ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ยันรัฐบาลยังทำงานได้ แม้ 15 รมต.ลาออก – มติ ครม. ให้ กฟผ. ร่วมกับพาณิชย์ รับซื้อปาล์มป้อนโรงไฟฟ้า 2 แสนตัน

นายกฯ ยันรัฐบาลยังทำงานได้ แม้ 15 รมต.ลาออก – มติ ครม. ให้ กฟผ. ร่วมกับพาณิชย์ รับซื้อปาล์มป้อนโรงไฟฟ้า 2 แสนตัน

7 พฤษภาคม 2019


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมร่วมระหว่างคณะรัฐมนตรี (ครม.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เป็นประธาน โดยในวันนี้เป็นการประชุมร่วมระหว่าง ครม.และ คสช.ครบเต็มคณะเป็นนัดสุดท้าย ซึ่งใช้เวลาประชุมร่วม 6 ชั่โมง เนื่องจากมีรัฐมนตรีหลายกระทรวง และสมาชิก คสช.ที่ต้องลาออกภายในวันที่ 9 เมษายน 2652 เพื่อดำรงตำแหน่งสามาชิวุฒิสภา (ส.ว.) สำหรับกระทรวงที่ไม่มีรัฐมนตรีดำรงตำแหน่ง รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นผู้รับผิดชอบในการบริหารงานแทน

15 รมต. ตบเท้าลาออก เตรียมนั่งเก้าอี้ ส.ว.

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า วันนี้เรียนว่าในส่วน คสช.จากเดิม 15 ท่าน เหลือ 11 ท่าน ครม.จากเดิมมี 36 ท่านเหลือ 17 ท่าน รวมความถึงผมด้วย และที่ลาออกไปครั้งที่แล้ว 4 คน วันนี้อีก 15 คน รวมเป็น 19 คน

สำหรับรายชื่อรัฐมนตรีที่ยื่นใบลาออก 15 คน ประกอบด้วย พล.อ.อ. ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ยุติธรรม, พล.อ. ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี, นายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, พล.อ. สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน, นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ, พล.อ. สุรเชษฐ์ ชัยวงศ์ รมช.ศึกษาธิการ, นายอุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ, นายวีระศักดิ์ ฟูตระกูล รมช.ต่างประเทศ, นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา, นายลักษณ์ วจนานวัช รมช.เกษตรและสหกรณ์, นายสมชาย หาญหิรัญ รมช.อุตสาหกรรม, นายสุธี มากบุญ รมช.มหาดไทย, พล.อ. อนันตพร กาญจนรัตน์ รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง

“ก็ยังมีการประชุม ครม.ได้ตามปกติ และการประชุมร่วม ครม. คสช. ยังคงสามารถดำเนินการต่อไปได้ตามกฎหมาย ถ้าไม่สำคัญก็ไม่ประชุม อย่ากังวลเลย ไม่ว่าจะมีจำนวนเหลือเท่าไร รัฐบาลและรัฐมนตรีที่เหลือก็ยังคงบริหารงานต่อไปได้ และให้รองนายกรัฐมนตรีที่เหลือมารับผิดชอบงานเพิ่มเติม”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องการทำงานรัฐบาลได้วางแผนมาโดยตลอดตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดินอยู่แล้ว และกรณีที่รัฐมนตรีและ คสช.ไปเป็น ส.ว. ขออย่ามองว่าคนเหล่านี้ไปเป็นศัตรูกับใคร ขอให้มองว่าที่เขาเข้ามาทำงาน 5 ปีที่ผ่านมาทำอะไรไปบ้าง ฉะนั้นเพื่อวางพื้นฐานประเทศในทุกด้านต่อไปในวันข้างหน้าก็ควรให้คนที่รู้การทำงานที่ผ่านมาเข้าไปอยู่ใน ส.ว.ด้วย เพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่ต่อเนื่อง แต่ก็สุดแล้วแต่รัฐบาลต่อไปจะดำเนินการ โดยกล่าวย้ำให้มองในเชิงสร้างสรรค์ อย่ามองทุกคนเป็นศัตรู เพราะ คสช.ไม่ใช่ศัตรูของใคร

“5 ปี ไม่ใช่เวลาอันสั้น วันนี้ผมก็ใจหายเหมือนกัน เห็นหน้าเห็นตากันครบถ้วนก็หายไปหลายคน สิ่งที่ทำมาไม่ได้มีอะไรเสียหายทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คสช.ที่ได้ทำงานมา วันนี้ได้มีการสรุปการทำงาน โดยจะมีการแถลงผลงานในปีที่ 5 ของ คสช.ให้รับทราบต่อไปในอนาคต สิ่งสำคัญคือเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย ความมีสเถียรภาพในการทำงานตลอด 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และยังคงต้องดูแลต่อไป ซึ่งวันหน้าก็มีแผนที่จะปรับโอนหน้าที่เหล่านี้ของ คสช.ให้กับ ครม.ซึ่งได้จัดทำโครงสร้างไว้รองรับแล้ว ไว้เป็นหน่วยงานในการบูรณาการ ไม่ใช่หน่วยงานที่จะไปควบคุมสั่งการใคร ซึ่งต้องปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาล และคำสั่งนายกรัฐมนตรีทั้งหมด” นายกรัฐมนตรีกล่าว

15 รัฐมนตรี รัฐบาล คสช. ที่ยื่นใบลาออก วันนี้ ถ่ายภาพ เป็นที่ระลึก กับ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หลังประชุม ครม.ครั้งสุดท้าย ที่มาภาพ เฟสบุ๊ก

ด้านนายวิษณุยืนยันว่า การประชุม ครม.ในครั้งต่อๆ ไปและในสัปดาห์หน้าจะยังสามารถทำได้ตามปกติ เพราะยังเหลือรัฐมนตรีที่ทำหน้าที่อยู่จำนวน 17 คน และยังมีเรื่องจากกระทรวงต่างๆ ที่ต้องเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. แม้บางกระทรวงที่ส่งเรื่องเข้ามาแต่รัฐมนตรีที่ประจำกระทรวงนั้นลาออกไปแล้ว ครม.ก็ต้องพิจารณาเรื่องของกระทรวงดังกล่าว เพราะยังไม่รู้ว่าจะจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ได้เมื่อใด

สำหรับการแบ่งมอบหมายงานแทนรัฐมนตรีที่ลาออกจากตำแหน่งนั้น นายวิษณุกล่าวว่า เนื่องจากใบลาออกของรัฐมนตรีที่ยื่นมาแล้วนั้นยังไม่มีผล ขณะที่รัฐมนตรีบางคนยังไม่ยื่นใบลาออก และบางคนที่จะลาออกก็ยังไม่รู้เรื่อง ซึ่งตนเข้าใจว่าทุกอย่างจัดการเสร็จเรียบร้อยภายใน 1-2 วันนี้ จากนั้นจะมีการมอบหมายงานออกมาเป็นที่ชัดเจน โดยในการประชุม ครม.วันนี้ได้พูดคุยกันในเชิงหลักการว่ากระทรวงใดที่จะมีแค่รัฐมนตรีช่วยว่าการ (รมช.) ไม่มีรัฐมนตรีว่าการ (รมว.) ผู้ที่เป็น รมช.ดูแลทั้งกระทรวงได้ แต่ถ้ากระทรวงใดที่ไม่มี รมว.และ รมช.ที่จากนี้จะมีจำนวน 8 กระทรวง ก็ขอให้แต่งตั้งผู้รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงนั้นต่อไป ซึ่งสามารถมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาการ โดยส่วนใหญ่จะให้ผู้ที่เคยกำกับงานด้านนั้นๆ มาก่อน ขอยืนยันว่าต้องมีผู้รักษาการ ไม่ให้เกิดช่องว่างในการทำงานแน่นอน

“ที่ ครม.มีมติแล้วในวันนี้คือการแต่งตั้งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจของ รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนงานของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก สามารถมอบหมายให้ผู้ที่เป็นรัฐมนตรีด้วยกันดูแลแทนได้ เพราะรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ไม่ได้กำกับหรือสั่งการกระทรวง แต่ทำหน้าที่กำกับหน่วยงาน เช่น สำนักงานราชบัณฑิตยสภา กรมประชาสัมพันธ์” นายวิษณุกล่าว

ชี้ “พระราชพิธีฯ” แสดงให้เห็นคนไทยยังแน่นแฟ้น

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพร้อมขอบคุณชาวไทยทุกคน โดยระบุว่า วันนี้พระราชพิธีบรมราชาภิเษกได้เสร็จสิ้นไปเรียบร้อย ขอขอบคุณทุกคน ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าภาครัฐ เอกชน ประชาชน จิตอาสา และคนไทยทุกคนทุกจังหวัด ที่แสดงให้เห็นว่าเรายังคงมีความรักความสามัคคี และยึดมั่นในสถาบันหลัก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตย์ อย่างแน่นแฟ้น

“สิ่งที่เราคาดหวัง สิ่งที่ต้องตั้งใจทำคือทำงานถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 รวมถึงพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการสถาปนาทุกประองค์ ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลจะดำเนินการต่อไปตามขั้นตอนในการถวายความยินดีกับทุกพระองค์ ขอให้ประชาชนทุกคนภูมิใจ พระราชพิธีบรมราชภิเษกนี้ไม่มีที่ไหนในโลก สิ่งเหล่านี้คือจารีต วัฒนธรรม ประเพณี ของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ประเทศไทยคงต้องเลือนหายไปจากความทรงจำของโลกใบนี้ทันที” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า เรื่องที่อยากจะขอร้องคือ วันนี้สถานการณ์ความสงบเรียบร้อย ความมีมิตรไมตรีต่างๆ ของสังคมในทุกระดับที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดีย หรือที่อื่นๆ ก็ลดความรุนแรง และเฮทสปีชลงไป หากสามารถคงสถานการณ์ได้เช่นนี้ต่อไปบ้านเมืองก็จะสงบเอง เพราะการปรองดองเป็นเรื่องของจิตใจของทุกคน ถ้ายังยึดมั่นในความคิดตนเองก็แก้ไขไม่ได้ โดยยกตัวอย่างว่า ตนเองนั้นก็ไม่สามารถเอาสิ่งที่คิด สิ่งที่อยากทำมาทำได้ จะต้องมีการหารือกับ ครม. คสช. ทุกเรื่อง

เสียใจ ปชช. ฆ่าตัวตายหนีหนี้นอกระบบ – มีปัญหาแจ้ง “ศูนย์ดำรงธรรม”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีประชาชนเกิดความเครียดจากปัญหาหนี้นอกระบบจนฆ่าตัวตาย โดยเขียนจดหมายขอให้นายกฯ ช่วยทวงความเป็นธรรม ว่า กรณีดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้ตนคิดว่าน่าจะมีทางออกก่อนที่จะตัดสินใจเช่นนี้ เพราะรัฐบาลมีคณะทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้ต่างๆ อยู่หลายคณะด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น หนี้นอกระบบ หรือปัญหาที่ดินทำกิน

“อยากฝากไว้ด้วย อย่าตัดสินใจแบบนี้อีกแล้วกัน เสียใจ ซึ่งได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแล้ว ที่ผ่านมารัฐบาลก็ได้นำโฉนดที่ชาวบ้านถูกนายทุนยึดคืนให้ประชาชน มีการจับกุมเจ้าหนี้นอกระบบเกือบ 5,000 ราย ไกล่เกลี่ยและประนอมหนี้นอกระบบทุกจังหวัด ช่วยประชาชนไปได้กว่า 300,000 คน ผมก็เรียนอีกครั้งว่าหากใครไม่ได้รับความเป็นธรรมในเรื่องใดก็ตามให้แจ้งเจ้าหน้าที่หรือศูนย์ดำรงธรรมในทุกจังหวัด เขาก็จะรายงานให้ผมทราบในทุกสัปดาห์” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ย้ำรัฐบาลแก้ปัญหาราคาปาล์มเต็มที่ ไม่มีเอื้อใคร

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปถึงการแก้ปัญหาราคาปาล์มน้ำมันว่า วันนี้รัฐบาลพยายามเต็มที่ ขออย่าห่วงกังวลว่าจะไปเอื้อประโยชน์ให้ใคร เพราะมีการตรวจสต็อกตลอดเวลาที่ผ่านมา วันนี้ได้เร่งรัดในเรื่องการนำมาเป็นพลังงานให้ได้

“หากถามว่าทำไมต้องขนมาที่ชลบุรี เพราะภาคใต้ไม่มีโรงไฟฟ้าที่ใช้น้ำมันปาล์มได้แล้ว โรงไฟฟ้าที่กระบี่ได้ยกเลิกไปแล้ว จึงจำเป็นต้องขนย้ายมาที่ชลบุรี ทั้งนี้จะมีการจัดซื้อในลอตที่ 2 เพิ่มขึ้น รัฐบาลได้ให้แนวทางนโยบายไปแล้ว ว่าจะต้องไม่ทำให้ค่าไฟของประชาชนเพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระของประชาชน”

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ฝากประชาชนให้ติดตามสถานการณ์เศรษฐกิจโลก และกล่าวถึงการท่องเที่ยวที่ลดลงนั้นเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งรัฐบาลได้หามาตรการเสริมแล้วในเรื่องการท่องเที่ยวชุมชน หรือการท่องเที่ยวที่เป็นเอกลักษณ์ วันนี้คิดว่าจะยังคงเดินหน้าต่อไปได้

โดย พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ช่วงนี้เป็นวาระแห่งความสุข อย่าลืมความสุขในช่วงที่ผ่านมานี้ ผมคิดว่าทุกคนอยากให้เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไป ช่วงชีวิตของเราถือเป็นประวัติศาสตร์ ที่มีส่วนร่วมในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งนี้ ถือเป็นครั้งเดียวในชีวิตของเรา ขอให้ทุกคนได้ภาคภูมิใจในความเป็นไทยของพวกเรา”

“วิษณุ” ชี้ คสช. ออกคำสั่งรวม 456 ฉบับ – เคลียร์แล้ว 391 ฉบับ คงไว้ 65 ฉบับ

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้มีการประชุมร่วมระหว่าง ครม.และ คสช. หลังจากการประชุมครั้งสุดท้ายเมื่อค่ำวันที่ 13 ตุลาคม 2559 ซึ่งการประชุมร่วมฯ อาศัยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 42 คือ ต้องเป็นกรณีที่มีเหตุพิเศษจึงจะประชุมร่วมกันได้ โดยการประชุมครั้งนี้มีการรายงานการดำเนินการเรื่องพระราชพิธีบรมราชาภิเษก และการสรุปถึงกฎหมายที่ได้ออกมาตลอดระยะเวลา 5 ปี

ซี่งตั้งแต่ที่ คสช.เข้าสู่อำนาจเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 จนถึงปัจจุบัน มีช่วงเวลาแรกที่ คสช.มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์อยู่ 3 เดือนก่อนตั้งรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถออกกฎหมายตามปกติได้ จึงออกเป็นประกาศ คสช. ภายหลังมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 และมีการตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จสิ้น ประกาศ คสช.ก็หมดไป ไม่มีการออกอีก หากมีความจำเป็นต้องออกกฎหมายจะออกเป็น “คำสั่ง” ทั้งคำสั่ง คสช.และคำสั่ง หัวหน้า คสช. (อำนาจ ตาม มาตรา 44)

โดยสรุปแล้วมีประกาศและคำสั่งฯ รวมทั้งหมด 456 ฉบับ แบ่งเป็น ประกาศ คสช. 132 ฉบับ, คำสั่ง คสช.ซึ่งเป็นคำสั่งทางบริหาร 166 ฉบับ และคำสั่งหัวหน้า คสช.ตามมาตรา 44 อีก 158 ฉบับ

ข้อมูลจากสไลด์ประกอบการแถลงของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี
ข้อมูลจากสไลด์ประกอบการแถลงของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี

ทั้งนี้ในจำนวนทั้งหมด 456 ฉบับ ได้มีการยกเลิกไปแล้ว ไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไปจำนวน 74 ฉบับ เป็นคำสั่งที่สิ้นผลไปเนื่องจากเสร็จสิ้นภารกิจ จำนวน 133 ฉบับ เช่น คำสั่งแต่งตั้ง โยกย้ายต่างๆ เป็นคำสั่งที่จะสิ้นผลในอนาคตเมื่อ คสช.สิ้นสภาพ อีกจำนวน 39 ฉบับ คงเหลือคำสั่งที่จะมีผลอีก 210 ฉบับ โดยแบ่งเป็น

  • คณะทำงานฯ ทบทวนแล้วเห็นควรยกเลิก เนื่องจากหมดความจำเป็น หรือแม้มีความจำเป็นแต่ไม่เหมาะสมที่จะมีอยู่ต่อไปในระบอบประชาธิปไตย และเพื่อไม่ให้เป็นภาระของรัฐบาลหน้า จำนวน 68 ฉบับ โดยจะมีการออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ตาม มาตรา 44 มาเพื่อยกเลิกต่อไป ซึ่งยืนยันว่าจะมีการยกเลิกก่อน คสช.สิ้นสภาพแน่นอน
  • หน่วยงานที่เกี่ยวของอยู่ระหว่างการจัดทำกฎหมายของตน ซึ่งกฎหมายใหม่ที่ออกมาจะยกเลิก ประกาศหรือคำสั่ง คสช.อีกจำนวน 77 ฉบับ
  • คงเหลือ 65 ฉบับ ที่จะหน่วยราชการต่างๆ เห็นควรให้คงไว้ เพราะเป็นคำสั่งที่ผลเหมือน พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) เช่น เรื่องแรงงานต่างด้าว, ประมง IUU, ICAO ที่หากยกเลิกไปจะเกิดช่องว่างไม่มีกฎหมายใช้บังคับ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลหน้ามีสิทธิจะยกเลิกหรือแก้ไขเมื่อใดก็ได้

สำหรับกฎหมายที่ ครม. ชุดนี้ได้เสนอเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และออกประกาศใช้ รวมทั้งสิ้น 456 ฉบับ แบ่งออกเป็น พ.ร.บ.งบประมาณ จำนวน 5 ฉบับ ตั้งแต่ปี 2558-2562, กฎหมายที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ, กฎหมายที่สำคัญทางการบริหารและระบบราชการ, พ.ร.บ.มหาวิทยาลัย เพื่อให้มหาวิทยาลัยทั้งหมดได้ออกนอกระบบ และกฎหมายที่สำคัญทางสังคม

มอบ วธ. จัดทำ “จดหมายเหตุ” – ประกาศพระนามย่อพระบรมวงศานุวงศ์

นายวิษณุกล่าวถึงการทำจดหมายเหตุเรื่องงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ว่า เรื่องดังกล่าวกระทรวงวัฒนธรรมจะเป็นเจ้าภาพดำเนินการจดบันทึก รวบรวม ข้อมูลของงานพระราชพิธี นำมาเรียบเรียงจัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อจำหน่ายหรือจ่ายแจกให้กับประชาชนต่อไป โดยภายหลังงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกจะมีการจัดงานต่อเนื่อง ทั้งงานสโมสรสันนิบาตในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค รวมทั้งกิจกรรมจิตอาสา

เมื่อถามถึงการประกาศวันสำคัญเช่น วันฉัตรมงคล และวันแม่แห่งชาติ นายวิษณุ กล่าวว่า หลังจากพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัฐบาลชุดใหม่จะต้องเตรียมการและประกาศให้วันที่ 4 พฤษภาคม เป็นวันฉัตรมงคลและเป็นวันหยุดราชการ ภายในปีนี้ เพื่อจัดทำเป็นปฏิทินวันหยุดของปี 2563 ต่อไป

สำหรับวันสำคัญอื่นๆ เช่น วันแม่แห่งชาติ นั้นต้องรอการประสานงานและให้มีมติ ครม. ก่อนประกาศให้ทราบต่อไป เช่นเดียวกับที่มีคำถามว่าวันเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินี จะต้องมีการจัดกิจกรรมใดบ้าง รวมทั้งการออกพระนามอย่างย่อในภาษาพูด ยกตัวอย่าง เคยออกพระนามสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี จะเรียกใหม่ว่าสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า หรือกรมสมเด็จ ก็ขอให้รอฟังต่อไปเพราะกำลังประสานกับผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อซักซ้อมความเข้าใจอยู่

มติ ครม.มีดังนี้

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

กฟผ.จับมือ ก.พาณิชย์ รับซื้อปาล์มป้อนโรงไฟฟ้า 2 แสนตัน

นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2562 ที่อนุมัติเกี่ยวกับมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ ภายหลังจากที่เคยดำเนินการไปแล้วช่วงมกราคม 2562 – เมษายน 2562 ที่ผ่านมา 160,000 ตัน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์ราคาในปัจจุบันยังคงมีปริมาณปาล์มน้ำมันเกินกว่าสต็อกปกติจาก 250,000 ตันเป็น 350,000 ตัน เนื่องจากมีปริมาณผลปาล์มสดที่สุกเร็วขึ้นจากอากาศที่ร้อนจัดและเกินกำลังของโรงสกัดน้ำมันปาล์ม ดังนั้น ครม.จึงมีมติอนุมัติให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับกระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซื้อน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 200,000 ตัน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางประกง

โดยให้จัดซื้อจากโรงสกัดน้ำมันปาล์มที่มีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบไม่น้อยกว่า 50% ของปริมาณน้ำมันที่เสนอขายแต่ละขาย ซึ่ง กฟผ.จะรับซื้อในเดือนพฤษภาคม 2562 ก่อน 100,000 ตัน ทั้งนี้ ด้านผู้ขายน้ำมันปาล์มดิบจะต้องจัดส่งมอบน้ำมัน ณ คลังน้ำมันจังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใน 15 วันหลังจากได้รับแจ้งผลการคัดเลือกเรียบร้อยแล้ว โดย กฟผ.จะชำระเงินภายใน 7 วันหลังจากส่งมอบตรวจรับเรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ กฟผ.จะจัดหาสถานที่รับมอบและรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเก็บสต็อกและรักษาคุณภาพและค่าขนส่งน้ำมันปาล์มดิบจากคลังน้ำมันปาล์มดิบจนถึงโรงไฟฟ้าบางประกงในราคาไม่เกิน 0.9 บาทต่อกิโลกรัมน้ำมันปาล์มดิบ นอกจากนี้ ด้านคณะกรรมการบริหารพลังงาน (กบง.) ยังมีมติขยายระยะเวลาส่วนลดของน้ำมันประเภท B20 ที่ 5 บาทต่อลิตรออกไปอีก 2 เดือนจากเดิมที่จะสิ้นสุดปลายเดือนพฤษภาคม 2562 เป็นสิ้นสุดปลายเดือนกรกฎาคม 2562 แทน และในระยะเวลาอีก 2 สัปดาห์ทางกระทรวงพลังงานจะประกาศเรื่องมาตรฐานของน้ำมันประเภท B10 เพิ่มเติม ซึ่งจะทำให้มีปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบในประเทศเพิ่มขึ้นและสามารถดูดซับการผลิตในปัจจุบันที่ประมาณ 3 ล้านตันต่อไปได้

“ทั้งนี้ ทางกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงมหาดไทยจะเริ่มตรวจสต็อกน้ำมันปาล์มในช่วงสัปดาห์หน้าก่อนจะเริ่มทำสัญญาและส่งมอบให้แล้วเสร็จในปลายเดือนพฤษภาคม โดยตามราคาตลาดปัจจุบันจะอยู่ที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่อีก 100,000 ตันในเบื้องตันจะขอรอดูสถานการณ์ราคาก่อนที่จะรับซื้อต่อ เพื่อไม่ให้ราคาพุ่งขึ้นมาหากรับซื้อมากเกินไป ขณะที่ค่าขนส่ง ค่ารักษาคุณภาพ และค่าน้ำมันปาล์มดิบที่ กฟผ.จะต้องรับซื้อ จะมีต้นทุนในการผลิตไฟฟ้าเพิ่มจากการใช้แก๊สธรรมชาติ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพเท่ากัน แต่เนื่องจากเราต้องการพยุงให้ราคาขึ้นมาอย่างรวดเร็วจึงรับซื้อในราคาที่สูงกว่าต้นทุนของแก๊สธรรมชาติ ประมาณ 1,200 ล้านบาท ครม.ให้ตกลงกับกระทรวงการคลังให้เป็นรายจ่ายเพื่อสังคม หรือ Public Service Account หรือ PSA เพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าไฟฟ้า” นายจิระกล่าว

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ครม.อนุมัติให้ตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดโครงสร้างราคาผลปาล์มภายใต้คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ เพื่อหารือตกลงราคาน้ำมันปาล์มที่เป็นธรรมกับทุกภาคส่วน รวมไปถึงให้กระทรวงจัดหามาตรการสนับสนุนการบริโภคน้ำมันปาล์มในปัจจุบันเพิ่มเติมด้วย โดยปัจจุบันราคาต้นทุนของการผลปาล์มสดอยู่ที่ 3.03 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่ง ครม.มีเป้าหมายว่าราคาจะต้องมากกว่าระดับราคาต้นทุนนี้

“ถามว่าที่ทำไป 160,000 ตันแล้วทำไมราคาไม่ดีขึ้น จริงๆ การรับซื้อไปรอบแรกก็ช่วยพยุงราคาน้ำมันปาล์มเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างที่รัฐมนตรีบอกว่าสถานการณ์อากาศที่ร้อนในปัจจุบันทำให้ผลปาล์มสุกเร็วขึ้นจนออกมาเกินกำลังของโรงสกัดก็เป็นแรงกดดันราคาอีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัดที่มีโรงสกัดตั้งอยู่ออกตรวจสต็อกภายในสัปดาห์นี้เพื่อรองรับกระบวนการที่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานแถลงในกลางสัปดาห์หน้า” นางสาวชุติมากล่าว

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ โฆษกรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

ลดค่าธรรมเนียมโอน “บ้าน – คอนโด” ราคาไม่เกิน 1 ล้าน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.เห็นชอบมาตรการลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมกรณีอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เสนอ โดยจะใช้เฉพาะสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาริมทรัพย์ราคาซื้อขายไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อหน่วย ให้ลดค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในการทำธุรกรรมการซื้อที่ดินและอาคารที่อยู่อาศัย โดยให้ลดการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิมร้อยละ 2 ของราคาประเมินทุนทรัพย์เหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดจากเดิมร้อยละ 1 ของมูลค่าที่จำนอง เหลือร้อยละ 0.01

อนึ่ง ปัจจุบันมีประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง จำนวน 2.87 ล้านครัวเรือน (percentile ที่ 41 ถึง 80) ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ดังนั้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จำเป็นต้องใช้มาตรการหลายด้านควบคู่กันไป ทั้งนโยบายด้านเศรษฐกิจและนโยบายที่ไม่ใช่ด้านเศรษฐกิจ โดยนโยบายด้านเศรษฐกิจที่ได้ผลดีที่สุดคือ นโยบายการคลังซึ่งสามารถนำมาใช้ให้ได้ผลอย่างทันท่วงทีตรงกับกลุ่มเป้าหมายโดยเฉพาะเจาะจงที่มีปัญหา ได้แก่ การลดภาระค่าธรรมเนียมสำหรับการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ และยังช่วยกระตุ้นตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยและภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศได้อีกทางหนึ่ง

โดยโครงการดังกล่าวคาดว่าจะช่วยลดภาระและเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้สามารถตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยได้เร็วขึ้น และสนับสนุนให้ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางที่ยังไม่สามารถเข้าถึงกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในระดับราคาที่ไม่สูงนักได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้จะมีครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยและปานกลางสามารถเข้าถึงกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ประมาณ 58,340 ครัวเรือน คิดเป็นจำนวนประมาณ 175,020 ราย ด้านผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ สามารถช่วยลดอุปทานในตลาดอสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท เนื่องจากยังมีอุปทานคงเหลือในตลาดอยู่สูง ในขณะที่ลูกค้ายังมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยและมีความสามารถรับภาระในการผ่อนค่างวดได้ในระดับที่สูงเช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถเข้าถึงกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยได้ อีกทั้งยังช่วยให้ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มีเงินทุนหมุนเวียนในการลงทุนอย่างต่อเนื่องก่อให้เกิดการสร้างที่อยู่อาศัยใหม่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยของรัฐ (โครงการบ้านล้านหลัง)

กยศ. ลด “เงินต้น-ดอกเบี้ย” หนุนเด็กอาชีวะ – ป.ตรี เรียน S-Curve ป้อน EEC

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบให้กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (human capital) เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ โครงสร้างพื้นฐานทางราง, พาณิชย์นาวี และโลจิสติกส์ โดยให้ กยศ.สนับสนุนให้เด็กกู้ยืมเงินในระดับปริญญาตรีและอาชีวศึกษาระหว่างปีการศึกษา 2562-2566 (5 ปีการศึกษา) โดยระดับปริญญาตรีเมื่อสำเร็จการศึกษาจะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.5 และได้ส่วนลดเงินต้นร้อยละ 30 ส่วนระดับอาชีวศึกษาจะคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.5 เช่นกัน และได้รับส่วนลดเงินต้นร้อยละ 50 แต่หากผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถสำเร็จการศึกษาหรือไม่ได้สำเร็จการศึกษา ตามสาขาวิชาที่กำหนดไว้หรือผิดนัดชำระหนี้ จะไม่ได้รับการคิดดอกเบี้ยในอัตราที่กำหนดและไม่ได้รับส่วนลดเงินต้น โดยจะต้องชำระหนี้ตามระเบียบของกองทุน

  • กยศ. ลดเงินต้น – ดอกเบี้ย 50% หนุนเด็กไทยเรียนอาชีวะ – ป.ตรี สาขา 10 อุตฯเป้าหมาย รองรับ EEC
  • ขึ้นภาษีสรรพสามิตมอเตอร์ไซต์ ลดปัญหาฝุ่นพิษ

    นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติอนุมัติร่างกฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตของรถจักรยานยนต์ จากเดิมที่เก็บตามความจุของกระบอกสูบเป็นตามปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งสอดคล้องกับกรณีของรถยนต์ที่ดำเนินการไปก่อนหน้านี้ เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมและฝุ่นละอองขนาดเล็กของประเทศ

    โดยกำหนดให้รถจักรยานยนต์แบบพลังงานไฟฟ้า ให้เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 1%, รถยนต์แบบใช้พลังงานเชื้อเพลิงหรือแบบผสม แบ่งเป็นกรณีที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 10 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราภาษีตามมูลค่า 1%, ระหว่าง 10-50 กรัมต่อกิโลเมตร เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 3%, ระหว่าง 50-90 กรัมต่อกิโลเมตร เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 5%ม ระหว่าง 90-130 กรัมต่อกิโลเมตร เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 9% และมากกว่า 130 กรัมต่อกิโลเมตร เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 18%

    สำหรับรถจักรยานยนตต้นแบบที่ผลิตหรือนำเข้ามาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำไปวิจัย พัฒนา หรือทดสอบสมรรถนะ ที่ไม่เคยมีการจำหน่ายในท้องตลาดเป็นการทั่วไปในไทยและไม่เคยได้รับการยกเว้นภาษีสรรพสามิตมาก่อน หรือเคยได้รับแต่ยุติการวิจัยฯ ให้เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 0% หรือยกเว้นภาษu และนอกเหนือจากนี้ให้เก็บอัตราภาษีตามมูลค่า 20%

    ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวให้มีผลบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 รถจักรยานยนต์ต้องผ่านการทดสอบมาตรฐานมลพิษตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุสาหกรรมเทียบเท่ากับมาตรฐานยูโร 4 ดัวนั้นจึงควรให้กลุ่มอุตสาหกรรมมีเวลาในการปรับตัวและปรับปรุงผลิตภัณฑ์ก่อน ทั้งนี้ เบื้องคาดว่าสำหรับรถจักรยานยนต์ขนาดเล็กจะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นคันละ 200 บาทต่อปี และรถจักรยานยนต์ขนาดกลางและประเภทออฟโรด์จะมีภาระภาษีเพิ่มขึ้นคันละ 1,500 บาทต่อปี และคาดว่าจะทำให้รัฐมีรายได้เพิ่ม 709 ล้านบาทต่อปี แต่หากผู้ผลิตและผู้บริโภคมีการปรับตัวก็คาดว่าจะมีภาระภาษีดังกล่าวลดลง

    ห้ามนำเข้ารถยนต์มือ 2

    นายณัฐพร กล่าวว่าครม.มีมติอนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่อง กำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้วเป็นสินค้าที่ต้องห้ามหรือต้องขออนุญาตในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร พ.ศ. …. โดนกำหนดให้รถยนต์ที่ใช้แล้ว ได้แก่ รถยนต์ที่ผ่านมาการใช้งานตามปกติวิสัยแล้ว เว้นแต่สภาพการใช้งานเกิดขึ้นเนื่องจากการทดสอบคุณภาพเพื่อนจำหน่ายหรือจัดส่งไปยังแหล่งจำหน่าย โดยมีหนังสือรับรองจากเจ้าของตราสินค้า หรือรถยนต์รุ่นเก่าให้สันนิฐานเบื้องต้นว่าเป็นรถยนต์ที่ใช้แล้ว เว้นแต่โดยสภาพแสดงให้เห็นได้ว่ายังไม่ได้ผ่านการใช้งาน หรือ รถยนต์ที่ได้จดทะเบียนใช้งานในต่างประเทศแล้ว แต่ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ได้จดทะเบียนใช้งานครั้งแรกในต่างประเทศก่อนขนส่งจากเมืองต้นไม่เกิน 60 วัน

    โดยกำหนดประเภทของรถยนต์ใช้แล้วที่ห้ามนำเข้า ดังนี้ รถแทร็กเตอร์เพลาเดี่ยว รถแทร็กเตอร์ทางการเกษตร รถโดยสารประจำทางขนาดเล็ก รถโดยสาร รถโดยสารประจำทาง รถยนต์นั่งส่วนบุคคล รถแข่ง รถดัมป์ รถกระบะ รถบรรทุก รถยนต์โบราณที่มีอายุมากกว่า 100 ปี ขณะที่รถยนต์ใช้แล้วที่ต้องขออนุญาต ได้แก่ รถหัวลาก รถพยาบาล รถเครน รถดับเพลิง

    ยกระดับ อ.จะนะ จ.สงขลา เป็น “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้า”

    นายณัฐพรกล่าวว่า ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการการขยายผลโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” และการจัดตั้งคณะกรรมการบริหารเขตพื้นที่พัฒนาเฉพาะกิจเมืองต้นแบบฯ อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ทั้งนี้ เดิมโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” จากเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559 เห็นชอบในหลักการโครงการเมืองต้นแบบ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” (ปี 2560 – ปี 2563) โดยมีพื้นที่ดำเนินการนำร่องใน 3 อำเภอ ได้แก่ อำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานีอำเภอสุไหงโก-ลก จังหวัดนราธิวาสและอำเภอเบตง จังหวัดยะลา

    โดยวัถุประสงค์ของโครงการเพื่อยกระดับการพัฒนา 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา (อำเภอจะนะ นาทวี เทพา และสะบ้าย้อย) และให้อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา ยกระดับการพัฒนาเชิงพื้นที่ทั้งระบบและครบวงจร เพื่อให้มีความเข้มแข็งและเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคใต้ตอนล่างที่สามารถเชื่อมโยงไปยังพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้และภูมิภาคอื่นๆ ของประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ รวมทั้ง เชื่อมโยงการพัฒนาเศรษฐกิจไปยังประเทศอื่นๆ โดยมุ่งเน้นการลงทุนของภาคเอกชนเป็นสำคัญ

    ทั้งนี้จะแบ่งเป็นมาตรการที่จะดึงดูดเอกชนไปลงทุน เช่น 1) มาตรการการรักษาความปลอดภัย 2) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ภาครัฐสนับสนุนค่าเบี้ยประกันภัยส่วนต่างอย่างน้อยร้อยละ 50 3) การให้สิทธิประโยชน์ทางการคลังและการเงินแก่ภาคธุรกิจ 4) การลดค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธินิติกรรม การโอนและการจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์และห้องชุด ขณะที่ด้านภาคเอกชนจะมีกรอบแผนงานโครงการดังนี้ 1) การพัฒนาท่าเรือสงขลาแห่งที่ 2 เป็นท่าเรือน้ำลึกสงขลาแห่งที่ 2 2) การวางแผนและลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้า [พลังงานไฟฟ้าทางเลือก (Energy Complex)] 3) การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะนะ 4) การบริหารจัดการด้านน้ำและสิ่งแวดล้อม และ 5) การจัดตั้งกองทุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้

    นอกจากนี้ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยขับเคลื่อนโครงการ เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีประเด็นที่จะต้องดำเนินการ เช่น 1) ให้กระทรวงการคลังประกาศให้พื้นที่อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา เป็นคลังสินค้าทัณฑ์บนและเขตปลอดอากร รวมทั้งดำเนินการพัฒนาเป็นพื้นที่ศุลกากรเป็นระบบ 2) ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ภาค 4 ส่วนหน้า กำหนดพื้นที่ปลอดภัยในเมืองต้นแบบที่ 4 อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา

    ขึ้นภาษียาเส้น 20 เท่า สกัดบุหรี่มวนเอง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบให้ขยายเวลาการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตยาสูบที่ 20% ออกไปอีก 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 จากเดิมที่จะปรับขึ้นเป็น 40% ในวันที่ 1 ตุลาคม 2562 หลังจากอัตราภาษีใหม่ทำให้ราคาบุหรี่ที่ผลิตภายในประเทศ จากโรงงานการยาสูบ ต้องขายปลีกในระดับราคาเดียวกับบุหรี่นำเข้าจากต่างประเทศ ส่งผลให้โรงงานการยาสูบมียอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง จากเดิมเที่เคยมีกำไรระดับ 10,000 ล้านบาท ลดลงเหลือไม่ถึง 1,000 ล้านบาทเมื่อปี2561 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ครม.ยังเห็นชอบปรับขึ้นภาษียาเส้นจาก 0.005% เป็น 0.1% ด้วย เพื่อควบคุมปริมาณการบริโภคยาเส้นที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ตั้ง “สนิท อักษรแก้ว” นั่งประธาน สภาพัฒน์ฯ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และกรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ จำนวน 12 คน ดังนี้

      1. ศาสตราจารย์สนิท อักษรแก้ว ประธานสภา
      2. คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      3. นายคณิศ แสงสุพรรณ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      4. นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      5. นายทวีศักดิ์ กออนันตกูล กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      6. นายเทวินทร์ วงศ์วานิช กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      7. นายนินนาท ไชยธีรภิญโญ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      8. ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      9. รองศาสตราจารย์วรากรณ์ สามโกเศศ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      10. รองศาสตราจารย์ศักรินทร์ ภูมิรัตน กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      11. นางเสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ
      12. นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ กรรมการสภาผู้ทรงคุณวุฒิ

    ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

    อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 7 พฤษภาคม 2562เพิ่มเติม