ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ชุลมุน ไทย-เทศ รุมถล่ม ‘ธรรมนัส’ ติดคุกออสซี่ค้ายา-วุฒิการศึกษาปลอม” และ “ค้นพบสสารที่อาจเป็นน้ำในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ชุลมุน ไทย-เทศ รุมถล่ม ‘ธรรมนัส’ ติดคุกออสซี่ค้ายา-วุฒิการศึกษาปลอม” และ “ค้นพบสสารที่อาจเป็นน้ำในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ”

14 กันยายน 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 7-13 ก.ย. 2562

  • ชุลมุน ไทย-เทศ รุมถล่ม “ธรรมนัส” ติดคุกออสซี่ค้ายา-วุฒิการศึกษาปลอม
  • กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน แจ้งความนศ.วาด “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” พวก “เฉลิมชัย-ทนายเดชา”
  • ศาล รธน.ตีตกคำร้องปมประยุทธ์ถวายสัตย์ไม่ครบ ชี้ “ไม่อยู่ในอนำาจตรวจสอบ”
  • ศาลฎีกาสั่งจำคุก “อริสมันต์-12 นปช.” ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียน
  • ค้นพบสสารที่อาจเป็นน้ำในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ
  • ชุลมุน ไทย-เทศ รุมถล่ม ‘ธรรมนัส’ ติดคุกออสซี่ค้ายา-วุฒิการศึกษาปลอม

    ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

    วันที่ 9 ก.ย. 2562 หนังสือพิมพ์เดอะซิดนีย์มอร์นิงเฮรัลด์ (The Sydney Morning Herald) ได้เผยแพร่บทความ From sinister to minister: politician’s drug trafficking jail time revealed (จากคนร้ายกลายเป็นรัฐมนตรี: เปิดโปงนักการเมืองต้องโทษจำคุกคดีค้ายาเสพติด) ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงเหตุการณ์เมื่อ 26 ปีก่อน (พ.ศ. 2546) ที่ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย) เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมที่ประเทศออสเตรเลีย และต้องโทษจำคุกเป็นเวลา 4 ปีก่อนจะถูกเนรเทศออกนอกประเทศ โดยทั้งหมดนี้เนื่องมาจากคดีค้ายาเสพติด

    อนึ่ง ก่อนหน้านี้ ร.อ. ธรรมนัส เคยชี้แจงกรณีเคยต้องโทษจำคุกที่ออสเตรเลียมาแล้ว โดยระบุว่าตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดในกรณีดังกล่าว ที่ถูกจับนั้นเป็นความเข้าใจผิดเพราะตนนั้น “อยู่ผิดที่ผิดเวลา” ทำให้ถูกทางการออสเตรเลียควบคุมตัวเป็นเวลา 8 เดือน ก่อนศาลจะตัดสินให้เป็นความผิดลหุโทษฐานไม่แจ้งเบาะแสการค้ายาเสพติดแก่เจ้าหน้าที่

    เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า วันที่ 11 ก.ย. 2562 ระหว่างการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พล.ต.ท. วิศณุ ม่วงแพรสี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย (สร.) ได้ตั้งกระทู้ถามสด พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถึงความเหมาะสมในการแต่งตั้ง ร.อ. ธรรมนัส เป็นรัฐมนตรี โดยอ้างถึงบทความที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ต่างประเทศดังกล่าว และ ร.อ. ธรรมนัส ได้ตอบกระทู้ดังกล่าวโดยมีในความสำคัญช่วงหนึ่งว่า

    “ผมไม่เคยรับสารภาพว่าผมขนยา ค้ายา หรือนำเข้ายาเสพติด หากเป็นข้อเท็จจริง ไปเอามาเลยว่าผมรับสารภาพตรงไหน ผมชี้แจงมาหลายครั้งแล้ว และยังมาถามอีกว่าติดคุก 8 เดือนหรืออะไร เขาเรียกว่าการ plea-bargain… ผมไม่ได้เข้าสู่กระบวนการสอบสวนไต่สวนพยานอะไรเลย ผมถูกกักขังอยู่ 8 เดือน หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ plea-bargain ผมก็ถูกส่งตัวไปทำงานที่ฟาร์ม” และยังกล่าวด้วยว่า “ศาลออสเตรเลีย เสนอให้ผมอยู่จนวาระการเป็นพยานจนครบ 4 ปี นั่นคือ 4 ปีคดีจบ และคดีนี้ท้ายสุด ผู้ต้องหาที่เป็นฝรั่งยกฟ้อง ผู้ต้องหาที่ผมเป็นพยานน่ะ ลองคิดดูว่าอะไรมันเป็นอะไร”

    นอกจากนี้ ร.อ. ธรรมนัส ยังกล่าวด้วยว่า “ชีวิตผมผ่านพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัติล้างมลทินมากี่ฉบับแล้ว ท่านเป็นตำรวจ (เจ้าของกระทู้ถามสด) ท่านรู้ทราบดีว่าพระราชบัญญัติล้างมลทินมีสาระสำคัญอะไรบ้าง”

    นอกจากเรื่องคดีดังกล่าวแล้ว ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ร.อ. ธรรมนัส ยังถูกกล่าวหาจากสังคมออนไลน์ว่าวุฒิการศึกษาระดับปริญญาเอกของเขาที่ปรากฎบนเว็บไซต์รัฐสภาอาจจะเป็นของปลอม

    เว็บไซต์เดลินิวส์ ได้รายงานถึงการตอบโต้ของ ร.อ. ธรรมนัส ต่อกรณีนี้ โดย ร.อ. ธรรมนัส ชี้แจงว่า วุฒิการศึกษาของตนเป็นของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สหรัฐฯ ไม่ใช่ฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นสถาบันที่กระทรวงศึกษาธิการสหรัฐฯ รับรองว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ถูกต้อง และมีเครือข่ายทั่วโลก และไม่ต้องไปนั่งเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่เหมือนกับมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชของประเทศไทย เมื่อถึงเวลาก็จะมีอาจารย์มาสอบที่ประเทศไทย ทั้งนี้ วิทยานิพนธ์ที่ตนทำนั้นเกี่ยวกับอัตลักษณ์เมืองพะเยา ซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสารยูโรเปี้ยน ของสหรัฐฯ ถ้าหากไม่ตีพิมพ์ในวารสารดังกล่าวนั้นถือว่าเป็นของปลอม โดยของตนมีการตีพิมพ์ไว้ด้วย นอกจากนี้ ผลงานวิจัยดังกล่าว นายบุญสิงห์ วรินทร์ลักษณ์ ประธานสภาอบจ.พะเยาในขณะนั้น ซึ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐตอนนี้ ก็มีบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ให้ข้อมูลหลักอีกด้วย

    ร.อ. ธรรมนัส ยืนยันว่าตนจบการศึกษาจาก “California University” ประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนในประวัติการศึกษาที่ระบุว่าจบจาก “Calamus International University” ประเทศฟิลิปปินส์ เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและมีคนไปเปลี่ยนข้อความวุฒิการศึกษา ซึ่งผู้กระทำผิดอาจจะถูกมหาวิทยาลัยฟ้องได้

    กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน แจ้งความนศ.วาด “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” พวก “เฉลิมชัย-ทนายเดชา”

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏงานภาพวาดสามชิ้นเผยแพร่กระจายไปทั่วโลกออนไลน์ โดยภาพทั้งสามมีลักษณะร่วมกันคือ เป็นภาพอุลตร้าแมน (ยอดมนุษย์ในภาพยนตร์และการ์ตูนของประเทศญี่ปุ่น) ที่มีศีรษะเป็นพระพุทธรูปในอิริยาบถต่างๆ ทั้งที่เป็นท่วงท่าแบบอุลต้ราแมนเอง หรือกระทั่งท่านั่งขัดสมาธิอย่างพระพุทธรูปปางสมาธิ

    ผลงานภาพวาดดังกล่าว ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นในโลกออนไลน์ โดยในขณะที่ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นศิลปะที่มีแนวคิดแปลกใหม่ อีกฝ่ายก็เห็นว่าภาพวาดดังกล่าวนั้นไม่เหมาะสม เพราะเป็นการลบหลู่ศาสนา

    ผลงานดังกล่าวเป็นของนักศึกษาหญิงคนหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา โดยนักศึกษาเจ้าของผลงานชี้แจงว่า “แนวคิดของหนูไม่ได้พาดพิงศาสนาให้ดูเสื่อมเสีย หนูเห็นพระพุทธรูปปกปักรักษาคุ้มครองมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว พอเติบโตมาในยุคสมัยใหม่ หนูเห็นอุลตร้าแมนเป็นฮีโร่ ก็เลยสร้างผลงานขึ้นมาให้มีแง่คิด”

    อย่างไรก็ดี คลื่นระลอกแรกของเรื่องนี้จบลงตรงที่ว่า ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รองอธิการบดีของนักศึกษาผู้วาดภาพ และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนา ได้พานักศึกษาคนดังกล่าวไปกราบขอขมาพระเทพสีมาภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดนครราชสีมา

    ทว่าต่อมา เว็บไซต์ไทยรัฐรายงานว่า วันที่ 11 ก.ย. 2562 ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ พร้อมนายพงศ์นรินทร์ อมรรัตนา ทนาย และตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท. หญิง จิราภรณ์ วันโท รอง สว.(สอบสวน) กก.3 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีต่อนักศึกษาสาวที่วาดภาพพระพุทธรูปอุลตร้าแมน, อาจารย์ที่ปรึกษาของนักศึกษาคนดังกล่าว, ผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 จ.นครราชสีมา ในฐานะเป็นผู้ให้สถานที่ในการกระทำความผิด (เป็นที่จัดแสดงภาพวาดดังกล่าวในทีแรก) โดยระบุว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนา และเหยียบย่ำจิตใจชาวพุทธ รวมถึง อ.เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ศิลปินวาดภาพชื่อดัง และนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายคลายทุกข์ ที่ออกมาแสดงความเห็นสนับสนุน รวมทั้งหมด 5 คน

    นอกจากจะเห็นว่าเป็นการลบหลู่พระพุทธศาสนาและล้อเลียนพระพุทธเจ้าแล้ว ดร.จรูญ ยังกล่าวอีกว่า ตนมองว่าเด็กคนเดียวไม่น่าจะทำได้ ซึ่งการที่จะนำภาพไปจัดแสดงในห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ได้จะต้องใช้เงินจำนวนมากซึ่งต้องมีคนสนับสนุน การที่ทางกลุ่มมาร้องกองปราบฯ ไม่ใช่เป็นการทำลายเด็ก เเต่เป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา อย่างไรก็ตามตนทราบดีว่าชาวพุทธทุกคนคงไม่คิดเหมือนตนทุกคน เพราะตอนนี้ในสังคมก็มีความคิดที่หลากหลาย ส่วนการที่เด็กไปขอขมาก็ถือว่าเป็นคนละเรื่อง เเละความผิดได้กระทำไปเเล้ว จะละเว้นมิได้ เเม้ไม่ได้กระทำโดยตรงต่อวัตถุ เเต่เป็นการทำลายทางศิลปะ

    ศาล รธน.ตีตกคำร้องปมประยุทธ์ถวายสัตย์ไม่ครบ ชี้ “ไม่อยู่ในอำนาจตรวจสอบ”

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
    ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

    เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า วันที่ 11 ก.ย. 2562 ศาลรัฐธรรมนูญได้ประชุมพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้วเห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่า นายภาณุพงศ์ ชูรักษ์ ได้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน และผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าการกระทำที่ถูกกล่าวอ้างว่าละเมิดสิทธิและเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญเป็นการกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอให้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 7 (11) และมาตรา 46 ก็ตาม แต่ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (1) บัญญัติว่า

    “การใช้สิทธิยื่นคำร้องตามมาตรา 46 ต้องเป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพ อันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจรัฐ และต้องมิใช่เป็นกรณีอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้

    (1) การกระทำของรัฐบาล และมาตรา 46 วรรคสาม บัญญัติว่า “… ถ้าศาลเห็นว่า เป็นกรณีต้องห้ามตามมาตรา 47 ให้ศาลสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณา” เห็นว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์เป็นการกระทำทางการเมือง (Political Issue) ของคณะรัฐมนตรีในฐานะที่เป็นองค์กรตามรัฐธรรมนูญฝ่ายบริหารในความสัมพันธ์เฉพาะกับพระมหากษัตริย์ อันอยู่ในความหมายของการกระทำของรัฐบาล (Act of Government) ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 47 (1)

    โดยศาลรัฐธรรมนูญไม่อาจรับคำร้องไว้พิจารณาได้ ตามมาตรา 46 วรรคสาม ประกอบกับเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เวลา 17.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณ ก่อนเข้ารับหน้าที่ ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต หลังจากนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณจบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำรัส เพื่อให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการบริหารราชการแผ่นดิน

    ต่อมาเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2562 เวลา 09.00 น. นายกรัฐมนตรีพร้อมคณะรัฐมนตรีได้เข้ารับพระราชดำรัสในโอกาสเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้ารับหน้าที่ ซึ่งพระราชทานเป็นลายลักษณ์อักษร พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย โดยเข้ารับต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ ณ ห้องรับรอง ชั้น 5 ตึกบัญชาการ ทำเนียบรัฐบาล การถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระมหากษัตริย์ดังกล่าวจึงไม่อยู่ในอำนาจการตรวจสอบขององค์กรตามรัฐธรรมนูญใด

    ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 213 ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2561 มาตรา 46 วรรคสาม และมาตรา 47 (1)

    ส่วนกรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ว่า การถวายสัตย์ปฏิญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 และการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องต่อรัฐสภาไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 นั้น เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอันเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ประกอบมาตรา 3 วรรคสอง และเป็นอันใช้บังคับมิได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 หรือไม่

    ผลการพิจารณา ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบคำร้องแล้ว เห็นว่า เป็นเพียงกรณีที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกร้องไม่กระทำการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161 และมาตรา 162 ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นข้อเท็จจริงที่ผู้ถูกร้องได้ดำเนินการหรือยุติไปแล้วก่อนที่ผู้ร้อง จะได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับการใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อกระทำการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด

    ดังนั้น กรณีนี้จึงไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2562 มาตรา 7 (3) ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยได้ศาลรัฐธรรมนูญจึงมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย และเมื่อมีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้ว คำขออื่นย่อมเป็นอันตกไป

    ศาลฎีกาสั่งจำคุก “อริสมันต์-12 นปช.” ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียน

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า วันที่ 11 ก.ย. 2562 ศาลฎีกา มีคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำ นปช. กับพวก บุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ เมื่อปี 2552 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท เมืองพัทยา

    ก่อนหน้านี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ตัดสินจำคุกนายอริสมันต์ กับพวก เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา
    คดีดังกล่าวอัยการจังหวัดพัทยาเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง กับพวกในข้อหาร่วมกันขัดขืนคำสั่งเจ้าพนักงานที่ไม่ให้มีการชุมนุมเกินกว่า 10 คนขึ้นไป และผิดพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจร พ.ศ.2522 ต่อมาเมื่อวันที่ 5 มี.ค.2558 ศาลจังหวัดพัทยาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น ได้พิพากษาตัดสินจำคุก 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา

    ทั้งนี้จำเลยในคดีนี้ ประกอบด้วย นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง, นายนิสิต สินธุไพร, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายวรชัย เหมะ, นายวันชนะ เกิดดี, นายพิเชฐ สุขจินดาทอง, นายศักดิ์ดา นพสิทธิ์, พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภารัตน์, นายนพพร นามเชียงใต้, นายสำเริง ประจำเรือ, นายสมยศ พรหมมา, นพ.วัลลภ ยังตรง และ นายสิงทอง บัวชุม

    สำหรับเหตุการณ์ก่อความไม่สงบของกลุ่ม นปช. เมื่อเมษายน พ.ศ. 2552 นายอริสมันต์เป็นแกนนำผู้ชุมนุมที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี โดยนำผู้ชุมนุมทั้งจากจังหวัดใกล้เคียงและที่สมทบจากกรุงเทพฯ เพื่อปิดล้อมการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนกับคู่เจรจา โดยเมื่อวันที่ 10 เมษายน ได้เข้าปิดล้อมหน้าโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา เพื่อเข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนอาเซียน

    และในวันต่อมาได้กลับมาชุมนุมหน้าโรงแรมอีกครั้ง เพื่อกดดันรัฐบาลให้รับผิดชอบ ต่อเหตุการณ์ปะทะกับกลุ่มคนสวมเสื้อสีน้ำเงิน ในช่วงเช้า จนกระทั่งรัฐบาลอภิสิทธิ์ของไทย ในฐานะเจ้าภาพจัดการประชุม ขอเลื่อนการประชุมออกไปโดยไม่มีกำหนด แล้วพาผู้นำประเทศต่างๆ เดินทางออกจากสถานที่ประชุม และขึ้นเครื่องบินกลับโดยทันที

    ล่าสุด ศาลจังหวัดพัทยา ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้จำคุก นายอริสมันต์ และพวกรวม 12 คน ยกเว้นนายสมญศฆ์ พรมมา

    เนื่องเพราะเป็นมวลชน ไม่ใช่แกนนำในการปลุกระดมให้กระทำการรุนแรง เป็นเวลา 4 ปี โดยไม่รอลงอาญา พร้อมกับออกหมายจับจำเลยทั้งหมดที่ได้รับการลงโทษแต่ไม่ได้มาฟังคำพิพากษา

    ค้นพบสสารที่อาจเป็นน้ำในชั้นบรรยากาศดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2562 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริการายงานว่า วารสารวิทยาศาสตร์ “เนเจอร์ แอสโทรโนมี” รายงานในสัปดาห์นี้ ว่าคณะนักวิจัยด้านดาราศาสตร์ของมหาวิทยาลัยลอนดอนค้นพบสสารที่อาจเป็นโมเลกุลน้ำ บนชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ “เคทู-เอททีนบี” (k2-18b)  ปัจจุบนดาวดวงนี้ลอยอยู่ห่างจากโลกประมาณ 111 ปีแสง แม้ยังถือว่าเป็นดวงดาวที่ลอยอยู่ใน “เขตอาศัยได้” ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์ จึงอาจมีอุณหภูมิเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต

    อย่างไรก็ตาม ระยะทางยังถือว่าไกลเกินไปสำหรับเทคโนโลยีการส่งยานสำรวจในตอนนี้ แต่นักวิทยาศาสตร์ตั้งเป้าการส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศรุ่นใหม่ภายในปี 2563 เพื่อทำการสำรวจดาวดวงนี้

    ทั้งนี้  ดาวเคราะห์เคทู-เอททีนบี ค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศฮับเบิล ขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติของสหรัฐ (นาซา) เมื่อปี 2558 ใช้เวลา 33 วันในการโคจรรอบดาวฤกษ์ของตัวเองซึ่งเป็นสีแดงคือ “เคทู-เอททีน” แม้นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะขนานนามว่าดาวเคทู-เอททีนบี คือ “เอิร์ท” 2.0″ หรือ “โลกใบใหม่” เนื่องจากเป็นดวงดาวในกลุ่มดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ 1,200 ดวง ที่กล้องเคปเลอร์ค้นพบในภารกิจ “เคทู”

    กระนั้น หากสิ่งที่ค้นพบบนชั้นบรรยากาศของดาวดวงนี้ได้รับการยืนยันว่าเป็นโมเลกุลของน้ำจริง ดาวเคทู-เอททีนบีอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการศึกษาว่า ในจักรวาลนี้ไม่ได้มีเพียงโลกของเรา เป็นดาวเคราะห์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น