รายงานโดย ปรีดี บุญซื่อ

การประท้วงในฮ่องกงย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 10 จากจุดเริ่มต้นที่คัดค้านร่างกฎหมายการส่งตัวคนร้ายที่เป็นคนฮ่องกงข้ามแดนให้กับทางการจีน มาเป็นการเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งอิสระเสรีในฮ่องกง ซึ่งข้อเรียกร้องนี้เป็นการท้าทายโดยตรงต่ออำนาจการนำของจีน หากทางการจีนยินยอม ย่อมจะหมายถึงการสูญเสียอำนาจการควบคุมของจีนที่มีต่อเกาะแห่งนี้
การประท้วงของคนฮ่องกงที่เริ่มต้นเป็นการประท้วงอย่างสันติ ขยายตัวรุนแรงมากขึ้นจนไปขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของฮ่องกง ที่เป็นเมืองมีชื่อเสียงด้านความสงบเรียบร้อย เมื่อวันจันทร์ 12 สิงหาคม ผู้ประท้วงเคลื่อนเข้าไปในสนามบินนานาชาติ ทำให้สนามบินที่เป็นศูนย์กลางการบินของโลกแห่งหนึ่ง มีสภาพเป็นอัมพาต
ส่วนทางการจีนก็มีท่าทีแข็งกร้าวมากขึ้นต่อผู้ประท้วง เท่ากับไปสร้างแรงกดดันให้เจ้าหน้าที่ตำรวจใช้มาตรการรุนแรงมากขึ้น เจ้าหน้าที่จีนประกาศว่า การกระทำของผู้ประท้วงเริ่มเข้าข่ายการก่อการร้าย ตำรวจจีนที่เมืองเสินเจิ้น ที่อยู่ตรงข้ามกับฮ่องกง ก็ทำการซ้อมใหญ่การรับมือกับผู้ประท้วง
ความขัดแย้งพื้นฐาน
หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานเมื่อวันที่ 12 สิงหาคมนี้ว่า เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในฮ่องกง ช่วยเปิดเผยให้เห็นสิ่งที่เคยเป็นความขัดแย้งที่ซ่อนเร้นอยู่ในการเมืองของฮ่องกง หลังจากที่อังกฤษคืนฮ่องกงให้กับจีนในปี 1997 แล้ว ก็มีความพยายามที่จะผสมรวม ระหว่างระบอบอำนาจนิยมของจีนเข้ากับดินแดนแห่งสิทธิเสรีภาพของฮ่องกง
จุดเริ่มต้นของการประท้วงในฮ่องกงเป็นกฎหมายส่งคนฮ่องกงไปรับโทษในจีน คนฮ่องกงเกรงว่า เจ้าหน้าที่อาจใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือเล่นงานคนที่เป็นศัตรูทางการเมือง และศาลในจีนนั้น พรรคคอมมิวนิสต์สามารถครอบงำได้ เท่ากับเป็นจุดจบของนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
จีนต้องการให้ฮ่องกงมีฐานะเหมือนกับเป็นเมืองๆหนึ่งในแผ่นดินใหญ่ของจีน ส่วนคนฮ่องกงที่เข้าร่วมการประท้วง ต้องการรัฐบาลท้องถิ่นที่ทำงานเพื่อประโยชน์ของคนฮ่องกง ไม่ใช่แค่ประโยชน์ของจีนเท่านั้น เช่น แก้ไขปัญหาค่าเช่าที่พักอาศัยที่แพงที่สุดในโลก และค่าแรงที่ต่ำ
ก่อนหน้าที่ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม New York Times ได้เคยเสนอรายงานบทวิเคราะห์เรื่อง สิ่งที่เป็นรากเหง้าทางเศรษฐกิจของการประท้วงในฮ่องกง คือ สภาพห้องพักอาศัยที่คับแคบ ค่าเช่าห้องพักที่สูง และแพงกว่าในนิวยอร์ก หรือ ลอนดอน แม้จะมีขนาดเพียงครึ่งหนึ่ง คน 1 ใน 5 ในฮ่องกง มีชีวิตอยู่อย่างยากจน และค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ 4.82 ดอลลาร์สหรัฐฯ (114 บาท) ต่อชั่วโมง

ที่พักอาศัยแพงเกินกำลังซื้อ
หนังสือพิมพ์ South China Morning Post (SCMP) ฉบับวันที่ 22 กรกฎาคม ก็รายงานข่าวความไม่พอใจของบรรดาเยาวชนที่เขาร่วมการประท้วงว่า คนหนุ่มสาวเป็นหัวหอกการประท้วงกฎหมายส่งคนร้ายข้ามแดนให้กับจีน หลายคนอาจเห็นว่า สาเหตุของการประท้วงคือ เรื่องที่อิสระภาพและสิทธิเสรีภาพของฮ่องกง ถูกกัดกร่อนลงไป แต่คนหนุ่มสาวไม่พอใจกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น และกลัวว่าความหวังที่จะมีที่พักอาศัยของตัวเอง คงจะเป็นเพียงแค่ความฝัน
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในฮ่องกง พุ่งขึ้น 242% และเป็นปีที่ 9 ติดต่อกันที่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของฮ่องกงถูกประเมินว่า ราคาสูงมากจนยากที่คนส่วนใหญ่จะมีเงินซื้อได้ เงินเดือนเฉลี่ยของผู้ชายอยู่ที่ 19,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (2,446 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ส่วนค่าเช่าห้องพักห้องเดียวในเมือง เฉลี่ยเดือนละ 16,551 ดอลลาร์ฮ่องกง ตัวเลขเหล่านี้ แสดงว่าเป็นเรื่องยากที่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจของคนหนุ่มสาวของฮ่องกง
Fung Cheng นักออกแบบกราฟิกอายุ 25 ปี บอกกับ SCMP ว่า “มันเป็นปัญหาที่ระบบ พวกเขาไม่จำเป็นต้องได้เสียงสนับสนุนเพื่อเป็นรัฐบาล มันจึงไม่มีความเป็นประชาธิปไตย”
ส่วน William Lun ทนายความ อายุ 22 ปี กล่าวว่า “เป็นความฝันของทุกคนที่อยากจะมีบ้านพัก สิ่งนี้เป็นความฝันของคนจีน แต่มันเป็นภาระกิจที่เป็นไปไม่ได้”

ปฏิรูปเศรษฐกิจคือทางออก
Graeme Maxton อดีตเลขาธิการของชมรม The Club of Rome เขียนบทความเชิงทัศนะลงใน SCMP ว่า ความยากลำบากทางเศรษฐกิจของฮ่องกง มาจากระบบเศรษฐกิจที่เชื่อว่า กลไกตลาดเสรีสุดขั้วอย่างเดียว จะสามารถแก้ไขปัญหาทางสังคมได้ การใช้วิธีการจัดการอย่างเด็ดขาดกับผู้ชุมนุม ยิ่งจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
Graeme Maxton กล่าวว่า วิธีเดียวที่จะฟื้นฟูความสงบเรียกร้อยคือ การเปลี่ยนนโยบายเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของฮ่องกง หลังจากที่ปล่อยให้กลไกตลาดจัดการเรื่องเศรษฐกิจมานานหลายทศวรรษ และรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรเลย ถึงเวลาแล้ว ที่รัฐบาลฮ่องกงจะหันมาทำหน้าที่ในสิ่งที่เป็นงานของรัฐบาล คือการทำเพื่อประโยชน์คนส่วนใหญ่
ความไม่พอใจของคนฮ่องกง ไม่ใช่แค่กฎหมายการส่งผู้ร่ายขามแดนให้จีน แต่เป็นสิ่งที่ฝังรากลึกมานับตั้งแต่สมัยอาณานิคมอังกฤษ และระบบเศรษฐกิจ ที่อังกฤษปลูกฝังไว้ในฮ่องกง ให้กลายเป็นระบบเศรษฐกิจกลไกตลาดที่เสรีมากที่สุด โดยไร้ข้อจำกัดหรือการควบคุมใดๆ และยังถูกปลูกฝังให้ภาคภูมิใจในสิ่งนี้ พร้อมกับความเชื่อที่ว่า การจำกัดหรือควบคุมธุรกรรมทางเศรษฐกิจใดๆที่เป็นไปตามกลไกตลาด ถือเป็นความผิดพลาด
ระบบเศรษฐกิจที่ศรัทธากลไกตลาดแบบไร้ข้อจำกัดใดๆ จะสร้างความไม่พอใจให้กับคนส่วนใหญ่ เพราะระบบเศรษฐกิจแบบนี้จะจบลงเสมอ ในการสร้างความไม่ยุติธรรมเพิ่มมากขึ้น เศรษฐกิจแบบกลไกตลาดที่ไร้การควบคุม จะสร้างช่องว่างมหาศาลระหว่างคนรวยกับคนจน สร้างค่าแรงที่ถูกกับคนส่วนใหญ่ และความมั่งคั่งสุดขั้วให้กับการลงทุนเก็งกำไร และบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่กี่ราย ที่ครอบครองเศรษฐกิจ
ที่เป็นเช่นว่านี้ เพราะว่าระบบเศรษฐกิจกลไกตลาดเสรี จะให้ประโยชน์แก่คนที่มีฐานะมั่งคั่ง แนวคิดที่ว่าเงินทุนที่สั่งสมโดยคนมีฐานะ ในที่สุดจะกระจายไปสู่คนที่ยากจน หรือที่เรียกว่า trickle-down effect คือภาพมายา สภาพที่เกิดขึ้นแบบนี้ คือเนื้อหาในหนังสือของ Thomas Piketty ชื่อว่า Capital in the Twenty-First Century ระบบเศรษฐกิจกลไกตลาดที่ไม่มีการควบคุมใดๆเลย ทำให้ความเหลื่อมล้ำขยายกว้างมากขึ้น
Graeme Maxton กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจกลไกตลาดก็ไม่ได้สร้างงานหรือลดความยากจน แต่ทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยส่วนใหญ่ เป็นผลจากการปรับปรุงประสิทธิภาพและการเพิ่มผลิตภาพ สิ่งนี้หมายความว่า การเติบโตมีแนวโน้มอาศัยจักรกลการผลิต ทำให้ในระยะยาว การจ้างงานจะลดลง แรงกดดันที่ต้องลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง สร้างแรงกดดันที่ไม่หยุดต่ออัตราค่าจ้าง

Graeme Maxton กล่าวว่า ระบบเศรษฐกิจแบบนี้แหละ ที่สร้างความทุกข์ยากให้กับฮ่องกง ความผิดพลาดไม่ใช่มาจากจีน หรือกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน แต่เป็นความล้มเหลวของรัฐบาลฮ่องกง ในการบริหารเศรษฐกิจ และเชื่อว่ากลไกตลาดอย่างเดียว จะแก้ปัญหาสังคมอื่นๆได้ทั้งหมด
ผลที่ตามก็คือ เกิดช่องว่างมหาศาลระหว่างคนรวยกับคนจน คนฮ่องกงจำนวนมากมีที่พักนอนเหมือนกรง ครอบครัวไม่กี่รายครอบครองเศรษฐกิจ มีระบบรัฐสวัสดิการที่อ่อนแอ อัตราค่าจ้างต่ำ อสังหาริมทรัพย์ราคาแพง และคนรุ่นใหม่ขาดความหวังในอนาคต ข่าวดีก็คือ มีหนทางแก้ไขในด้านนโยบายต่อระบบเศรษฐกิจที่สร้างความแตกต่างนี้ เช่นเก็บภาษีคนรวยให้เหมาะสม ธุรกิจผูกขาดต้องถูกแบ่งแยกให้เล็กลง และสร้างระบบรัฐสวัสดิการที่เหมาะสมขึ้นมา
เอกสารประกอบ
Tiny Apartment and Punishing Work Hours: The Economic Roots of Hong Kong’s Protest, July 22, 2019, The New York Times.
How Hong Kong can put an end to protest chaos – it’s about the economy, so fix the deep divide, Graeme Maxton, South China Morning Post, August 5, 2019.