ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” ไม่ขัด “มาร์ค” นั่งหัวโต๊ะ กมธ. – มติ ครม.เคาะผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน อีอีซี 8.2 ล้านไร่

“บิ๊กตู่” ไม่ขัด “มาร์ค” นั่งหัวโต๊ะ กมธ. – มติ ครม.เคาะผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน อีอีซี 8.2 ล้านไร่

6 พฤศจิกายน 2019


พล.อ. นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน โดยภายหลังการตอบคำถามสื่อมวลชน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวทิ้งท้ายว่า

“วันนี้การทำงานของรัฐบาลประกอบไปด้วยหลายพรรคการเมืองด้วยกัน ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลในการทำงานในวันนี้ฉะนั้นนโยบายอะไรต่างๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคใดก็ตามหากไม่ได้รับการอนุมัติจาก ครม.ร่วมกันก็ทำไม่ได้ทั้งหมดอยู่แล้ว อันนี้คือเรื่องของรัฐบาลขอให้เข้าใจร่วมกันด้วย ซึ่งตนได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรคต่างๆ ไปหมดแล้ว ก็รับรู้ร่วมกัน”

ยันเจรจา “อาร์เซ็ป” บรรลุผล ชี้เป็นสิทธิบางประเทศไม่ร่วม

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงสรุปภาพรวมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 35 ว่า การประชุมดังกล่าวเสร็จสิ้นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกอย่างมีความก้าวหน้าในทุกมิติทุกประเด็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการกำหนดนโยบายทางการเมืองทุกประเทศก็ต้องดำเนินการให้ประสานสอดคล้องกับสิ่งที่ได้พูดคุยกันไป ทุกประเทศต้องนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้

“การเจรจาอาร์เซ็ปเป็นความก้าวหน้าอย่างมากที่สุดในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่ง 15 ประเทศได้เห็นชอบทั้งหมดแล้ว ซึ่งต้องนำเข้าสู่การดำเนินการทางกฎหมายต่อไป และต้องนำไปสู่การปฏิบัติให้ได้ในปีหน้า ซึ่งถือว่าเป็นความสำเร็จ อย่าไปมองว่าประเทศไหนไม่ร่วม นั่นเป็นสิทธิของเขาเราต้องเคารพซึ่งกันและกัน โดยประโยชน์ของอาร์เซ็ปนั้นมีมากมาย และจะทำให้สามารถขยายตลาดไปได้ในทั้ง 15 ประเทศ ถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ขึ้นจากกรอบที่มีอยู่ในปัจจุบัน”

กำชับ จนท.เฝ้าระวังจุดเสี่ยง สั่ง ศอ.บต.เยียวยาผู้เสียหาย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีเหตุยิ่งถล่มป้อมชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านที่ จ.ยะลา ว่า ตนได้ทราบข้อมูลในชั้นต้นแล้วตั้งแต่เมื่อคืน และได้กำชับไปในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของทุกคนนั้นให้ระมัดระวังให้ได้มากที่สุด เพราะบางจุดตรวจอยู่ห่างจากพื้นที่เมืองมากพอสมควร จึงอาจเป็นจุดอ่อนและเป็นจุดที่มีความเสี่ยง

“สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ผมเป็นห่วงครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งหมดรวมถึงผู้บาดเจ็บด้วย วันนี้ได้สั่งการให้ ทางศูนย์บริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด ในการจะยกระดับความเข้มข้นของมาตรการนั้น เรามีมาตรการอยู่แล้ว เพียงแต่เมื่อใดก็ตามอาจจะมีจุดอ่อนในการอยู่ร่วมกัน หรือการตั้งฐานปฏิบัติการทุกคนก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สำหรับการแสวงหาความร่วมมือกับมาเลเซียในการแก้ปัญหาไฟใต้นั้น พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่า ตนได้มีการหารือกับนายมาฮาดีร์ บิน โมฮามัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียไปแล้วหลายเรื่อง ซึ่งก็ยินดีที่จะมีการหารือร่วมกันอีกหลายๆ อย่างในเรื่องเหล่านี้ในฐานะผู้อำนวยความสะดวก

ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตุว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเปลี่ยนเป้าโจมตีจากเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารมาเป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ตนเห็นว่า ในจุดใดที่เป็นจุดอ่อน หรือจุดใดที่มีความเสี่ยงสูงจุดนั้นก็ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น ฉะนั้นจึงขึ้นอยู่กับว่าเราจะเพิ่มมาตรการหรือป้องกันตนเอง ระมัดระวังได้อย่างไร โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ซึ่งวันนี้ก็ได้มีการประชุมในส่วนของ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ว่าจะปรับอะไรอย่างไร รวมถึงเรื่องของการวางกำลังด้วยต้องปรับให้เหมาะสม

“อันที่จริงแล้วบางจุดเจ้าหน้าที่มีความเสี่ยงมากที่ต้องไปดูแลประชาชนในพื้นที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล จุดใดเป็นจุดอ่อนเขาก็ใช้ความกดดันตรงนี้เพื่อให้มีผลกับการเจรจาด้วย ผมไม่อยากให้ขยายตรงนี้ จะเป็นผลเสียกับการทำงานของเรา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่าการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาไฟใต้จะเริ่มโดยเร็วได้เมื่อไหร่ อีกทั้งเราได้มีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะในการเจรจาแล้ว พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า มีการพูดคุยกันอยู่แล้ว อีกทั้งหลังมีการเปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะผู้เจรจาก็ได้มีการพูดคุยโดยเดินทางไปพบกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียที่ประเทศมาเลเซียแล้ว สำหรับรูปแบบในการเจรจาก็ต้องมีการปรับภายในของเรา โดยมีการพูดคุยกันโดยตรงกับผู้ที่มีบทบาทในเรื่องของการใช้ความรุนแรง ซึ่งคาดว่าจะมีการพูดคุยกันในต่างประเทศ

แจงการแบน 3 สารเคมี ทุกอย่างตามขั้นตอน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีภายหลังคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารเคมีเกษตรแล้ว แต่มีการพยายามขอให้ทบทวนใหม่อีกจะเป็นไปได้หรือไม่นั้น ตนคิดว่าเรื่องนี้อยู่ในขั้นตอน และเป็นไปตามขั้นตอนของหน่วยงานรับผิดชอบซึ่งต้องไปทำความเข้าใจกับประชาชนและเกษตรกร ที่ยังเห็นต่างและยังมีข้อสงสัยอยู่ รวมถึงดูแลผลกระทบให้ชัดเจน เหล่านี้โดยกล่าวย้ำอีกครั้งว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทั้งสิ้น

ชี้รายชื่อ กมธ.ปันส่วนตามโควตา ไม่ขัด”มาร์ค” นั่งหัวโต๊ะ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร อาจมีหนังสือเชิญครั้งที่ 3 เพื่อให้ชี้แจงกรณีการถวายสัตย์ปฏิญาณไม่ครบถ้วน และการเสนอร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า วันนี้ติดประชุม ครม. แต่ประเด็นดังกล่าวอยู่ระหว่างหารือว่าจะปฏิบัติกันอย่างไรต่อไป

สำหรับการเสนอชื่อกรรมาธิการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังอยู่ระหว่างหาพิจารณา ซึ่งคงต้องมีการจัดสรรปันส่วนให้ตามโควตา หรือตามจำนวนกรรมาธิการทั้งในส่วนของรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล และฝ่ายค้าน เพื่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างกัน โดยสามารถพูดคุยกันใน กมธ.ได้อยู่แล้วในเรื่องเหล่านี้

ต่อคำถามกรณีพรรคประชาธิปัตย์ เตรียมเสนอชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า ตนไม่ขัดข้องในเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องการทำงานของกรรมาธิการ ตนไปก้าวก่ายไม่ได้ ซึ่งสิ่งสำคัญในการแก้ไขคือต้องแก้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้ประชาชนให้ชัดก่อน

“ผมไม่ขัดข้อง ใครจะเป็นก็เป็นไป เป็นเรื่องการทำงานของกรรมาธิการอยู่แล้ว ผมจะไปก้าวก่ายไม่ได้ เป็นเรื่องของระบบรัฐสภา และคุณสมบัติที่จะมาเป็นกรรมาธิการก็มีอยู่แล้ว ซึ่งการแก้ไขต้องตามที่ประชาชนต้องการต้องดูตรงนั้น ผมไม่ได้ขัดข้องทุกอย่าง อยู่ในขั้นตอนการศึกษา ไม่ได้แก้วันเดียวเสร็จหรอก” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมื่อถามว่า มีข้อเสนอในแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 เพื่อปลดล็อกให้มีการตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังไม่มีตรงนี้ ยังไม่ไปถึงตรงนู้น ไปทีละขั้น ทีละตอนแล้วกัน เรื่องงานต่างๆ ของรัฐบาล ได้มอบหมายให้โฆษกรัฐบาลชี้แจงรูปแบบของผลงานรัฐบาล ซึ่งเป็นรัฐบาลที่ประกอบจากหลายพรรคการเมืองมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาล มาทำงานร่วมกันในวันนี้ เพราะฉะนั้น นโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายหาเสียงของพรรคใดก็ตาม ถ้าไม่ได้รับการอนุมัติใน ครม.ร่วมกัน จะทำไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องของรัฐบาล ขอให้เข้าใจด้วย ซึ่งในวันนี้ตนได้พูดคุยกับหัวหน้าพรรคต่างๆ ไปเรียบร้อยแล้วเพื่อสร้างการรับรู้ร่วมกัน

เมื่อถามว่า อ.คฑา ชินบัญชร หมอดูชื่อดังทำนายว่าในช่วงปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้า นายกรัฐมนตรีจะได้มือดีมาช่วยงานรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า “ใครจะมาช่วยก็มาบอก”

ยันไม่ให้ “สม รังสี” ผ่านไทย ไปกัมพูชา

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านขอเข้าไทยเพื่อเป็นทางผ่านไปยังกัมพูชา ว่า ถ้าดูตามมติของอาเซียน เราจะไม่ยุ่งกับกิจการภายในประเทศซึ่งกันและกัน และเราจะไม่ยอมให้ผู้ต่อต้านรัฐบาลมาใช้ไทยเป็นพื้นที่ในการเคลื่อนไหว อันนี้ตนได้สั่งการไปแล้ว คงจะไม่ได้เข้ามา

ยัน 1 คน 1 สิทธิ์ “ร้อยเดียวเที่ยวทั่วไทย”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงโครงการ 100 เดียวเที่ยวทั่วไทยว่า อย่างที่ตนบอกความมุ่งหมายของรัฐบาลมีหลายอย่างด้วยกัน ทั้งการเอาเงินหมุนเวียนลงไปในระบบ และชักชวนให้คนที่มีเงินพอได้ใช้จ่ายเงินเพิ่มเติม ก็ขอให้ช่วยรัฐบาลด้วย

“วันนี้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ก็ได้เตรียมของขวัญกว่า 4 หมื่นรายการ โดยคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปสามารถลงทะเบียนใช้สิทธิ์ได้ 1 คน ต่อ 1 สิทธิ์รายการ โดยจะเริ่มครั้งแรกวันที่ 11 พฤศจิกายน 2562 นี้ ขอให้ดูข้อมูลได้ทางเว็บไซด์ www.100เดียวเที่ยวทั่วไทย.com” นายกรัฐมนตรี กล่าว

ยันไม่เห็นด้วยล่อให้ทำผิดจับกระทงละเมิดลิขสิทธิ์

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงกรณีการจับสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ว่า ต้องดูว่าเป็นการล่อซื้อหรือการล่อให้กระทำผิด เพราะทั้ง 2 อย่างนั้นแตกต่างกันสิ้นเชิง การล่อซื้อจะเป็นการล่อเพื่อหาพยานหลักฐานให้ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่การล่อให้กระทำความผิดนั้นตนไม่เห็นด้วย เพราะไม่ใช่การล่อเพื่อหาพยานหลักฐาน

“กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ชี้แจงแล้วว่ากรณีดังกล่าวนี้เข้าข่ายการกรรโชกทรัพย์ ซึ่งต้องกำชับเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตำรวจ และกรมทรัพย์สินทางปัญญา ให้ความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้เกิดความชัดเจนยิ่งขึ้น หลายอย่างอาจจะเป็นเพราะเหยื่อรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทุกคนก็ต้องศึกษาให้ดีที่จะทำอะไรต่างๆ เพราะวันนี้การหลอกลวงมีมากขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า อย่างเรื่องแชร์ลูกโซ่ ก็มีข่าวออกมาอีก ตนอยากเตือนประชาชน เพราะกฎหมายมีอยู่แล้ว ถ้ามีผลกระทบอะไรให้ร้องเรียนเข้ามาก็สามารถดำเนินการได้ทันทีเพราะมีเยอะมาก อย่างการขายของทางออนไลน์ที่การหลอกลวงก็ฝากผู้ที่ควบคุมดูแลเว็บไซต์ด้วย เรื่องข่าวปลอม ข่าวบิดเบือน ที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงก็มีจำนวนมาก ตรงนี้เป็นความยุ่งยากในการทำงานของพวกเรา และอาจมีผลกระทบต่อการเดินหน้าประเทศด้วย

ต่อคำถามที่ว่า กรณีเด็กหญิงวัย 15 ปี ที่ถูกตัวแทนดำเนินการล่อซื้อจับกุมสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ จะมีบังคับใช้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนได้กำชับไปแล้วอย่าไปหลงเชื่อ เจ้าหน้าที่เองก็อย่าไปกระทำความผิดแบบนี้ ถ้าใครทำผิดก็ต้องถูกลงโทษแค่นั้น ซึ่งสื่อก็ต้องให้ความรู้กับเด็กด้วย และเด็กจะต้องมีภูมิคุ้มกันตัวเองในการจะทำอะไรก็ตาม

มติ ครม. มีดังนี้

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ซ้าย-ขาว) ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เคาะผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน อีอีซี 8.2 ล้านไร่

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. …. รวมทั้งเห็นชอบร่างประกาศคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เรื่อง แผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. …. และรายการประกอบแผนผังท้ายประกาศดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เสนอ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้นางคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกชี้แจงเรื่องผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดินในอีอีซีให้สาธารณะชนรับทราบต่อไป

โดยมีสาระสำคัญในการกำหนดหลักการในการวางและจัดทำแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค และกำหนดวัตถุประสงค์ในการจัดทำแผนผัง เพื่อส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการสาธารณูปโภค รวมถึงกำหนดแผนผังและข้อกำหนดเกี่ยวกับแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดินแผนผังระบบสาธารณูปโภค ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และระบบการควบคุมและขจัดมลภาวะ แผนผังระบบคมนาคมและขนส่ง แผนผังระบบการตั้งถิ่นฐานและภูมิสังคม แผนผังระบบบริหารจัดการน้ำ แผนผังระบบป้องกันอุบัติภัย

ทั้งนี้ตามร่างแผนผังการใช้ประโยชน์ในที่ดิน และร่างแผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคได้มีการรับฟังความคิดเห็นในพื้นที่โดยมีเป้าหมายในการรองรับการขยายตัวของเขตเมืองในพื้นที่อีอีซีในอีก 20 ปีข้างหน้าในพื้นที่ 3 จังหวัดได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทราครอบคลุมพื้นที่ 8,291,250 ไร่ รองรับประชากร 6 ล้านคนเศษ โดยได้กำหนดกลุ่มพื้นที่ต่างๆ ดังนี้

  • กลุ่มพื้นที่พัฒนาเมืองและชุมชน พื้นที่ 1.096 ล้านไร่ คิดเป็น 13.23% ของพื้นที่ทั้งหมด แบ่งเป็น 4 ประเภท คือ ประเภทศูนย์กลางพาณิชยกรรม 96,795 ไร่ ประเภทชุมชนเมือง 981,974 ไร่ ประเภทรองรับการพัฒนาเมือง 463,666 ไร่ และประเภทเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ 18,210 ไร่
  • กลุ่มพื้นที่พัฒนาอุตสาหกรรมพื้นที่ 424,854 ไร่คิดเป็นพื้นที่ 5.12% โดยกำหนดให้รวมกลุ่มเป็นคลัสเตอร์ กำหนดระยะห่างจากพื้นที่ป่าไม้ ไม่น้อยกว่า 1 กิโลเมตร จากแม่น้ำลำคลอง ห่างจากพื้นที่ชายฝั่งทะเลไม่น้อยกว่า 500 เมตร

    แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ จำนวน 23 เขต พื้นที่รวม 90,010 ไร่ และประเภทพัฒนาอุตสาหกรรม 3.34 แสนไร่

  • กลุ่มพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม พื้นที่รวม 4,850,831 ไร่ แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ ที่ดินประเภทชุมชนชนบท โดยเป็นพื้นที่ชุมชนและเศรษฐกิจชุมชน รวมพื้นที่ 2.07 ล้านไร่ ที่ดินประเภทส่งเสริมเกษตรกรรม มีพื้นที่รวม 1.1 ล้านไร่เศษ และที่ดินประเภทที่พระราชกฤษฎีกากำหนดให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดินมีพื้นที่ 1.66 ล้านไร่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ด้านตะวันออกของอีอีซี
  • กลุ่มพื้นที่อนุรักษ์พื้นที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีพื้นที่ 1.67 ล้านไร่เศษ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ ที่ดินประเภทที่โล่งเพื่อการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม และที่ดินประเภทอนุรักษ์ป่าไม้
  • พื้นที่อื่นๆ เช่น เขตทหาร และแหล่งน้ำ มีพื้นที่รวม 2.39 แสนไร่
  • แผนผังการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค แบ่งเป็น 5 แผนผัง และ 1 มาตรการ ประกอบด้วย แผนผังระบบสาธารณูปโภค ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และระบบการควบคุมและขจัดมลภาวะ แผนผังระบบคมนาคมและขนส่ง แผนผังระบบการตั้งถิ่นฐานและภูมิสังคม แผนผังระบบบริหารจัดการน้ำ แผนผังระบบป้องกันอุบัติภัย และมาตรการระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การประกอบอุตสาหกรรมเป้าหมาย อุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษ และการประกอบกิจการ

ไฟเขียวมาตรฐานยูโร 4 จยย. หวังลดมลพิษทางอากาศ

ผศ. ดร.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดให้ผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เลขที่ มอก. 2915 -2561 ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ฉบับที่ 5126 (พ.ศ. 2562) ซึ่งกำหนดให้การผลิตรถจักรยานยนต์ เฉพาะด้านความปลอดภัย-สารมลพิษจากเครื่องยนต์ต้องอยู่ระดับที่ 7 หรือเทียบเท่ายูโร 4

โดยร่างกฎกระทรวงนี้เป็นการสอดรับกับเป้าหมายของรัฐบาลที่ต้องการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศเพราะไอเสียจากรถจักรยานยนต์เป็นตัวการสำคัญของอากาศเสีย ที่ผ่านมา มาตรฐานไอเสียจักรยานยนต์ของประเทศไทยอยู่ที่ระดับ 6 หรือเทียบเท่ายูโร 3 แต่เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2562 กระทรวงอุตสาหากรรม โดยสำนักงานมาตรฐานได้จัดทำประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม เรื่อง กำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมจักรยานยนต์เฉพาะด้านความปลอดภัย-สารมลพิษจากเครื่องยนต์ ปรับมาตรฐานเป็นระดับที่ 7 เทียบเท่ากับมาตรฐานยูโร 4

“มาตรฐานใหม่นี้จะสามารถลดปริมาณสารมลพิษ เช่น คาร์บอนมอนนอกไซด์ และไฮโดรคาร์บอน ในภาพรวมได้ประมาณ 50% การยกระดับจากประกาศกระทรวงเป็นกฎกระทรวงฯ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามมารตฐานอย่างจริงจัง ทั้งนี้คาดว่าผู้ประกอบการสามารถปรับตัวได้ทัน เพราะมีเวลาปรับตัวตั้งแต่กระทรวงอุตสาหกรรมได้ออกประกาศมาตรฐานใหม่เมื่อมกราคมที่ผ่านมา และร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ได้มีผลบังคับใช้ในทันที แต่จะให้เวลาอีกไม่น้อยกว่าหกสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษา” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

เห็นชอบ “เอ็กซิมแบงก์” ออกประกันคลุมความเสี่ยงการเมือง

ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.เห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อให้คลอบคลุมการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองแก่ผู้ลงทุนในกรณีที่ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยไม่ได้สนับสนุนการให้สินเชื่อ และกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขในการรับประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของธนาคารแก่นักลงทุน

โดยมีสาระสำคัญ มีดังนี้

  • แก้ไขเพิ่มเติมนิยาม คำว่า กรมธรรม์ ให้หมายรวมถึงกรมธรรม์ประกันความเสี่ยงทางการเมือง ที่ธนาคารเพื่อการส่องออกฯ ออกให้แก่ผู้ลงทุนหรือธนาคารของผู้ลงทุน
  • กำหนดให้ ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ รับประกันความเสี่ยงทางการเมืองแก่ผู้ลงทุนหรือรับประกันความเสี่ยงในการให้สินเชื่อของธนาคารของผู้ลงทุน สำหรับความเสียหายจากการไม่ได้รับชำระคืนเงินกู้จากผู้ลงทุนเนื่องมาจากความเสี่ยงทางการเมือง
  • กำหนดให้ ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ ไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ลงทุนหรือธนาคารของผู้ลงทุน ในกรณีที่
    • การกระทำหรือการละเว้นการกระทำใดของรัฐบาลของประเทศที่ผู้ลงทุนซึ่งผู้ลงทุนได้ตกลงยินยอมด้วย
    • การกระทำหรือการละเว้นการกระทำใดที่ผู้ลงทุนมีส่วนก่อให้เกิดความเสียหายหรือปฏิบัติฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ หรือกฎเกณฑ์ของประเทศที่ผู้ลงทุนไปลงทุน
    • กำหนดให้ธนาคารเพื่อการส่งออกฯ สามารถนำความเสี่ยงทางการเมืองที่รับประกันแก่ผู้ลงทุน หรือธนาคารของผู้ลงทุนไปประกันต่อกับบริษัทประกันภัยหรือองค์กรอื่นที่รับประกันความเสี่ยงทางการเมือง

    “ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่นี้จะเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ส่งออกและผู้ลงทุนในการประกอบธุรกิจด้วยความมั่นใจและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทั้งนี้ความเสี่ยงทางการเมืองหมายความถึงกรณีมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล และมีนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ซึ่งจะคุ้มครองทุกประเทศที่นักลงทุนไปลงทุน โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี และแอฟริกา” ผศ. ดร.รัชดา กล่าว

    อนึ่งการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้สืบเนื่องจาก พ.ร.บ.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561 ได้ให้อำนาจธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าขยายขอบเขตการให้บริการด้านการรับประกันความเสี่ยงทางการเมืองในการลงทุนในต่างประเทศ และการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ลงทุนและธนาคารของผู้ลงทุน ดังนั้น เพื่อให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.ดังกล่าวจึงจำเป็นต้องมีกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับประกันความเสี่ยงทางการเมือง

    เห็นชอบข้อผูกพันธ์เสรีการค้าฯ ให้ต่างชาติถือหุ้น 100% ใน บ.จัดการลงทุน

    ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบพิธีศาลอนุวัติ (เอกสารให้ดำเนินการตาม) ข้อผูกพันธ์การเปิดเสรีการค้าและการบริการด้านการเงิน ฉบับที่ 8 ภายใต้กรอบว่าด้วยการค้าการบริการของอาเซียน โดยมีสาระสำคัญคือการแก้ไขข้อผูกพันธ์ใน 2 สาขา คือ

    • สาขาหลักทรัพย์ เพื่อยกระดับข้อผูกพันธ์ให้เท่ากับกฎหมายที่ประเทศไทยใช้อยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2555 โดยอนุญาตให้สัดส่วนการถือหุ้นของต่างชาติภายในบริษัทจัดการการลงทุน ถือหุ้นได้ 100% ของทุนที่ชำระแล้ว โดยยกเลิกกฎหมายเดิมที่ให้ต้องมีสถาบันการเงินที่จดทะเบียนภายใต้กฎหมายไทยถือหุ้นอยู่ด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของทุนที่ชำระแล้ว ซึ่ง ผศ. ดร.รัชดา ยืนยันว่าจะไม่กระทบกฎหมายไทยแน่นอนเนื่องจากกฎหมายได้อนุญาตอยู่ก่อนแล้ว
    • การจัดการบริการการลงทุน ให้มีการเจรจาทวิภาคีเพื่อจัดตั้งธนาคาร Qualified ASEAN Bank (QAB) ระหว่างประเทศไทยและสหพันธรัฐมาเลเซีย เป็นการจัดตั้งเพื่อเข้าสู่ตลาดระหว่างกันได้ด้วยสัญญาต่างตอบแทนและมีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจธนาคาร

    โดย ผศ. ดร.รัชดา ได้ยืนยันอีกครั้งว่าจะไม่มีผลกระทบต่อการธนาคารในประเทศไทย เนื่องจากการเจรจาจะอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายของประเทศคู่เจรจาและจะยึดหลักสิทธิประโยชน์ของแต่ละคู่สัญญาซึ่งแต่ละความร่วมมือทวิภาคีก็จะมีสิทธิประโยชน์แตกต่างกัน

    อนุมัติร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติ

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างนโยบายป่าไม้แห่งชาติซึ่งเสนอโดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยออกบทบัญญัติ 24 ข้อ ภายใต้วัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่

    1. เพื่อหยุดยั้งและป้องกันการทำลายทรัพยากรป่าไม้ จำนวน 13 ข้อ
    2. อนุรักษ์และใช้ประโยชน์จากทรัพยาการป่าไม้ สัตว์ป่า ความหลากหลายทางชีวภาพอย่างเหมาะสม จำนวน 4 ข้อ
    3. สร้างระบบบริหารจัดการทรัพยากรป่าไม้แห่งชาติโดยพื้นฐานขององค์ความรู้และนวัตกรรมรวมทั้งการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน 7 ข้อ

    เห็นชอบ ลดภาษีนำเข้า “ยากำพร้า”

    นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง การลดอัตราอากรและยกเว้นอากรศุลกากรตามมาตรา 12 แห่งพระราชกำหนดพิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ. 2530 (ฉบับที่ ..) หรือการยกเว้นอากรขาเข้ายาในกลุ่มยากำพร้า ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ

    โดยสาระสำคัญของร่างประกาศฉบับนี้ จะยกเว้นอากรขาเข้าผลิตภัณฑ์ยารักษา หรือยาป้องกันโรค ในตอนที่ 30 เฉพาะที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข และระบุ (P) ต่อท้ายในเลขทะเบียนตำรับยา เว้นแต่ยาที่มีการผลิตในประเทศ 11 รายการ

    ยากำพร้า คือยาที่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็นยาที่จำเป็นต่อการให้บริการผู้ป่วย เพื่อวินิจฉัย บรรเทา บำบัด ป้องกันและรักษาในโรคที่พบได้น้อย หรือเป็นโรคที่เป็นอันตรายร้ายแรง หรือโรคที่ก่อให้เกิดการทุพพลภาพอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นยาที่มีอัตราการใช้ค่อนข้างต่ำ เช่น ยารักษาภาวะหัวใจวาย, ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง, ยาป้องกันโรคมาลาเรีย

    “ยากำพร้าส่วนใหญ่ไม่ได้มีการผลิตภายในประเทศไทย เนื่องจากไม่คุ้มค่าการลงทุน จึงทำให้ประสบปัญหาการขาดแคลนยากำพร้า เพราะไม่มียาอื่นสามารถนำมาใช้ทดแทนได้ ซึ่งยากำพร้าบางรายการมีราคาสูง ทำให้ประชาชนเข้าถึงยาได้ยาก ซึ่งการลดอัตราภาษีนำเข้ายากำพร้าในกลุ่มนี้ อาจจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ราว 20 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงยากลุ่มนี้ได้มากขึ้น และจะไม่ส่งผลกระทบต่อการผลิตยาในประเทศด้วย” นางสาวไตรศุลีกล่าว

    เห็นชอบเร่งรัดสายไฟฟ้าลงดิน-คาดแล้วเสร็จปี2566

    นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบแผนงานปรับเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินฉบับปฏิบัติการเร่งรัด (quick win) ซึ่งเกิดจากแผนงานเดิมของกระทรวงมหาดไทยในการนำสายไฟฟ้าลงดิน ซึ่งการไฟฟ้านครหลวงได้ดำเนินการนำสายไฟฟ้าลงดินไปแล้ว 46 กิโลเมตร จากเป้าหมายทั้งหมด 215 กิโลเมตร ซึ่งแผนงานบางส่วนยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากต้องดำเนินการไปพร้อมกับแผนงานสาธารณูปโภคส่วนอื่นจึงเกิดการล่าช้า อีกทั้งภาครัฐมีนโยบายให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เร่งรัดที่จะขยายการนำสายไฟฟ้าลงดินในพื้นที่ที่มาความเหมาะสม

    ดังนั้นกระทรวงมหาดไทยจึงจัดทำโครงการนี้ขึ้น โดยจะใช้แผนงานดังกล่าวในพื้นที่ที่เหมาะสมคือ พื้นที่ที่พร้อมที่จะก่อสร้าง และมีความต้องการใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่สายอากาศนั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งนี้แผนการนี้มีเป้าหมายที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการรองรับการใช้ไฟฟ้า สร้างความน่าเชื่อถือให้การไฟฟ้านครหลวง และปรับปรุงภูมิทัศน์ซึ่งรวมถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วย

    โดยแผนงานนี้มีระยะทางทั้งหมด 20.5 กิโลเมตร มีระยะเวลาการเดินเนินการ 3-4 ปี คาดว่าจะแล้วเสร็จใน พ.ศ. 2566 วงเงินทุนทั้งหมด 3,673 ล้านบาท มีที่มาจากแหล่งเงินกู้ภายในประเทศภายในประเทศ 2,500 ล้านบาท (ร้อยละ 68.1) และเงินรายได้ของการไฟฟ้านครหลวง (ร้อยละ 31.9) ซึ่งขอบเขตของแผนงานนี้จะประกอบด้วย

    1. เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงถนนรัตนาธิเบศร์ถึงถนนกาญจนภิเษก ระยะทาง 4.4 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 745.2 ล้านบาท
    2. เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีม่วง ช่วงถนนกรุงเทพ-นนทบุรีถึงถนนติวานนท์ ระยะทาง 10.6 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 1,937.6 ล้านบาท
    3. เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงถนนสุขุมวิทย์ ระยะทาง 5.5 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 931 ล้านบาท

    ยกเลิก 4 พื้นที่อุทยานฯ 1,334 ไร่ สร้าง “อ่างเก็บน้ำปี้”

    นางสาวไตรศุลีกล่าวว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติในหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาเพิกถอนอุทยานแห่งชาติป่าแม่ยม ป่าแม่ตั๋น ป่าแม่วอกขุย บางส่วนในท้องที่ตำบลเชียงม่วง อำเภอเชียงม่วง จังหวัดพะเยา เป็นพื้นที่ 1,345 ไร่ 3 งาน 77 ตารางวา เพื่อก่อสร้างโครงการอ่างเก็บน้ำนาปี้อันเนื่องมาจากพระราชดำริจังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง

    ทั้งนี้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้ให้ความเห็นชอบรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมโครงการนี้ และคณะกรรมการอุทยานแห่งชาติได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว ด้านสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (ศสช.) ได้ให้ความเห็นว่า กรมชลประทาน สำนักงานนโยบายและแผนพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรร่วมดำเนินมาตรการลดผลกระทบสิ่งแวดล้อมและมาตรการติดตามผลกตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัดต่อไปด้วย

    เห็นชอบร่างความเข้าใจแม่โขง-ล้านช้าง สนับสนุนงบวิจัยให้ มข.

    ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง [Mekong-Lancang Cooperation (MLC) Special Fund] และอนุมัติให้ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมหรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็น ผู้ลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจร่วมว่าด้วยความร่วมมือในโครงการภายใต้กองทุนพิเศษกรอบความร่วมมือแม่โขง-ล้านช้าง ตามที่กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเสนอ

    โดยภายใต้บันทึกความเข้าใจดังกล่าว จีนได้อนุมัติโครงการและสนับสนุนงบประมาณสำหรับดำเนินโครงการของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) จำนวน 2 โครงการ จำนวนเงิน 4,160,000 หยวน (ประมาณ 17,721,600 บาท) ได้แก่ (1) โครงการคัดกรองอาหารที่ไม่ปลอดภัยเบื้องต้น โดยอาศัยองค์ความรู้เรื่องการแยกแยะด้วยความเสี่ยง (early detection of unsafe food by risk) จำนวน 310,000 หยวน (ประมาณ 1,320,000 บาท) และ (2) โครงการนำร่องการควบคุมโรคพยาธิใบไม้ตับในประเทศลุ่มน้ำโขง (Mekong Liver Fluke Control Initiative) จำนวน 3,850,000 หยวน (ประมาณ 16,401,000 บาท) โดยฝ่ายจีนจะจัดสรรงบประมาณให้ฝ่ายไทยภายใน 20 วันทำการหลังจากที่มีการลงนาม

    อนึ่งความร่วมมือนี้มีมาตั้งแต่ 2558 จาก 6 ประเทศ ได้แก่ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม เมียนมา และจีน จนปีต่อมาได้ก่อตั้งกองทุนพิเศษแม่โขง-ล้านช้างขึ้น ซึ่งจีนสนับสนุนเงินทุน 300 ล้านเหรียญสหรัฐฯเป็นเวลา 5 ปีเพื่อใช้ในการดำเนินโครงการต่างๆ โดยกำหนดให้ใช้ในการช่วยโครงการของประเทศสมาชิกที่มีมูลค่าไม่เกิน 5 แสนเหรียญสหรัฐฯ ต่อโครงการ

    หารือ “ผู้แทนพิเศษอเมริกา-นายกฯจีน” ชื่นมื่น ดึงลงทุนไทย

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่าในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึงการหารือร่วมทวิภาคีกับตัวแทนของสหรัฐอเมริกากับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ว่า ผลการหารือนั้นเป็นไปอย่างน่าพอใจ โดยมีการพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกา ความร่วมมือทางเศรษฐกิจรวมถึงภาคเอกชนที่เข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยอีกด้วย นอกจากนี้ในการประชุมร่วมกับนาย หลี่ เคอ เฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมานั้นก็เป็นไปได้ด้วยดี โดยนายหลี่ พร้อมให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในทุกมิติ ทั้งความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการกระตุ้นให้มีนักท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น รวมทั้งการดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศไทยอีกด้วย

    ด้าน ผศ. ดร.รัชดา กล่าวว่า ครม.รับทราบผลการเดินทางเยือนนครหนานหนิง เขตปกครองกว่างซีจ้วง ประเทศสาธารณะรัฐประชาชนจีน ของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ระหว่างวันที่ 20-21 กันยายน ที่ผ่านมา

    โดยนายจุรินทร์ได้หารือทวิภาคีกับรองนายกรัฐมนตรีของสาธารณประชาชนจีน นายหาน เจิ้ง และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำเขตปกครองกว่างซีจ้วง นายลู่ ซิน เซ่อ ได้มีการเน้นย้ำเรื่องการพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจของสองประเทศ โดยเฉพาะการผลักดันการซื้อข้าวและยางพาราของไทย และเชื้อเชิญให้นักลงทุนจีน มาลงทุนในเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) และนิคมอุตสาหกรรมภาคใต้ (จังหวัดสงขลา) ซึ่งมีความพร้อมในการป้อนวัตถุดิบยางพาราเข้าสู่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่เป็นความต้องการของตลาดจีน

    ส่วนฝ่ายจีนได้เสนอการยกระดับความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ได้แก่ เทคโนโลยี 5G พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ปัญญาประดิษฐ์ รวมถึงอุตสาหกรรมไฮเทค รวมถึงจะให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจการเงินไทยจัดตั้งธุรกิจในเขตปกครอง กว่างซีจ้วง

    พร้อมกันนี้นายจุรินทร์ยังได้เป็นสักขีพยานการลงนามบันทึกความเข้าใจ ซื้อ-ขายสินค้ามันสำปะหลัง ซึ่งเป็นการลงนามซื้อ-ขายมันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลังระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าจีน จำนวน 4 คู่ รวม 2.86 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 608 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    สั่ง “อนุพงษ์” ดู พท.ค้าขายให้ ปชช.หลังเจอร้องเรียนหนัก

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้ฝากให้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไปดูพื้นที่ค้าขายของประชาชน เนื่องจากได้รับเรื่องร้องเรียนมาว่าประชาชนได้รับความเดือดร้อน โดยขอให้ดำเนินการโดยเร่งด่วนต่อไป

    “คาดว่าความเดือดร้อนของประชาชนนั้นมาจากการจัดระเบียบพื้นที่ในรัฐบาลที่ผ่านมาจึงมอบหมายให้ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเข้าไปดำเนินการดูแลในส่วนนี้เพื่อจัดหาพื้นที่ที่เหมาะสมให้แก่ประชาชนต่อไป” ศ. ดร.นฤมล กล่าว

    นายกฯ ลงพื้นที่เปิดโรงอบเมล็ดข้าว 7 พ.ย. นี้

    ศ. ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2562 นายกรัฐมนตรี มีกำหนดการเดินทางไปเปิดโรงอบเมล็ดพันธ์ข้าวและทดสอบระบบการคัดคุณภาพข้าว ณ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนศูนย์ข้าวชุมชนบ้านอุ่มแสง และเยี่ยมชมกิจกรรมการส่งเสริมการเกษตรในรูปแบบแปลงใหญ่ของจังหวัดศรีสะเกษและจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รวมไปถึงการส่งเสริมการปลูกพืชทางเลือก การดำเนินงานของ Young Smart Farmer และกิจกรรมเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมทางการเกษตรของจังหวัดศรีสะเกษด้วย

    ส่วนในสัปดาห์หน้านั้น จะมีการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ และลงพื้นที่ตรวจราชการในพื้นที่กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 (กาญจนบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี) ระหว่างวันที่ 11-12 พฤศจิกายน โดยในวันอังคารที่ 12 พฤศจิกายน นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2562 ณ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งนับเป็นการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่แรกในรัฐบาลนี้

    เห็นชอบร่างกฎกระทรวงอนุญาตทำประมงพาณิชย์

    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล ระบุว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำประมงพาณิชย์ พ.ศ. … โดยมีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตและการอนุญาตทำประมงพาณิชย์ให้ครอบคลุมถึงกรณีการยกเลิกสิทธิการทำประมง การโอนใบอนุญาตในลักษณะควบรวมปริมาณสัตว์น้ำและการแก้ไขรายการในใบอนุญาต เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำให้สอดคล้องกับขีดความสามารถในการทำการประมงและปริมาณผลิตสูงสุดของสัตว์น้ำที่สามารถทำการประมงได้อย่างยั่งยืน

    อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 6 พฤศจิกายน 2562 เพิ่มเติม