กรมบัญชีกลางพร้อมจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) ในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 3 มาตรการเพิ่มเติม เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2562
นางสาวสุทธิรัตน์ รัตนโชติ อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ดำเนินการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในเดือนสิงหาคม – กันยายน 2562 โดยการโอนเงินเข้ากระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) 3 มาตรการ ดังนี้
-
(1) มาตรการพยุงการบริโภคของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 14.6 ล้านคน ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ให้ได้รับเงิน 500 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน
(2) มาตรการมอบเงินช่วยเหลือสำหรับผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเพิ่มเติม จำนวน 500 บาทต่อคนต่อเดือน ให้แก่ผู้สูงอายุที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เป็นระยะเวลา 2 เดือน (มีผู้ได้รับสิทธิจำนวนประมาณ 5 ล้านราย)
(3) มาตรการช่วยเหลือการเลี้ยงดูบุตรแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่ได้รับสิทธิภายใต้โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายการเลี้ยงดูบุตรให้แก่ผู้มีรายได้น้อยที่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยให้ได้รับเงินช่วยเหลือในการเลี้ยงดูบุตรเพิ่มเติมจำนวน 300 บาทต่อคนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ผู้ลงทะเบียนโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด จำนวนกว่า 8 แสนราย)
กรมบัญชีกลางในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการจ่ายเงินตามมาตรการดังกล่าว ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการจ่ายเงินเข้ากระเป๋าเงิน e-Money ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยกำหนดระยะเวลาการจ่ายเงิน ดังนี้
อธิบดีกรมบัญชีกลางกล่าวเพิ่มเติมว่า กรมบัญชีกลางได้ดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อให้การจ่ายเงินตามมาตรการดังกล่าวเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ซึ่งผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถนำเงินไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่ร้านธงฟ้าประชารัฐ ร้านค้าประชารัฐของกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองที่รับชำระเงินผ่านเครื่องรับชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ (EDC) Mobile Application ถุงเงินประชารัฐ ร้านค้าทั่วไปที่รับชำระเงินผ่านเครื่อง EDC แบบพร้อมการ์ด (Prompt Card) หรือสะสมไว้ใช้จ่ายเมื่อจำเป็น สะสมไว้เป็นเงินออมในบัตร อีกทั้ง สามารถถอนเป็นเงินสดได้จากตู้ ATM ของ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ซึ่งการถอนเงินผ่าน ตู้ ATM ในช่วงเวลานี้อาจไม่ได้รับความสะดวก เนื่องจากเป็นช่วงการจ่ายเงินเดือน และบำเหน็จบำนาญ แต่ผู้มีสิทธิไม่ต้องกังวลใจ เนื่องจากเงินในกระเป๋า e-Money ดังกล่าว ไม่จำกัดเวลาในการใช้จ่าย สามารถถอนวันใดก็ได้ หากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 02-109-2345 หรือ Call Center กรมบัญชีกลาง 02-270-6400 กด 7 ในวันและเวลาราชการ
“ชิม ช็อป ใช้” แจก 1,000 บาท 10 ล้านคน กระตุ้นท่องเที่ยว
นอกจากนี้ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวเพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ ระยะเวลา 3 เดือนตั้งแต่กันยายน-พฤศจิกายน 2562 ได้แก่มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือ “ชิม ช็อป ใช้” ผ่านระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (g-Wallet)
ทั้งนี้จะมีการเติมเงินในกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ g-Wallet 1,000 บาทต่อคน จำนวน 10 ล้านคนแรกที่ลงทะเบียน ซึ่งผู้มีสิทธิจะต้องใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในจังหวัดที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ตามบัตรประชาชน โดยจะต้องใช้ภายใน 14 วันหลังจากได้รับการยืนยันในจังหวัดที่เลือกไว้ตอนลงทะเบียนเพียง 1 จังหวัด
นอกจากนี้ ยังมีการสนับสนุนเงินชดเชย (cash back) 15% จากยอดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว สำหรับค่าอาหารและเครื่องดื่ม ซื้อสินค้าท้องถิ่น และค่าที่พัก รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท เข้าระบบ g-Wallet หรือคิดเป็นได้รับเงินชดเชยไม่เกิน 4,500 บาทต่อคน ทั้งนี้ ขั้นตอนลงทะเบียนประกอบด้วยลงทะเบียน ผ่านเว็บไซต์ ททท. 23 กันยายน – 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าสิทธิจะหมด หลังจากนั้นจะได้รับเอสเอ็มเอสยืนยันภายใน 3 วันทำการ ก่อนจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” เพื่อรับเงินไปใช้จ่ายตามมาตรการในพื้นที่ที่เลือกเอาไว้
“มาตราการชิม ช็อป ใช้ ไม่ได้จำกัดว่าผู้ได้รับสิทธิจะต้องมีรายได้มาก-น้อยแต่อย่างใด เพียวแต่ต้องมีอายุเกิน 18 ปี ก็มีสิทธิลงทะเบียนรับสิทธิ์หมด ซึ่งใครลงทะเบียนก่อนก็ได้สิทธิก่อนแบบ first come first serve จำนวน 10 ล้านคน ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งเมืองหลักและเมืองรอง และกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน ซึ่งเมื่อประชาชนเดินทางท่องเที่ยว คาดว่าจะมีการใช้จ่ายเกิน 1,000 บาทต่อคน” ศ.ดร.นฤมล กล่าว