร้อนเฟส 2 อีก 2 ล้านตันต่อปีในปีนี้หลังจากที่ควบรวม โรงเหล็ก Dong Quat เข้ามาในไตรมาส 2 ปี 2020 ขณะที่ Formosa ผู้ผลิตรายอีกรายมีกำลังการผลิต 7 ล้านตันต่อปี โดยที่ 5.2 ล้านตันเป็นเหล็กแผ่นรีดร้อน รวมกำลังการผลิตของทั้งสองรายมีสัดส่วนราว 70% ของความต้องการในประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นการนำเข้า

ปริมาณเหล็กที่เพิ่มขึ้นในตลาดเป็นช่วงที่ความต้องการปลายน้ำลดลงอย่างมากในปี 2019 และการก่อสร้างในภาคอสังหาริมทรัพย์ชะงักในเมืองใหญ่ เพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติ และอาจจะกินเวลาไปจนถึงปลายปี 2020 ส่วนโครงการในเมืองรองอาจจะช่วยลดผลกระทบจากความต้องการที่อ่อนตัวในเมืองหลักได้ส่วนหนึ่ง และการส่งออกก็ช่วยไม่ได้มาก

ผู้ผลิตท่อเหล็กขายสินค้าไม่ได้มากในปีนี้และไม่สามารถส่งออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้านได้ ทำให้ยอดขายเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายนลดลง 30-40% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ผู้บริโภคคัดค้านการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กเพราะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และชี้ว่าการนำเข้าสามารถตอบสนองความต้องการในประเทศได้ถึงครึ่งหนึ่ง

ในเดือนกันยายนได้มีการเสนอให้กระทรวงการคลังเก็บภาษีนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากจีนในอัตรา 5% แต่ถูกตีตกไป

ช่วง 6 เดือนแรกการผลิตเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น 17% เป็น 7.8 ล้านตัน การนำเข้าเพิ่มขึ้น 21% เป็น 7.4 ล้านตัน ส่วนการส่งออกเพิ่มขึ้น 8.1% และมีการใช้เหล็กเพิ่มขึ้น 23% เป็น 11.8 ล้านตัน

สิงคโปร์ประกาศมาตรฐานประหยัดพลังงานขั้นต่ำ


สิงคโปร์เริ่มใช้ มาตรฐานประหยัดพลังงานขั้นต่ำ(Minimum Energy Efficiency Standards:MEES) สำหรับระบบผลิตน้ำเย็น(chilled water systems) กับโรงงานอุตสาหกรรมแห่งใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2563

สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งชาติประกาศเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา โดยมาตรฐานใหม่นี้มีผลกับโรงงานอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ยื่นขออนุญาตในวันที่ 1 ธันวาคม 2563 หรือหลังจากนั้น

สำหรับโรงงงานอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานอย่างมากซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้กฎหมายอนุรักษ์พลังงาน(Energy Conservation Act:ECA) จะต้องปรับให้เป็นไปตามมาตรฐานใหม่ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2568 และโรงงานอุตสาหกรรมอื่นๆจะต้องปรับตามมาตรฐานใหม่ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2573

สำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อมแห่งชาติระบุว่า มาตรฐานใหม่นี้จะลดการใช้พลังงานในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างน้อย 245 กิกะวัตต์ต่อปี หรือเทียบเท่าการลดปริมาณรถในท้องถนน 21,000 คัน

การประกาศใช้มาตรฐานใหม่มีขึ้นหลังจากที่มีข้อมูลการใช้พลังงานของโรงงานอุตสาหกรรมภายใต้กฎหมาย ECA ว่า ระบบผลิตน้ำเย็นสำหรับกระบวนการทำความเย็นมีสัดส่วนถึง 16% ของการใช้ไฟฟ้าโดยรวม และเป็นระบบที่ใช้พลังงานสูงเป็นอันดับสองของภาคอุตสาหกรรม
นอกจากนี้รัฐบาลยังมีเงินช่วยเหลือสำหรับโรงงานที่ต้องการจะปรับปรุงระบบ

มาตรฐาน MEES ประกาศโดยนายมาซากอส ซัลกิฟิล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรน้ำในเดือนพฤศจิกายน พร้อมระบุว่ามาตรฐานใหม่จะลดต้นทุนพลังงานของธุรกิจลงได้ 37 ล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2568 และยังสอดคล้องกับการให้คำมั่นของสิงคโปร์ต่อข้อตกลงปารีสว่าจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 36% ในช่วงปี 2548 จนถึงปี 2573

มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1 ม.ค.2563

เจ้าของเช็ดทำความสะอาดป้ายห้ามสูบบุหรี่ ที่มาภาพ: https://www.thestar.com.my/news/nation/2019/12/23/we-dont-want-to-be-fined-as-well
มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในร้านอาหารหรือสถานที่รับประทานอาหารทุกแห่ง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 นี้ โดยมอบหมายให้กรมอนามัยรับผิดชอบ จากการเปิดเผยของ ดาโต๊ะ ดร.เป็งกวง มังกิล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเคหะและรัฐบาลท้องถิ่น

ดาโต๊ะดร. เป็งกวงกล่าวว่า คณะรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการยึดมั่นตามกฎหมายแห่งรัฐซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้า ตามที่กำหนดโดยกระทรวงสาธารณสุข และมอบหมายให้กรมอนามัยแห่งซาราวักรับผิดชอบ ซึ่งรวมทั้งการให้ความรู้และความเข้าใจแก่ประชาชนถึงความจำเป็นที่ต้องห้ามการสูบบุหรี่ในสถานทีรับประทานอาหารว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

ในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 กระทรวงสาธารณุสุขได้ประกาศห้ามการสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าในร้านอาหาร สถานที่รับประทานอาหารทั่วประเทศ และให้มีผลวันที่ 1 มกราคม 2563 ในแหลมมลายู แต่จะมีผลในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ และวันที่ 1 มีนาคมใน ซาบาห์และซาราวักตามลำดับ

สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องโทษปรับเป็นเงิน 250 ริงกิต แต่จะลดลงเหลือ 150 ริงกิตหากชำระค่าปรับภายใน 1 เดือน และหากไม่ยอมปฏิบัติโทษปรับจะสูงขึ้นเป็นเงิน 10,000 ริงกิต

กฎหมายฉบับนี้ห้ามสูบบบุหรี่ใกล้สถานที่รับประทานอาหารในระยะต่ำกว่า 10 ฟุตหรือ 3 เมตร ซึ่งหากฝ่าฝืนจะมีโทษปรับสูงสุดถึง 10,000 ริงกิตหรือจำคุกไม่เกิน 2 ปี

อินโดนีเซียตั้งเป้าดึงนักท่องเที่ยวยุโรป

อินโดนีเซียตั้งเป้าดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปหลังจากนักท่องเที่ยวจากจีนลดลง ซึ่งได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน

นายวิษณุตมะ คูซูบันดิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์กล่าวว่า ไม่จำเป็นต้องพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนตลอดเวลา แต่จะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นักท่องเที่ยวจากยุโรป เช่น สหราชอาณาจักร ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยเข้าไปทำตลาด

แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติของอินโดนีเซียสามารถตอบสนองนักท่องเที่ยวยุโรปได้ดี เพราะส่วนใหญ่ชื่นชอบกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น ล่องเรือในลาบวนบาโจ หรือ ในกะลิมันตันกลาง แต่การทำตลาดแหล่งท่องเที่ยวตามเกาะต่างๆกับกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปจะต้องมีต้นทุนสูงขึ้นเพราะมีการดำเนินงานมากกว่าเดิม แต่ก็เป็นตลาดที่มีศักยภาพ

นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายที่จะดึงนักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ และออสเตรเลีย ซึ่งความสนใจที่คล้ายกัน

ข้อมูลจากสำนักสถิติพบว่า ในรอบ 9 เดือนแรกของปีมีนักท่องเที่ยวยุโรปเดินทางเข้าอินโดนีเซีย 1.565 ล้านคนลดลงเล็กน้อยจาก 1.566 ล้านคนในปีก่อน ส่วนนักท่องเที่ยวสหรัฐฯมีจำนวน 482,500 คนเพิ่มขึ้น 12.93% จากปีก่อน

อย่างไรก็ตามรับบาลยังมีเป้าหมายที่จะดึงนักท่องเที่ยวจีนให้เพิ่มมากขึ้น หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียง 2.2% ในรอบ 5 เดือนแรกของปี แต่ก็มีนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียมาทดแทนจนติดอันดับหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะเพิ่มขึ้น 23.04%

เมียนมาห้ามรับชำระเงินผ่านโมบายจากนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญ

ที่มาภาพ: https://elevenmyanmar.com/news/alipay-and-wechat-pay-are-illegal-officials-say-but-they-have-no-idea-how-to-control-it

ธนาคารกลางเมียนมาสั่ง ห้ามร้านค้าในประเทศรับการชำระเงิน ผ่านแอปพลิเคชั่นวีแชทเพย์(WeChat Pay) หรืออาลีเพย์ (AliPay)จากนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญจากจีน

การสั่งห้ามครั้งเป็นผลจากการที่ อู อ่อง จอ จอ โอ สมาชิกสภาเมียนมาได้ตั้งคำถามต่อรัฐบาลว่า มีนโยบายที่จะห้ามรับการชำระเงินผ่านวีแชทเพย์ หรืออาลีเพย์ของนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญจากจีนหรือไม่ เนื่องจากการชำระเงินผ่านแพล็ตฟอร์มเหล่านี้ในเมียนมาแต่เงินจะไหลกลับไปจีน

อู ติน ลัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงท่องเที่ยวตอบว่า ธนาคารกลางเมียนมาได้มีคำสั่งห้ามร้านค้าในประเทศรับการชำระเงินผ่านแอปพลิเคชั่นวีแชทเพย์(WeChat Pay) หรืออาลีเพย์ (AliPay)จากนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญจากจีนแล้ว

ขณะเดียวกันรัฐบาลจะติดตามการชำระเงินหรือ การรับชำระเงินซื้อสินค้าและบริการในสกุลเงินดอลลาร์ที่โรงแรม ร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึก เพราะฝ่าฝืนข้อห้ามที่กำหนดให้รับชำระเป็นเงินจ๊าดเท่านั้น

นอกจากนี้การขายทัวร์ศูนย์เหรียญเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายห้ามการผูกขาด กระทรวงจึงได้ประสานงานกับหน่วยงานอื่นพื่อหาแนวทางดำเนินการ

รัฐบาลเมียนมาได้ผ่อนคลายการขอวีซ่าเข้าประเทศให้กับบางประเทศ โดยอนุญาตให้ขอวีซ่าที่สนามบินได้( Visa on Ariival) ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนทะลักเข้าประเทศจำนวนมาก

ในรอบ 10 เดือนแรกปีนี้นักท่องเที่ยวชาวจีนมีจำนวน 1.5 ล้านคนเพิ่มขึ้น 161% จากระยะเดียวกันของปีก่อน และเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีจำนวนสูงอันดับหนึ่งที่เดินทางเข้ามา แต่เป็นนักท่องเที่ยวที่ใช้จ่ายเงินในเมียนมาน้อยที่สุดในบรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยกัน โดยได้พักที่โรงแรมซึ่งมีคนจีนเป็นเจ้าของและกินอาหารที่ร้านอาหารคนจีน ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นนักท่องเที่ยวศูนย์เหรียญ และบางส่วนยังไม่เคารพวัฒนธรรมของเมียนมา และสร้างปัญหาให้กับผู้ประกอบการและพนักงานในธุรกิจท่องเที่ยวรวมทั้งในที่สาธารณ

ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ธนาคารกลางเมียนมาได้อนุญาตให้มีการทดลองรับชำระงินผ่านวีแชทเพย์ ต่อมาเดือนกรกฎาคมได้ขยายระยะเวลาการอนุญาตให้อีก 3 เดือน

ธนาคารกลางเมียนมายังได้หารือกับธนาคารในประเทศ องค์กรระหว่างประเทศ ผู้ให้บริการโอนเงินผ่านโมบายและสมาคมระบบการชำระเงินเมียนมา เพื่อกำหนดมาตรฐาน EMV และเมียนมา คิวอาร์โค้ด เพื่อวางมาตรฐานการชำระเงินผ่านคิวอาร์โค้ด