ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ พ้นตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา และ “พบ 39 ศพในตู้คอนเทนเนอร์เข้าสหราชอาณาจักร”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ พ้นตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา และ “พบ 39 ศพในตู้คอนเทนเนอร์เข้าสหราชอาณาจักร”

26 ตุลาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 19-25 ต.ค. 2562

  • โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ พ้นตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์-ยศทหาร เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา
  • กกต.ยกคำร้อง ธนาธร-บลายด์ทรัสต์ แค่หาเสียง ไม่ใช่หลอกลวง
  • กทม.เล็ง จยย.รับจ้างขี่บนทางเท้ายึดเสื้อวินสามปี
  • ศักดิ์สยาม เล็ง ติดจีพีเอสรถส่วนตัวทุกคัน
  • พบ 39 ศพในตู้คอนเทนเนอร์เข้าสหราชอาณาจักร
  • โปรดเกล้าฯให้เจ้าคุณพระสินีนาฏฯ พ้นตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร เรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา

    วันที่ 21 ตุลาคม 2562 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาเผยแพร่ พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี พ้นจากตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เนื่องจากกระทำความผิดราชสวัสดิ์ และไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ โดยมีใจความดังต่อไปนี้

    พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหารพ้นจากตำแหน่ง ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา เนื่องจากกระทำความผิดราชสวัสดิ์ และไม่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

    เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ประพฤติตนต่อต้านงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี หลังจากที่ได้ทรงประกอบพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2562 โดยได้แสดงตนต่อต้านและกดดันทุกวิถีทาง เพื่อจะไม่ให้มีการสถาปนาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ขึ้นทรงดำรงตำแหน่ง แต่จะให้โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมตนเองขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ตามที่ได้ตั้งความหวังไว้ แต่การณ์ไม่เป็นไปตามที่มุ่งหวัง หลังจากพระราชพิธีผ่านพ้นไปแล้ว ด้วยความทะเยอทะยาน มักใหญ่ใฝ่สูง จึงได้พยายามหาหนทางในการดำเนินการด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งการสถาปนาตำแหน่งของตนเอง นอกจากนี้ เจ้าคุณพระสินีนาฏ ฯ ยังได้ล่วงละเมิดพระราชอำนาจ สั่งการในเรื่องต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี

    ด้วยเหตุนี้ เพื่อเป็นการลดปัญหา หรือการกระทำใด ๆ ที่ไม่เหมาะสม อันมีผลกระทบ ต่อสถาบันและส่วนรวมของประเทศชาติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาให้ขึ้นเป็นเจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี ด้วยทรงหวัง พระราชหฤทัยว่า จะลดแรงกดดัน และปัญหาอันอาจจะเกิดขึ้นที่จะส่งผลกระทบต่อสถาบัน

    หลังจากนั้น ได้ทรงเฝ้าติดตามความประพฤติและการปฏิบัติของเจ้าคุณพระสินีนาฏ ฯ มาอย่างต่อเนื่อง จึงได้ทรงทราบว่า เจ้าคุณพระสินีนาฏ ฯ มิได้มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และประพฤติตน ให้เหมาะสมกับตำแหน่ง อีกทั้งยังไม่พอใจในตำแหน่งที่ได้รับพระราชทาน ยังกระทำการทุกประการ ที่จะเทียบเท่าสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ไม่มีความเข้าใจในขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ของราชสำนัก แสดงความกระด้างกระเดื่อง ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี ตลอดจนใช้ประโยชน์จากตำแหน่งในการดำเนินการสั่งการ แอบอ้างพระราชกระแส ไปกระทำการ หรือสั่งการให้บุคคลต่าง ๆ ปฏิบัติตามคำสั่งของตนเองโดยตนเองไม่ต้องรับผิดชอบ อ้างว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ดำเนินการแทนพระองค์ ทำให้ประชาชน เกิดความเข้าใจผิดในฐานะตำแหน่งของตนเอง ถือได้ว่าการกระทำดังกล่าว เป็นการเอื้อประโยชน์ ส่วนตนโดยตรง ให้เกิดความนิยมชมชอบ อันนำไปสู่สิ่งที่ตนคาดหวังไว้ มิใช่เพื่อส่วนรวมโดยแท้จริง เพราะมุ่งหวังที่จะให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสถาปนาตนเองให้สูงขึ้น เทียบเท่าสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี
    การกระทำของเจ้าคุณพระสินีนาฏ ฯ ดังกล่าวถือได้ว่าไม่ถวายพระเกียรติ ขาดความกตัญญู ไม่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ และสร้างความแตกแยกในหมู่ข้าราชบริพาร ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในหมู่ประชาชน ถือเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติและสถาบัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี พ้นจากตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา

    อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 9 มาตรา 15 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 ประกอบมาตรา 4 และมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ ในพระองค์ พ.ศ. 2560 และมาตรา 10 มาตรา 13 และมาตรา 15 แห่งพระราชกฤษฎีกา จัดระเบียบราชการและการบริหารงานบุคคลของราชการในพระองค์ พ.ศ. 2560 และมาตรา 12 ของพระราชบัญญัติยศทหาร พุทธศักราช 2479 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เจ้าคุณพระสินีนาฏ พิลาสกัลยาณี พ้นจากตำแหน่งข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร ถอดฐานันดรศักดิ์ และยศทหาร ตลอดจนเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุกชั้นตรา

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม พุทธศักราช 2562
    ประกาศ ณ วันที่ 21 ตุลาคม พุทธศักราช 2562 เป็นปีที่ 4 ในรัชกาลปัจจุบัน

    กกต.ยกคำร้อง ธนาธร-บลายด์ทรัสต์ แค่หาเสียง ไม่ใช่หลอกลวง

    นายธนาธร จึงรุงเรืองกิจ ที่มาภาพ : https://www.facebook.com/FWPthailand/photos/a.1657824830959771/2192898874119028/?type=3&theater

    วันที่ 23 ต.ค. 2562 เว็บไซต์​ WORKPOINTS NEWS รายงานว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติยกคำร้องที่นายศรีสุวรรณ จรรยา กล่าวหา นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ว่าหลอกลวงหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม จากกรณที่นายธนาธรแถลงจะจัดการทรัพย์สินเข้าบลายด์ทรัสต์ (blind trust)

    กรณีดังกล่าว กกต.ได้พิจารณารายงานการไต่สวน และพยานหลักฐานอื่นๆ แล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2562 ผู้ถูกร้องได้แถลงข่าวที่พรรคอนาคตใหม่ อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ว่า เมื่อตนเข้าสู่ตำแหน่ทางการเมืองจะโอนหุ้นของบริษัทมหาชนในเครือซัมมิทให้แก่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด

    บริหารจัดการทรัพย์สินแทนในรูปของบลายด์ทรัสต์ โดยเป็นการโอนทรัพย์สินให้กองทุนเป็นผู้ดูแล ทำให้ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินไม่สามารถเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการทรัพย์สินตนเองได้ การโอนทรัพย์สินในลักษณะนี้เป็นมาตรฐานใหม่ไม่เคยมีนักการเมืองคนใดทำมาก่อน กระทำโดยสมัครใจไม่ต้องมีกฎหมายมาบังคับ

    เห็นว่า การกล่าวอ้างของผู้ถูกร้องในลักษณะเช่นนี้มีลักษณะเป็นเพียงการหาเสียงเลือกตั้งให้แก่ผู้ถูกร้องเท่านั้น ไม่เป็นการหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง เพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้แก่ตนเองหรือผู้สมัครอื่น ข้อเท็จจริงจึงฟังไม่ได้ว่า ผู้ถูกร้องกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 73 วรรคหนึ่ง (5) ตามคำร้องแต่อย่างใด จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง

    กทม.เล็ง จยย.รับจ้างขี่บนทางเท้ายึดเสื้อวินสามปี

    เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า ที่ศาลาว่าการ กทม. เมื่อวันที่ 21 ต.ค. ร.ต.อ. พงศกร ขวัญเมือง โฆษกของกทม. แถลงภายหลังการประชุมคณะผู้บริหาร กทม. ครั้งที่ 20/2562 ซึ่งมี พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เป็นประธานการประชุม ว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงแนวทางการจัดระเบียบผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างสาธารณะ หรือวิน จยย.รับจ้าง

    ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กทม.มีโครงการตาสับปะรด ซึ่งเป็นโครงการที่เชิญชวนผู้ขับขี่วินจยย.มาเข้าร่วม เพื่อตรวจตราผู้ฝ่าฝืนขับขี่รถบนทางเท้า ส่วนใหญ่ได้รับความร่วมมือจากผู้ขับขี่วิน จยย.เป็นอย่างดี แต่ยังพบว่ามีบางส่วน หรือส่วนน้อย ที่วิน จยย.เป็นผู้ฝ่าฝืนเอง

    “กทม.เตรียมเสนอมาตรการลงโทษวิน จยย.ที่ขับขี่รถบนทางเท้า โดยการยึดเสื้อวินเป็นเวลา 3 ปี ระหว่างนี้ก็จะไม่สามารถขับขี่วิน จยย.รับจ้างได้ กทม.จะนำเสนอมาตรการดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริหารวินรถจักรยานยนต์รับจ้างสาธารณะ ซึ่งมีกรมการขนส่งทางบกเป็นประธาน และ กทม.เป็นอนุกรรมการ ในครั้งต่อไป”
    
ร.ต.อ. พงศกร กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพฯ มีวิน จยย.รับจ้าง ที่ตั้งอยู่บนทางเท้าประมาณ 475 วิน กทม.พยามยามหาวิธีที่จัดระเบียบ และหาแนวทางนำวินลงจากทางเท้า เพื่อให้ประชาชนที่สัญจรบนทางเท้าเดินได้อย่างสะดวก เช่น พิจารณาปรับปรุงจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะที่ไม่ได้ใช้งานแล้วเป็นจุดจอดวิน จยย.รับจ้าง

    ศักดิ์สยาม เล็ง ติดจีพีเอสรถส่วนตัวทุกคัน

    นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข (ขวา) นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ(ซ้าย)

    วันที่ 21 ต.ค. 2562 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ได้มีการมอบนโยบายให้กรมการขนส่งไปศึกษาเรื่องการกำหนดให้รถยนต์และรถจักรยานยนต์ต้องติดตั้งจีพีเอส โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการดูและการใช้รถใช้ถนนอย่างครอบคลุม โดยต้องไปหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมเพื่อดูราคาจีพีเอส เพราะขณะนี้ทราบว่าราคาลดลงแล้วจากเดิมกว่าหมื่นบาท ค่าบริการจีพีเอสรายเดือน 500-700 บาท ปัจจุบันอุปกรณ์ก็ลดลงเหลือ 3,000 และค่าบริการรายเดือนเหลือ 300 บาท ส่วนรถเก่าก็จะมีมาตราการค่อยๆบังคับใช้ต่อไป 

    “หากเราติดจีพีเอสกับรถได้ครบทุกประเภท เราจะกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนนได้หมด ประเทศไทยจะเป็นประเทศในแรกที่ทำแบบนี้ ไม่มีอะไรเป็นของฟรีในโลก แต่เรากำลังช่างน้ำหนักว่า สิ่งที่จะนำมาใช้จะเกิดประโยชน์อย่างไร ทั้งนี้ขอหารือกระทรวงอุตฯ ก่อนในเดือนนี้ หากจะต้องออกเป็นกฎกระทรวงบังคับใช้คงต้องใช้เวลาอีก 6 เดือน หรือถ้าเป็นกฎหมายต้องใช้เวลาเป็นปี แต่เราต้องกล้านับ 1 คาดว่าภายใน 1ปี จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องนี้” นายศักดิ์สยามกล่าว

    ส่วนคำถามว่าเรื่องดังกล่าวจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลหรือไม่นั้น นายศักดิ์สยามกล่าวว่าต้องไปศึกษากฎหมายเกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคลประกอบ แต่การติดจีพีเอสจะมีประโยชน์มาก เช่น ช่วยลดการขโมยรถ ช่วยในการกำกับความเร็วเพื่อลดอุบัติเหตุ แต่ทั้งนี้ต้องมีการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย พร้อมทั้งยอมรับว่าบางเรื่องอาจกระทบสิทธิ์ประชาชน แต่ถ้าเสียหายไม่มากและมีประโยชน์ ก็คงต้องยอม

    พบ 39 ศพในตู้คอนเทนเนอร์เข้าสหราชอาณาจักร

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า หน่วยรถพยาบาลฉุกเฉินในมณฑลเอสเซกซ์ของสหราชอาณาจักร ได้โทรเรียกตำรวจมาในช่วงเวลาประมาณ 01.40 น. ของวันที่ 23 ต.ค. 2562 ตามเวลาท้องถิ่น หลังจากพบศพ 39 ศพในตู้คอนเทนเนอร์ของรถบรรทุกคันหนึ่ง ที่นิคมอุตสาหกรรมวอเตอร์เกลด (Waterglade Industrial Park) ถนนอีสเทิร์น เมืองเกรย์ส (Grays)

    คนขับรถบรรทุกวัย 25 ปี จากไอร์แลนด์เหนือ ได้ถูกจับกุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยในเหตุฆาตกรรม

    ตำรวจเอสเซกซ์ ระบุว่า รถบรรทุกคันดังกล่าวเดินทางมาจากบัลแกเรีย และเข้ามาในสหราชอาณาจักรผ่านทางฮอลีเฮด (Holyhead) บนเกาะแองเกิลซีย์ (Anglesey)

    ตำรวจระบุว่า เบื้องต้นพบว่า ผู้เสียชีวิตเป็นผู้ใหญ่ 38 คน และวัยรุ่น 1 คน