ThaiPublica > เกาะกระแส > “บิ๊กตู่” เคาะโต๊ะ เบรก “ฟรีวีซ่า” จีน อินเดีย – มติ ครม.อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท

“บิ๊กตู่” เคาะโต๊ะ เบรก “ฟรีวีซ่า” จีน อินเดีย – มติ ครม.อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท

20 สิงหาคม 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่20 สิงหาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน

เบรก “ฟรีวีซ่า” จีน – อินเดีย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงมติที่ประชุม ครม.ต่อมาตรการยกเว้นให้นักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย เดินทางมาเที่ยวไทย 15 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่าเข้าไทย (ฟรีวีซ่า)เป็นเวลา 1 ปี ที่มีกระแสว่าทั้งพลเอกประวิตรและนายดอน ปรมัตถ์วินัย ต่างไม่เห็นด้วยเพราะอาจกระทบเรื่องของความมั่นคงของประเทศว่า จากการหารือวันนี้ในการประชุมครม.เศรษฐกิจมีการเสนอหนทางต่างๆเข้ามาแต่อย่างไรก็ตามต้องเสนอให้ครม.ใหญ่เป็นผู้พิจารณาร่วมกัน เพราะมีหลายกระทรวงแสดงความคิดเห็นมา ซึ่งสรุปแล้วที่ประชุม ครม. วันนี้เห็นชอบเฉพาะการขยายมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียม VISA on Arrival(VOA) ให้ถึง 30 เมษายน 2563 จากที่กำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 31 ตุลาคม 2562 นี้

“ต้องการให้ไปถึงในช่วงตรุษจีน ช่วงสงกรานต์ด้วย ก็ต้องดูมาตรการนี้ต่อไป สรุปว่าไม่มีฟรีวีซ่าแต่อย่างใด ซึ่งการท่องเที่ยวก็มีส่วนสำคัญ แต่เราก็ต้องการนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ ไม่มีผลกระทบต่อความมั่นคง หลายคนเป็นห่วง มาแล้วไม่กลับจะทำอย่างไรจึงออกมาได้แค่นี้ ออกอย่างอื่นไม่ได้ วีซ่าฟรีเดี๋ยวก็มีปัญหาอีก ก็มีทั้งหมด 18 ประเทศที่เคยทำมาแล้ว ก็อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในที่ประชุม ครม. พล.อ. ประวิตร ไม่ได้แสดงความเห็นในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด แต่นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น มีความห่วงใยในเรื่องของทรัพยากรในประเทศที่อาจเสียหาย รวมถึงปัญหาขยะ ตลอดจนถึงเรื่องคุณภาพในการให้บริการนักท่องเที่ยว และผลกระทบที่จะเกิดจากคนไทยเอง เนื่องจากเมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาต้องใช้น้ำ ใช้ไฟ ใช้ถนนของเรา เจ็บป่วยก็ต้องใช้โรงพยาบาลของเรา เราจะรองรับไหวหรือไม่ ซึ่งนายวราวุธได้มีข้อมูลในเรื่องนี้มาชี้แจงที่ประชุมในประเด็นดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะต้องนำข้อมูลมาพิจารณาทั้งหมด เพราะเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องของกระทรวงการคลังเท่านั้น หากมีประเด็นที่ทำให้มีความเสี่ยงก็ต้องทบทวน โดยนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เคาะไม่เห็นชอบฟรีวีซ่า แต่ ครม.อนุมัติให้ขยายเวลามาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการตรวจลงตราแทน จากเดิมที่จะหมดอายุในเดือนตุลาคมนี้ ให้ขยายออกไปจนถึง 31 เมษายน 2563 ซึ่งอาจจะกระทบกับประมาณการต้นทุนของมาตรการ เนื่องจากเป็นการขยายมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมกับอีก 18 ประเทศด้วย

ยันเปิดผับตี 4 ยังเป็นเพียงแนวคิด

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความเห็นต่อแนวคิดของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเรื่องการขยายเวลาปิดสถานบริการเป็นเวลา 4 นาฬิกาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจว่าเป็นเพียงแนวคิดเท่านั้นยังไม่มีการนำเสนอข้อมูลต่างๆที่มีรายละเอียดลงมาให้ ทั้งนี้ยังต้องดูอีกครั้งว่าการขยายเวลาปิดสถานบริการนั้นจะมีผลดี ผลเสีย มากน้อยกว่าเดิมแค่ไหน ซึ่งการดำเนินการเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานด้วยกัน ทั้งกระทรวงมหาดไทย ตำรวจ โดยอาจมีการมองต่างมุมในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความมั่นคงหรือความปลอดภัย

“การท่องเที่ยวแบบนี้วัยรุ่นเที่ยวกันเยอะในขณะนี้ ฉะนั้นต้องระมัดระวังด้วย”นายกรัฐมนตรีกล่าว

มอบ “บิ๊กป้อม” อบรม “สิระ”

พล.อ. ประยุทธ์ตอบคำถามกรณีพฤติกรรมของส.ส พรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมาถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เช่น นายสิระ เจนจาคะ หรือนางสาวปารีณา ไกรคุปต์ ที่อาจกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลได้ว่าตนได้มอบหมายให้ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค ไปตักเตือนพูดคุยทำความเข้าใจแล้ว

“อาจจะหลุดอะไรไปบ้างบางอย่างด้วยความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องการที่ ส.ส.จะไปที่ไหนก็ตามถ้าตัวเองคิดว่ามีอันตรายอะไรต่างๆ ก็ทำเรื่องขอไปที่ตำรวจให้มาดูแล เพราะไม่ใช่ภารกิจโดยตรงของตำรวจ ไม่ใช่แบบนายกฯ หรือรัฐมนตรีไป นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ชี้ รบ.ใช้มาตรการการเงินสมัยใหม่ ไม่ใช่ “แจกเงิน”

พล.อ. ประยุทธ์ตอบคำถามกรณีเสียงวิจารณ์ เรื่องการแจกเงินเพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจว่าไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องและไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาวว่าตนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงใช้คำว่า “แจกเงิน” โดยปฏิเสธว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไม่ใช่การแจกเงินแต่เป็นมาตรการทางการเงินการคลังของกระทรวงการคลังที่ผ่านการหารือร่วมกันของหลายรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาเกษตรกร เรื่องการใช้จ่ายในการอุปโภคบริโภค เรื่องสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งไม่ได้ใช้เงินจำนวนมากแต่อย่างใด

“หลายคนไปบอกว่าใช้เงิน 300,000 ล้านบาท แต่จริงๆแล้วใช้เงินเพียง 40,000 ล้านบาทเท่านั้น ที่เหลือเป็นมาตรการภาษี หากคิดเป็นมูลค่าก็ประมาณ 300,000 ล้านบาท ก็ใช่ แต่เงินข้างนอกนั้นประมาณ 200,000 ล้านบาท หากคนไม่ใช้ไม่กู้ก็ไม่เสียเงินตรงนี้ เป็นความร่วมมือระหว่างกันนะ”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เราจำเป็นที่จะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้เพราะว่าเศรษฐกิจของเรากำลังมีปัญหา เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆรอบบ้าน ซึ่งรัฐบาลได้นำหลักการทางเศรษฐศาสตร์หลักการเงินสมัยใหม่มาใช้ในการแก้ปัญหา

“เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เศรษฐกิจเขาก็ตกลง แต่เขาขึ้นมาได้เพราะมีการขึ้นภาษี ต้องไปดูข้อเท็จจริงตรงนี้ สำหรับประเทศในสหภาพยุโรป เขาก็มีกองทุนสนับสนุนมาช่วย แต่เราไม่มีอะไรเลย มีแต่เงินของเราเอง นี่คือปัญหาที่เราต้องหารายได้เข้าประเทศ อย่างอื่นเราก็ยังแก้ปัญหาอะไรไม่ได้ที่จะให้มีเงินมากขึ้น เพราะตอนนี้สถานการณ์ยังแย่อยู่จึงต้องมีมาตรการผ่อนคลายทางการเงินช่วยค่าใช้จ่ายให้มีการใช้เงินในระบบ”นายกรัฐมนตรีกล่าว

ยัน “บุหรี่ไฟฟ้า” ผิดกฎหมาย ห้ามนำเข้า-ขาย-ครอบครอง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีของบุหรี่ไฟฟ้าว่าจะมีแนวทางให้เป็นสินค้าควมคุมหรือไม่อย่างไรว่า ยังไม่มีการทบทวนในเรื่องนี้และยังคงยึดถือตามกฎหมายเดิมคือ “บุหรี่ไฟฟ้า” เป็นสิ่งผิดกฎหมายห้ามนำเข้า ห้ามจำหน่าย และครอบครองไม่ได้

“ฉะนั้นหน่วยงานสาธารณสุขต้องชี้แจงให้ชัดเจนว่าบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้สูบ รวมถึงเด็กและเยาวชนด้วย ซึ่งทุกวันนี้มีการแพร่ระบาดในตลาดมืดจำนวนมาก ฉะนั้นเจ้าหน้าที่ต้องกำกับดูแลให้เข้มงวดยิ่งขึ้น” นายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้กรณีความเห็นให้นำสินค้าผิดกฎหมายที่วางจำหน่ายในตลาดมืดมีมูลค่ามหาศาลมาทำให้ถูกกฎหมาย แต่ต้องมองในมิติอื่นด้วยนอกไปจากมิติเชิงรายได้ เพราะจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโรคถุงลมโป่งพองต่างๆ เหล่านี้จำนวนมากเป็นโรคไม่ติดต่อ แต่เป็นโรคที่ทรมาน ต้องรักษานานและค่าใช้จ่ายสูงการประกันสุขภาพต่างๆก็มีปัญหาหมดเนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก

โดนคมนาคมตอบปมรถตู้ – จ่อตั้ง Check Point ทุก 90 กิโลฯ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงนโยบายการจัดระเบียบรถตู้สาธารณะอย่างไร หลังจากที่ รมว.คมนาคมมีนโยบายยืดอายุการใช้งานรถตู้ออกไปจาก 10 เป็น 12 ปี และไม่บังคับให้เปลี่ยนรถตู้เป็นมินิบัส ในวันพรุ่งนี้ทางกระทรวงคมนาคมจะมีการแถลงออกมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้มีการหารือร่วมกัน และเรื่องนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาและรับฟังความคิดเป็นของประชาชน ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปใดๆออกมา ยืนยันว่ารัฐบาลคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน

ทั้งนี้กระทรวงคมนาคมจะจัดให้มี Check Point ในช่วงระยะทาง 90 กิโลเมตร อยู่บริเวณสถานบริการน้ำมันซึ่งหากขับเร็วกว่าที่กฎหมายกำหนดก็จะมีการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

“สิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลคำนึงถือความปลอดภัยในการเดินทางของประชาชนผู้ใช้บริการรถตู้สาธารณะ เป็นการมองคนละมุม อีกมุมหนึ่งก็ต้องการต่ออายุ อีกมุมหนึ่งก็ต้องการความปลอดภัย ฉะนั้นไม่ใช่แค่คนในรถตู้เท่านั้น ต้องไปดูผู้ประกอบการด้วยต้องมีความรับผิดชอบมากขึ้นในการตรวจสอบพลขับ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เผยชี้แจง “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” ปมถวายสัตย์ตามขั้นตอน

ต่อกรณีการตอบคำถามปมถวายสัตย์ฯในที่ประชุมสภาที่ฝ่ายค้านจะยื่นกระทู้ถามอีกครั้ง พล.อ. ประยุทธ์ ระบุเพียงสั้นๆ “ไม่มีคำตอบนะ โนคอมเมนต์”

เมื่อถามว่าถ้ามีเวลาว่างจะเดินทางไปตอบที่สภาหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่าในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ตนมีงานที่ได้วางแผนล่วงหน้าแล้ว ว่าจะไปตรวจกำลังพลทางเรือ ที่จังหวัดระยอง เป็นงานใหญ่พอสมควรจึงต้องไปแต่เรื่องดังกล่าวนี้เดี๋ยวตนจะดำเนินการเอง ซึ่งตนยังไม่รู้และยังไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด ขณะเดียวกันเช้าวันเดียวกันนี้ยังไม่เห็นว่าทางสภาได้รับการตั้งกระทู้หรือรับการอภิปรายดังกล่าว ยังไม่มีการกำหนดมาเพราะการถามกระทู้นั้นจะต้องให้เวลาล่วงหน้าซึ่งตนไม่ได้มีปัญหาอะไร

เมื่อถามว่า ล่าสุดทางสภาแจ้งว่าจะบรรจุวาระการอภิปรายนายกฯตามมาตรา 152 ในเดือนหน้าพล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่าก็ต้องไปดูก่อนว่าทำได้หรือไม่เพราะนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และรองประธานสภาผู้แทนราษฎรชี้แจงมาแล้ว แต่เข้าใจว่าเรื่องนี้สังคมให้ความสนใจ ซึ่งตนเองก็สนใจ ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่ก็มีงานเยอะ ดังนั้นอะไรก็ตามที่สามารถชะลอไปบ้าง หรือลดแรงกดดันไปบ้างจะทำได้หรือไม่ก็ไม่ทราบ

“ต้องเข้าใจว่าอะไรสำคัญ หรือไม่สำคัญ แต่ทั้งหมดมันก็สำคัญทั้งหมด เพียงแต่ต้องจัดระเบียบให้ดีก็แล้วกัน โอเคนะ เรื่องนี้ผมจะไม่ตอบ พอแล้ว” 

เมื่อถามต่อไปว่าเรื่องนี้อยากให้จบที่กระบวนการยุติธรรมใช่หรือไม่พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่าเดี๋ยวก็ว่ากันไป ตนพูดไปแล้วพร้อมปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่าจะเดินทางไปชี้แจงต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้วยตัวเองหรือไม่

เมื่อถามว่าผู้ตรวจฯได้ส่งหนังสือมาถึงนายกฯแล้วหรือยัง พล.อ. ประยุทธ์ ได้หันไปถามนายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ว่าหนังสือถึงแล้วหรือยัง ซึ่งเลขานายกฯแจ้งว่าหนังสือถึงเรียบร้อยแล้ว เมื่อถามว่านายกฯจะชี้แจงเป็นลายลักษณ์อักษรใช่หรือไม่นายดิสทัต กล่าวว่าเป็นไปตามระเบียบขั้นตอนเช่นนั้น

ชูการศึกษาแบบ “โค้ดดิ้ง” เข้าหลักสูตรภาคบังคับ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญวันนี้ที่ตนอยากจะเน้นคือเรื่องการเขียนชุดคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (โค้ดดิ้ง) ที่มีความสำคัญต่อเด็ก ในการสร้างกระบวนการคิดของเขา ซึ่งตนได้เน้นย้ำครูระดับอนุบาลให้สร้างกระบวนการคิดให้เด็กตั้งแต่เล็ก พอโตขึ้นก็ถ่ายทอดชุดคำสั่งของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยตอนนี้มีอยู่ในหลักสูตรภาคบังคับแล้ว ที่จะต้องมีการปรับให้เหมาะสมกับเด็กประถม มัธยม และระดับอุดมศึกษาด้วย และไม่ใช่ว่าจะต้องไปจัดหาคอมพิวเตอร์อะไรมากมาย เพราะในปัจจุบันทุกคนมีโทรศัพท์อยู่แล้ว และใช้ระบบคล้ายๆ ก็สามารถประยุกต์มาใช้งานด้วยกันได้

“โค้ดดิ้ง เป็นภาษาที่มีสูตรเฉพาะของตัวเอง ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดทักษะคณิตศาสตร์ มั่นใจในการแก้ปัญหา สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เราต้องเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ให้ได้โดยเร็ว รวมถึงรุ่นเก่าอย่างพวกตนที่จะทำอย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด มากกว่านำใช้ในการสร้างความไม่ชอบกัน เกลียดชังในโซเชียลมีเดียอย่างในเวลานี้” นายกรัฐมนตรี กล่าว

เผย 21-28 ก.ย. นี้ ลัดฟ้าร่วมประชุม “UNGA 74”

พล.อ. ประยุทธ์ เปิดเผยว่า ระหว่างวันที่ 21-28 กันยายน 2562 นี้ จะเดินทางไปประชุมสมัชชา สหประชาชาติ สมัยสามัญครั้งที่ 74 (UNGA 74) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีภารกิจพบคนไทยในสหรัฐอเมริกา ร่วมประชุมสหรัฐอเมริกา-อาเซียน และภารกิจต่างๆ จึงต้องเดินทางไปหลายวัน รวมถึงจะพบปะนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาด้วย เป็นการเดินทางไกลถึง 8 วัน ตนจึงแจ้งให้ทราบไว้ก่อน พร้อมกล่าวติดตลกว่า “อย่าคิดถึงผม”

มติ ครม.มีดังนี้

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ 3.16 แสนล้านบาท – หวังดันจีดีพีโต 3%

ศ. ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ วงเงิน 316,000 ล้านบาท เหมือนกับที่ ครม.เศรษฐกิจเห็นชอบไปเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2562 แบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจด้านค่าครองชีพไม่พอ ด้านภัยแล้ง และด้านเศรษฐกิจชะลอตัว โดยมาตรการต่างๆ ดังนี้

  • มาตรการแรก ช่วยเหลือเกษตรกรรายย่อยที่ประสบปัญหาภัยแล้งผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ประกอบด้วยการปรับลดดอกเบี้ยเหลือร้อยละ 0.1 สำหรับหนี้เงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาทแรกระยะเวลา 1 ปี, สินเชื่อฉุกเฉิน รายละไม่เกิน 50,000 บาท วงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ปลดดอกเบี้ยปีแรก ดอกเบี้ยปีต่อไปคิดที่ MRR หรือ 7%, สินเชื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมความเสียหาย รายละไม่เกิน 500,000 บาท วงเงินสินเชื่อ 5,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย MRR-2 หรือเท่ากับ 5% ต่อปี และขยายระยะเวลาชำระหนี้เงินกู้ ธ.ก.ส.เป็นระยะเวลา 2 ปีนับจากงวดชำระเดิม แต่ไม่เกินวันที่ 31 กรกฎาคม 2563 และสนับสนุนต้นทุนการผลิตเพื่อปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/2563 สนับสนุนเงิน 500 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่
  • มาตรการที่ 2 บรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่กันยายนถึงพฤศจิกายน 2562 ได้แก่

มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือ “ชิม ช็อป ใช้” ผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (g-Wallet) 1,000 บาทต่อคน จำนวน 10 ล้านคนแรกที่ลงทะเบียน กระตุ้นการท่องเที่ยวในจังหวัดที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ตามบัตรประชาชน โดยจะต้องใช้ภายใน 14 วันหลังจากได้รับการยืนยันในจังหวัดที่เลือกไว้ตอนลงทะเบียนเพียง 1 จังหวัด นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเงินชดเชย (cash back) 15% จากยอดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม ซื้อสินค้าท้องถิ่น และค่าที่พัก รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท เข้าระบบ g-Wallet หรือคิดเป็นได้รับเงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน ทั้งนี้ ขั้นตอนลงทะเบียนประกอบด้วยลงทะเบียน ผ่านเว็บไซต์ ททท. 23 กันยายน – 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด หลังจากนั้นจะได้รับเอสเอ็มเอสยืนยันภายใน 3 วันทำการ ก่อนจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” เพื่อรับเงินไปใช้จ่ายตามมาตรการในพื้นที่ที่เลือกเอาไว้

มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศ หักค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนซื้อเครื่องจักร 1.5 เท่า สำหรับเครื่องจักรที่ลงทุนในช่วง 1 กันยายน 2562 – 31 พฤษภาคม 2563, มาตรการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ได้แก่ สินเชื่อผ่อนปรนดอกเบี้ย 1% ต่อปี โดยผ่านเติมเงินเข้ากองทุนเอสเอ็มอี 10,000 ล้านบาท, มาตรการสินเชื่อพิเศษของสถาบันการเงินของรัฐ ได้แก่ ธนาคารออมสินและกรุงไทย 100,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 4% ต่อปี, มาตรการค้ำกันสินเชื่อบสย. วงเงิน 150,000 ล้านบาท พร้อมยกเว้นค่าธรรมเนียม 2 ปีแรกและชดเชยวงเงิน NPL 30% เพื่อให้สถาบันการเงินปล่อยกู้ได้มากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีสินเชื่อใหม่ดอกเบี้ยพิเศษเพื่อที่อยู่อาศัย โดยธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) วงเงิน 27,000 ล้านบาท และออมสิน 25,000 ล้านบาท

  • มาตรการที่ 3 ลดค่าครองชีพผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (on-top) ระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่สิงหาคมถึงกันยายน ประกอบด้วย เติมเงินเพิ่มผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) 500 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ ยังมีเงินช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ถือบัตรอีก 500 บาทต่อเดือน และมาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรสำหรับผู้ถือบัตรที่มีบุตรอายุน้อยกว่า 6 ปีอีก 300 บาท ภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด และมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง (กทบ.) ที่จ่ายคืนผ่าน ธ.ก.ส.และออมสิน ตั้งแต่ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 เพื่อให้ กทบ.มีงบประมาณปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น

ศ. ดร.นฤมล กล่าวต่อไปว่า ครม.มีมติไม่อนุมัติที่มาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (visa) เพื่อนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย ที่เดิมกระทรวงการคลังเสนอว่าจะให้ครั้งละไม่เกิน 30 วัน ระยะ 1 ปี ตั้งแต่ตุลาคม 2562 – กันยายน 2563 และคาดว่าจะสูญเสียรายได้ทั้งปี 12,133 ล้านบาท เนื่องจาก ครม.หารือถึงความคุ้มค่าของมาตรการแล้วเห็นว่า แม้การยกเว้นการตรวจลงตราจะทำให้ได้รับรายได้จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นคุ้าค่ากว่ารายได้ที่สูญเสียจากค่าธรรมเนียมการตรวจลงตรา แต่ต้นทุนในด้านอื่นๆ เช่น ต้นทุนจากการใช้ทรัยพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การขาดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานที่เพียงพอจะรองรับนักท่องเที่ยว และปัญหาความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งหมดเป็นงบฯ ของรัฐที่ขอเพิ่มเติมจากงบกลางประมาณ 40,000 ล้านบาท ขณะที่เม็ดเงินจากมาตรการสินเชื่อของสถาบันการเงินของรัฐ 207,000 ล้านบาท รวมทั้งหมด 316,000 ล้านบาท จะทำให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบจะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2562 ให้ถึง 3%

นายกฯ เซ็นชื่อแจกหนังสือ “Blue Ocean Shift” แก่ ครม.

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ ได้แจกหนังสือ BLUE OCEAN SHIFT: BEYOND COMPETING- PROVEN STEPS TO INSPIRE CONFIDENCE AND SEIZE NEW GROWTH ของ W. Chan Kim และ Renée Mauborgne ให้กับคณะรัฐมนตรีทุกคนไปอ่าน โดยมีเซ็นชื่อเอาไว้ที่ปกด้านใน พร้อมระบุว่าประเทศไทยต้องมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะส่งมอบให้ประชาชน และไม่จำเป็นต้องเป็นเพียงแต่เทคโนโลยี แต่รวมไปถึงการเพิ่มมูลค่าหรือกระบวนการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานด้วย

เตรียมเบิกงบช่วยภัยแล้ง

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้สำนักงบประมาณจัดสรรงบกลางเพื่อช่วยภัยแล้ง ซึ่งส่วนใหญ่แต่ละจังหวัดมีแผนงานที่จะจัดทำอยู่แล้ว แต่รอให้สำนักงบประมาณรวบรวมและจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมต่อไป โดยในวันนี้ ครม.ยังไม่ได้พูดคุยถึงเม็ดเงินที่จะเบิกจ่ายลงไป

เผย นบข.เตรียมพิจารณา “มาตรการประกันราคาข้าว”

ศ. ดร.นฤมล เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 สิงหาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2562 เพื่อรับทราบและพิจารณาวาระการประชุมที่สำคัญต่างๆ ได้แก่ รับทราบคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ นบข. รับทราบสถานการณ์ข้าวโลกข้าวไทย ปี 2562/63  และรับทราบผลการดำเนินงานมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2561/62 ด้านการตลาด

พร้อมกับพิจารณาโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2562/63  และพิจารณาแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้ นบข. รวม 5 คณะ ประกอบด้วย 1) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติดานการผลิต 2) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด 3) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลและกำหนดเกณฑ์กลางอ้างอิงโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว 4) คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และ 5) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติระดับจังหวัด

ชูแคมเปน มาเรียมต้องไม่ตายฟรี กระตุ้นคนไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม

นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์กล่าวว่านายกรัฐมนตรีได้กำชับในที่ประชุมต่อการเสียชีวิตของมาเรียม ลูกพะยูนกำพร้าบริเวณอ่าวดูหยงใกล้เขาบาตู ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง ขอให้ทุกกระทรวงรณรงค์เลิกใช้พลาสติกและชูแคมเปมาเรียมต้องไม่ตายฟรี

โดยอยากให้คนไทยร่วมมือกันให้ความตระหนักต่อเรื่องดังกล่าวและมีการรณรงค์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากคนไทยจะตื่นตัวในห้วงที่เกิดเหตการณ์ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเงียบ โดยเฉพาะลดเลิกใช้ถุงพลาสติก และต้องมีบทลงโทษกับผู้ทำผิด

ตั้ง 2 สาว “รัชดา-ไตรศุลี” นั่งรองโฆษก

ศ. ดร.นฤมล กล่าวว่า ครม.มีมติแต่งตั้งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ นางสาวรัชดา ธนาดิเรก จากพรรคประชาธิปัตย์ และนางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล จากพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ ครม.มีมติเห็นชอบแต่งตั้งข้าราชการการเมือง และข้าราชการพลเรือนระดับสูงอีกหลายตำแหน่ง

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 20 สิงหาคม 2562 เพิ่มเติม