ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “แม่ผู้กระทำผิดคดีชนรถตู้ 9 ศพประกาศพร้อมขาย ‘ที่ดิน-บ้าน’ ชดใช้ญาติเหยื่อ” และ “สหรัฐฯ ห้าม มิน อ่อง หล่าย เข้าประเทศ เหตุอยู่เบื้องหลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “แม่ผู้กระทำผิดคดีชนรถตู้ 9 ศพประกาศพร้อมขาย ‘ที่ดิน-บ้าน’ ชดใช้ญาติเหยื่อ” และ “สหรัฐฯ ห้าม มิน อ่อง หล่าย เข้าประเทศ เหตุอยู่เบื้องหลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา”

20 กรกฎาคม 2019


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 ก.ค. 2562

  • แม่ผู้กระทำผิดคดีชนรถตู้ 9 ศพประกาศพร้อมขาย “ที่ดิน-บ้าน” ชดใช้ญาติเหยื่อ
  • “อุตตม” จ่อผลักไทยสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ สะดวกรวดเร็ว-ป้องกันทุจริตได้
  • ดีอีเล็งตั้ง “fake news center” จัดการข่าวปลอมยุยงปลุกปั่น
  • สรรพสามิตเดินหน้าเก็บภาษีความหวาน พร้อมศึกษาเตรียมเก็บภาษีความเค็ม
  • สหรัฐฯ ห้าม มิน อ่อง หล่าย เข้าประเทศ เหตุอยู่เบื้องหลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา
  • แม่ผู้กระทำผิดคดีชนรถตู้ 9 ศพประกาศพร้อมขาย ‘ที่ดิน-บ้าน’ ชดใช้ญาติเหยื่อ

    จากกรณีอุบัติเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2553 ที่เยาวชนอายุ 17 ปีขับขี่รถยนต์ชนเข้ารถตู้โดยสารจนทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 9 ศพ และล่าสุดกลับกลายเป็นกระแสในโลกออนไลน์อีกครั้ง เนื่องจากแม้ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจจะอ่านคำพิพากษาไปแล้วเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้กับกลุ่มโจทก์เป็นเงินประมาณ 24.7 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้มีการชดใช้ค่าเสียหายกันตามที่ศาลพิพากษา อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมาทางฝั่งผู้เสียหายก็ไม่ได้รับการดูแลในเรื่องต่างๆ อย่างเหมาะสม (อ่านคำพิพากษาได้ที่นี่)

    ล่าสุด มารดาของผู้กระทำผิดได้ออกมาเปิดเผยว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะเยียวยาผู้เสียหาย แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างประกาศขายที่ดินจำนวน 21 ไร่่ มูลค่าประมาณ 50 ล้านเพื่อนำเงินไปชดใช้ แต่เพื่อความรวดเร็ว อยากขอให้กระทรวงยุติธรรมอนุมัติเงินจากองทุนยุติธรรมจ่ายเป็นค่าชดเชยเยียวยาไปก่อน แล้วตนจะเป็นลูกหนี้หลวงแทน เพราะตอนนี้เกินกำลังความสามารถของครอบครัว และยังกล่าวด้วยว่า หากเงินที่ได้จากการขายที่ดินไม่เพียงพอ ก็พร้อมจะขายโฉนดบ้านอีกหลัง มูลค่า 55 ล้าน เพื่อเอามาชดใช้ให้ได้ ส่วนเหตุผลที่ไม่ขายแต่แรกนั้นเพราะอันที่จริงแล้วก็พยายามขายอยู่ แต่คนซื้อกังวลเพราะกลัวจะเป็นการยักย้ายถ่ายเททรัพย์ (คือ ซื้อแล้วไม่เอาเงินไปชดใช้ให้กับผู้เสียหายจริง)

    อนึ่ง เนื่องด้วยครอบครัวของผู้กระทำผิดนั้นใช้นามสกุลที่เป็นราชสกุล จึงทำให้ข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ในคดีดังกล่าวพาดพิงไปถึงราชสกุลนั้นด้วย ทางราชสกุลดังกล่าวจึงมีการส่งตัวแทนออกมาแถลงแสดงความเสียใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยขอให้สังยุติการพาดพิงถึงราชสกุลเพราะครอบครัวของผู้กระทำผิดเป็นเพียงครอบครัวเดียวในหลายครอบครัวที่ใช้ราชสกุลนี้ร่วมกันเท่านั้น พร้อมทั้งยังเรียกร้องให้ทางครอบครัวของผู้เสียหายรีบปฏิบัติตามคำพิพากษาให้เรียบร้อย

    “อุตตม” จ่อผลักไทยสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบ สะดวกรวดเร็ว-ป้องกันทุจริตได้

    นายอุตตม สาวนายน

    วันที่ 18 ก.ค. 2562 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ โพสต์ผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊ก ดร.อุตตม สาวนายน ถึงการผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็นสังคมไร้เงินสด (cashless society) อย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งนอกจากจะสะดวกรวดเร็วแล้วยังช่วยป้องกันการทุจริตได้ โดยระบุว่า

    ความท้าทายใหม่ของกระทรวงการคลัง

    ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชำระเงินในสังคมไทยค่อนข้างชัด คือ การใช้เงินสดกำลังถูกแทนที่ด้วยระบบการชำระเงินดิจิทัล คนเริ่มถือเงินสดไว้กับตัวน้อยลง สิ่งเหล่านี้กำลังนำเราไปสู่ สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ที่หลายๆประเทศได้ล้ำหน้าไปแล้ว ซึ่งผมเคยพูดเรื่องนี้มาบ้างแล้ว

    วันนี้อยากเพิ่มเติมบางแง่มุม กล่าวคือ สังคมไทยต้องก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดเต็มรูปแบบเหมือนประเทศอื่นๆ ซึ่งวันนี้มีสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้นแล้ว เราเริ่มเห็นผู้คนกล้าโอนเงินซื้อสินค้าออนไลน์ กล้าชำระค่าน้ำค่าไฟ จองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก และอื่นๆ ผ่าน e-wallet มากขึ้น นี่คือก้าวแรกของสังคมไร้เงินสด 

    กระทรวงการคลังในสมัยรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ริเริ่มยุทธศาสตร์พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ซึ่งช่วยผลักดันให้เกิดสังคมไร้เงินสดในประเทศไทยเร็วขึ้น

    National e-Payment นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เกิดสังคมไร้เงินสดแล้ว ยังช่วยประหยัดเวลา ประหยัดงบประมาณ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ป้องกันปัญหาการทุจริตอีกด้วย

    โดยเฉพาะระบบการเงินการคลังของภาครัฐวันนี้ การทำธุรกรรมผ่านระบบ e-Payment ก็เพื่อความโปร่งใส ปิดช่องการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลชุดนี้

    ผมเห็นว่ากระทรวงการคลังยุคใหม่ จะต้องให้ความสำคัญในการดูและส่งเสริมให้เกิดการใช้เทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจใหม่ และสร้างความโปร่งใสให้การคลังของรัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับประเทศอย่างยิ่ง

    ดีอีเล็งตั้ง “fake news center” จัดการข่าวปลอมยุยงปลุกปั่น

    นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th

    เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือ ดีอี เปิดเผยว่า มีความยินดีที่เข้ามาทำงานในกระทรวงนี้ โดยเน้นย้ำงาน 3 ด้านที่สำคัญ คือเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล สังคมดิจิทัล และความมั่นคงดิจิตฝทัล โดยงานความมั่นคงทางดิจิทัลนัั้น มีแนวคิดที่จะจัดตั้งศูนย์ fake news center เพื่อจัดการกับข่าวลวง ข่าวปลอม ที่ยุยงปลุกปั่น นำไปสู่ความเข้าใจผิดของประชาชน และสร้างความไม่สงบเรียบร้อยเกิดขึ้นในประเทศ เตรียมนำแนวคิดนี้เข้าหารือกับผู้บริหารของกระทรวง

    ซึ่งจากการศึกษากฎหมายเกี่ยวกับความมั่นคง ทั้งกฎหมายออกมาแล้วและกำลังจะออกมาในอนาคต พบว่ามีประโยชน์ในการนำมาบังคับใช้ แต่ยังอาจไม่เป็นเอกภาพและยังไม่บูรณาการ จึงเตรียมพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้ เพื่อให้การทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันและเป็นเอกภาพมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าการแก้ไข พ.ร.บ.ไซเบอร์ฯ ซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียนั้นไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย มีหลายขั้นตอนต้องดำเนินการ จึงต้องเปิดรับฟังความคิดเห็น เตรียมเดินสายพบปะกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสมาคมที่ใช้กฎหมายเกี่ยวกับดิจิทัล กลุ่มค้าขายออนไลน์ บล็อกเกอร์ รวมถึงผู้ประกอบการทุกกลุ่ม เพื่อรับฟังความคิดเห็น และนำไปสู่การปฏิบัติของกระทรวงในอนาคต

    นายพุทธิพงษ์ ย้ำว่า ไม่หนักใจหากฝ่ายค้านจะหยิบยกคุณสมบัติเกี่ยวกับการถูกดำเนินคดีที่เกิดขึ้นในช่วงการชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ในอดีต มาอภิปรายในระหว่างการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพราะเป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย ในระบอบประชาธิปไตยต้องยอมรับการตรวจสอบและยึดมั่นในระบบรัฐสภา การตอบกระทู้และตอบคำถามตามกระบวนการที่ผ่านรัฐสภา เป็นเรื่องปกติตามระบอบประชาธิปไตย 

    ซึ่งในวันนี้ผ่านการเลือกตั้งและมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้วภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 กระบวนการการอภิปรายในการแถลงนโยบาย ต้องยึดมั่นอยู่ในข้อบังคับ หากอยู่ภายใต้ข้อบังคับแล้ว รัฐบาลก็ยินดีให้ความร่วมมือ และรัฐมนตรีก็พร้อมที่จะตอบคำถาม

    เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายพุทธิพงศ์พร้อมข้าราชการระดับสูงของกระทรวงได้ร่วมกันประกอบพิธีบวงสรวงสักการะพระพรหม ในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีวันแรก จากนั้นได้ร่วมประชุมและมอบนโยบายให้แก่ผู้บริหารของกระทรวงดีอี

    สรรพสามิตเดินหน้าเก็บภาษีความหวาน พร้อมศึกษาเตรียมเก็บภาษีความเค็ม

    ที่มาภาพ: Mae Mu จากเว็บไซต์ Unsplash (http://bit.ly/2XRzXBN)

    เว็บไซต์ WORKPOINT NEWS รายงานว่า วันที่ 1 ต.ค. 2562 ที่จะถึงนี้ กรมสรรพสามิตจะดำเนินการปรับอัตราภาษีเครื่องดื่มให้ความหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มชูกำลัง เพิ่มขึ้นอีก 15 สตางต์ถึง 1 บาทต่อขวดขนาด 1 ลิตร และจะทยอยปรับอัตราเพิ่มไปสูงสุดที่ 5 บาท ในปี 2564

    นายณัฐกร อุเทนสุต ผู้อำนวยการสำนักแผนภาษี กรมสรรพสามิต คาดว่าการเก็บภาษีหวานมันเค็มจะช่วยรัฐจัดเก็บรายได้ เพิ่มขึ้นอีก 4,000 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการประกาศใช้ภาษีความหวานรอบแรก 3,000 ล้านบาท โดยกรมฯ พบว่า ผู้ผลิตสินค้าสามารถปรับสูตรลดปริมาณน้ำตาลจนได้รับเครื่องหมายสินค้าที่เป็นมิตรกับสุขภาพในท้องตลาดเพิ่มขึ้น จาก 30 ตัวอย่าง เป็น 100 ตัวอย่าง ภายในเวลาเพียง 1 ปี ช่วยให้ผู้บริโภค มีทางเลือก

    ขณะเดียวกันกรมสรรพสามิตกำลังเร่งศึกษาแนวทางการเก็บภาษีความเค็ม และความมันหลังพบผลการศึกษาคนไทยบริโภคความเค็มเกินกว่าความต้องการของร่างกาย มากกว่า 2-3 เท่าตัว ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และสินค้าบางรายการถูกตีกลับจากต่างประเทศ เนื่องจากปริมาณโซเดียมสูงเกินค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกกำหนด ยืนยันว่ามาตรการทางภาษีสุขภาพไม่ได้มุ่งหวังผลด้านรายได้ แต่ต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ลดค่าใช้จ่ายทางสาธารณสุขมากกว่า เพราะตามแผนจะเก็บภาษีจากปริมาณโซเดียมที่ใช้สำหรับปรุงรส แต่อาจไม่รวมกับโซเดียมที่ช่วยถนอมอาหาร ซึ่งจะเร่งสรุปรายละเอียดเสนอรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ภายในปีนี้

    สหรัฐฯ ห้าม มิน อ่อง หล่าย เข้าประเทศ เหตุอยู่เบื้องหลังฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญา

    เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่าhttp://bit.ly/2K3B3kv วันที่ 17 ก.ค. 2562 ไมค์ พอมเพโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า สหรัฐฯ ไม่อนุญาตให้ พลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมา, นายทหารระดับสูงอีก 3 นายและสมาชิกในครอบครัว เดินทางเข้าประเทศ

    นอกจากนี้ยังแสดงความกังวลใจกับท่าทีเพิกเฉยของรัฐบาลเมียนมาในการแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และปล่อยให้กองทัพเมียนมามีส่วนร่วมในการละเมิดสิทธิมนุษยชนในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง

    การบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้เกิดขึ้นหลังพบหลักฐานว่านายทหารระดับสูงเมียนมาอยู่เบื้องหลังการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในรัฐยะไข่ ทำให้ชาวโรฮิงญากว่า 740,000 คนต้องอพยพข้ามพรมแดนไปยังบังกลาเทศ

    เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ ตั้งความหวังว่ามาตรการคว่ำบาตร ทำให้รัฐบาลพลเรือนของออง ซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐเมียนมา เข้าไปควบคุมดูแลปฏิบัติการกวาดล้างทางชาติพันธุ์ของกองทัพได้มากขึ้น โดยมาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังของสหรัฐฯ หลังจากเมียนมาพยายามสร้างความปรองดองกับชาติมหาอำนาจ ด้วยการเสนอแผนปฏิรูปทางการเมืองจนปูทางมาสู่การเลือกตั้งทั่วไปเมื่อปี 2558