ThaiPublica > เกาะกระแส > นักเศรษฐศาสตร์แนะรัฐบาลประยุทธ์ 2 ระวังสงครามการค้าลามสู่สงครามค่าเงิน – เร่งดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนตปท.สร้างความแข็งแกร่งข้างในสู้ศึกการค้าโลก

นักเศรษฐศาสตร์แนะรัฐบาลประยุทธ์ 2 ระวังสงครามการค้าลามสู่สงครามค่าเงิน – เร่งดึงความเชื่อมั่นนักลงทุนตปท.สร้างความแข็งแกร่งข้างในสู้ศึกการค้าโลก

2 กรกฎาคม 2019


ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย

ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ทวีความรุนแรง และยกระดับสู่สงครามเทคโนโลยี ซึ่งทำให้ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกเพิ่มสูงขึ้น สำนักวิจัยของธนาคารพาณิชย์หลายแห่งจึงได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทยลงมาอยู่ในช่วง 3.2%-3.3% รวมทั้งเสนอให้รัฐบาลสร้างความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจ เพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวด้วยความแข็งแกร่งจากภายในประเทศ

ซีไอเอ็มบีไทยมองรัฐบาลออก 3 นโยบาย

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยครึ่งหลังปี 2562 ต่อเนื่องไปยังปี 2563 โดยปรับทั้งมุมมองอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) และมุมมองนโยบายการเงิน

สำนักวิจัยฯ ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจลงมาที่ 3.3% สำหรับปี 2562 และ 3.2% สำหรับปี 2563 สะท้อนถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแรงลง ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำ จากเดิมเมื่อเดือนธันวาคมปี 2561 สำนักวิจัยฯ คาดการณ์ GDP ปี 2562 ว่าจะขยายตัว 3.7%

การปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจรอบนี้มาจากสงครามการค้าที่กระทบการส่งออกของไทย โดยคาดว่าการส่งออกครึ่งแรกของปีจะหดตัว 3% ส่วนครึ่งหลังหดตัวเพียงเล็กน้อย และเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าส่งออกจะหดตัวราว 1% กว่า ซึ่งการส่งออกที่หดตัวจะกระทบกับการลงทุน เอกชนลังเลที่จะขยายกำลังการผลิต เนื่องจากกำลังการผลิตในระดับที่ต่ำทำให้นักลงทุนยังไม่ขยายการลงทุน กลายเป็นปัจจัยเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยได้

ส่วนภาคการท่องเที่ยวนักท่องเที่ยวที่จำนวนน้อยในช่วงครึ่งแรกของปีมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นในครึ่งหลังของปีแต่ไม่น่าจะฟื้นตัวในระดับแข็งแกร่ง

ปัจจัยเชิงบวกสำคัญที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ น่าจะต้องหวังพึ่งนโยบายสำคัญของรัฐบาลใหม่ โดยหลังการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี และน่าจะฟอร์มทีมคณะรัฐมนตรีชุดใหม่พร้อมตั้งรัฐบาลใหม่เสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ สำนักวิจัยฯมองว่ารัฐบาลใหม่สามารถออกนโยบายมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้ แบ่งเป็น 3 นโยบายหลักๆ ดังนี้

นโยบายดูแลสินค้าภาคเกษตรและกำลังซื้อภาคเกษตร คาดว่า รัฐบาลชุดใหม่น่าจะเข้ามาดูแลรายได้ของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นการประกันรายได้ หรือดูแลให้เศรษฐกิจเติบโตไปถึงระดับของคนยากจนได้ หากทำได้จะเป็นแรงผลักดันในการกระจายรายได้เข้าไปสู่ในภาคต่างจังหวัด

นโยบายค่าครองชีพ มองว่ารัฐบาลชุดใหม่น่าจะสานต่อรัฐบาลชุดก่อนหน้า นั่นคือการใช้มาตรการผ่านบัตรสวัสดิการภาครัฐ โดยการโอนเงินของภาครัฐเข้าไปสู่คนจน น่าจะประคองกำลังซื้อของคนผู้มีรายได้น้อยได้

“ที่สำคัญ เราเชื่อว่ารัฐบาลจะสานต่อมาตรการดูแลค่าครองชีพไม่ให้ขยับขึ้นมากนัก”

การลงทุนภาครัฐ ที่ปัจจุบันยังล่าช้า หากรัฐบาลเดินหน้าลงทุนได้อย่างเร่งด่วนจะดึงความเชื่อมั่นของเอกชน ให้เข้ามาลงทุน ก็จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถขับเคลื่อนได้

“โดยรวมแล้วเราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดที่รัฐบาลต้องทำอย่างเร่งด่วน คือการดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนโดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาให้ได้ เพราะ เรากำลังจะมีการเจรจาการค้า FTA กับต่างประเทศ เป็นเวทีที่เราสามารถผลักดันโอกาสทางเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเฉพาะเรื่องระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ซึ่งจะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่งได้ ท่ามกลางความเสี่ยงจากภาคต่างประเทศ ประเทศไทยต้องสร้างความเข้มแข็งจากภายใน” ดร.อมรเทพ กล่าว

ประมาณการเศรษฐกิจในรายงานนโยบายการเงินเดือนมิถุนายน 2562

ทางด้านมุมมองนโยบายการเงิน สำนักวิจัยฯได้ปรับมุมมองนโยบายการเงินอย่างชัดเจน จากสงครามการค้าที่นำมาสู่สงครามค่าเงิน และกลายเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามว่าจะเห็นการปรับลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่

เดิมสำนักวิจัยฯมองว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายตลอดทั้งปีไว้ที่ 1.75% แต่เมื่อกนง.ส่งสัญญาณเป็นห่วงเรื่องทิศทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงจากสงครามการค้า จนมากระทบการส่งออกของไทย ทำให้กนง.ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจ สำนักวิจัยฯจึงมองว่า สุดท้ายแล้วธปท.จะกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ยเพื่อลดต้นทุนทางการเงิน กระตุ้นให้เกิดการลงทุน การบริโภค

โดยสำนักวิจัยฯคาดว่ากนง.จะปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ภายใน 12 เดือนนี้ จาก 1.75% จะเหลือ 1.5% ภายในสิ้นปีนี้ และจะลดอีกครั้งหนึ่งสู่ระดับ 1.25% ภายในปีหน้า รวมปรับลด 0.5% ซึ่งอาจจะปรับลดในการประชุมติดกัน หรืออาจจะไม่ก็ได้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

อีกหนึ่งเบื้องหลังของการลดดอกเบี้ยน่าจะเป็นความพยายามของธปท.ในการปล่อยให้เงินบาทอ่อนค่า ตอนนี้ปัญหาสำคัญของไทยคือ การที่เงินบาทแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค ตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้เงินบาทแข็งค่า 6% เทียบดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ประเทศอื่น ค่าเงินไม่ได้แข็งค่าตามเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ บางสกุลอ่อนค่าลงด้วย นั่นหมายความว่า ช่องว่างระหว่างค่าเงินบาทกับค่าเงินเพื่อนบ้านถ่างกว้างมากขึ้น

ยกตัวอย่าง เงินวอนเกาหลีใต้ต้นปีอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ 3.5% ซึ่งค่อนข้างแรง ส่งผลให้เงินบาทเทียบเงินวอนแข็งค่าเฉียด 9% ฝั่งผู้ส่งออกที่ส่งสินค้าไปแข่งกับเกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเฉพาะการแข่งกับประเทศที่ขายสินค้าคล้ายเรา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร ผลกระทบจะแรงกว่าเพื่อน แต่ถ้าเป็นสินค้าที่เรามีความสามารถในการแข่งขัน เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ น่าจะเอาตัวรอดได้

ค่าเงินบาทที่แข็งค่าวันนี้กำลังลามมาจากสงครามการค้าที่ลามมาสู่สงครามค่าเงิน เพราะหลายประเทศในภูมิภาค ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มมีการลดดอกเบี้ย เริ่มส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยเพื่อพยายามทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า ดังนั้น ธปท.จะทำอย่างไรในบริบทที่ค่าเงินบาทนั้นแข็งค่ามากที่สุดในภูมิภาค จะป้องกันไม่ให้ค่าเงินบาท แข็งค่ารุนแรงจนกระทบการส่งออก และทำให้เศรษฐกิจชะลอได้แค่ไหน

ดร.อมรเทพกล่าวว่า การส่งออกไม่ใช่เรื่องไกลตัว ถ้าการส่งออกชะลอ จะกระทบการลงทุนในประเทศ นายจ้างจะไม่จ้างงานลูกจ้าง ไม่ขยายชั่วโมงการทำงาน ลูกจ้างไม่มีโอที จุดนี้จะทำให้รายได้นอกภาคเกษตร หรือรายได้ของคนเติบโตช้าลง ทำให้กำลังซื้อด้อยลง ส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ดังนั้น ทำอย่างไรค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค แต่ก่อนจะไปถึงขั้นลดดอกเบี้ย ธปท.อาจผ่อนคลายมาตรการบางอย่างเพื่อเอื้อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น ทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีขึ้น อาจจะทบทวนมาตรการ LTV หรือมาตรการปล่อยสินเชื่อให้ภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

“การลดดอกเบี้ยคงหนีไม่พ้น เพราะเราเห็นเงินร้อนเข้าตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างมาก อาจต้องจับตาว่าแบงก์ชาติจะทำอย่างไรเพื่อสกัดเงินร้อน ที่จะเข้ามากระทบไม่ใช่แค่ภาคการส่งออกลามเข้าสู่เศรษฐกิจภายในประเทศของเรา” ดร.อมรเทพ กล่าวในที่สุด
สำหรับค่าเงินบาท สำนักวิจัยฯคาดเงินบาทจะแข็งค่าได้อีกเล็กน้อยที่ระดับ 30.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีนี้ ก่อนที่จะมีโอกาสอ่อนค่าไปแตะระดับ 32.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในปลายปีหน้า ด้วยปัจจัยสำคัญคือความชัดเจนในการหยุดลดดอกเบี้ยของสหรัฐในปีหน้าขณะที่ดอกเบี้ยไทยได้ปรับลดลงตามดอกเบี้ยในตลาดโลกในที่สุด

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

วิจัยกรุงศรีคาดกนง.คงดอกเบี้ย

ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ ผู้บริหารสายงานวิจัยและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า วิจัยกรุงศรีปรับลดประมาณการ GDP ปีนี้ลงเหลือ 3.2% จากเดิมคาด 3.8% ซึ่งเป็นผลจากเศรษฐกิจในไตรมาสแรกที่ผ่านมาชะลอตัวกว่าคาด กอปรกับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่ชัดเจนและรุนแรงขึ้นตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ขณะที่มูลค่าการส่งออกของไทยในปีนี้คาดว่าจะกลับมาหดตัว 1.5%จากเดิมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.5% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 40.2 ล้านคน ปรับลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 41.1 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี หากปัจจัยภายในประเทศปรับไปในทิศทางเป็นบวกมากขึ้น โดยเฉพาะการมีรัฐบาลชุดใหม่ที่สร้างความชัดเจนด้านนโยบายเศรษฐกิจและโครงการสำคัญๆ เช่น การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการเจรจาการค้ากับต่างประเทศ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ และช่วยหนุนให้กิจกรรมเศรษฐกิจของประเทศเดินหน้าได้ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรีคาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายของทางการที่ 1-4% ในช่วงที่เหลือของปี โดยมีปัจจัยบวกจากการบริโภคภาคเอกชนที่ยังเติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับมาตรการพยุงเศรษฐกิจกลางปีวงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท วิจัยกรุงศรีจึงยังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2562 เฉลี่ยอยู่ที่ 1.1%

“ด้านแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย แม้ว่าเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าคาด และอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำ แต่คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในปีนี้ เนื่องจากยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน อาทิ การก่อหนี้ของภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการก่อหนี้ของกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่อาจประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าที่ควร วิจัยกรุงศรีจึงคาดว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.75% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ ” ดร.สมประวิณกล่าว

บล.ไทยพาณิย์จับตาเฟดลดอัตราดอกเบี้ย

บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัดมองว่า การที่สหรัฐฯยังไม่ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่าอีก3 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯไม่มีความจำเป็นในการลดดอกเบี้ยในช่วงนี้ ทั้งนี้ แต่ประเมินว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนที่ยังคงดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปียังคงมีโอกาสสร้างความผันผวนต่อตลาดการเงินได้ทุกเมื่อ ดังที่เคยเกิดขึ้นแล้วในช่วงครึ่งปีแรก รวมถึง มีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวอยู่แล้ว เนื่องจากอยู่ในช่วงปลายวัฏจักรขาขึ้น (Late cycle)

นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด กล่าวว่า การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนจะดำเนินต่อไปในครึ่งหลังของปี และยังคงมีความเสี่ยงที่จะเป็นตัวฉุดรั้งทั้งจิตวิทยาตลาดการเงิน และภาวะเศรษฐกิจโลก นอกเหนือจากปัจจัยกดดันที่เกิดขึ้นจากการที่เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงปลายวัฎจักรขาขึ้น (late cycle) อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสงครามการค้าอาจจะส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) จึงเชื่อได้ว่าสหรัฐฯกับจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าบางอย่างร่วมกันได้บ้างในอนาคต

โดยทั้งสองฝ่ายน่าจะลดภาษีนำเข้าในส่วนของสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์ ที่เพิ่งประกาศขึ้นภาษีเป็น 25% ไปในเดือน พฤษภาคมลงในอีก 3-6 เดือน ข้างหน้า แต่หากสหรัฐฯกลับมาประกาศเพิ่มภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่าอีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีนมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงอีก15-20% ในขณะที่ตลาดหุ้นไทยจะแข็งแกร่งกว่าโดยมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลง 7-10% จากระดับปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน ตลาดการเงินโลกกำลังติดตามผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ในช่วงเดือนกรกฎาคมอย่างใกล้ชิด โดยคาดว่าเฟดมีโอกาสลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25%แต่เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะขยายตัวในระดับปัจจุบันต่อไปทำให้คาดว่าไม่มีความจำเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ต้องลดอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประชุม G-20 ที่สหรัฐฯยังไม่ปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนอีก 3 แสนล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม

ในอนาคตหากสหรัฐฯตัดสินใจขึ้นภาษีสินค้านำเข้าคาดว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้เฟดจำเป็นต้องลดอัตราดอกเบี้ย Fed funds rate ลง 0.50% เพราะเชื่อว่าเฟดจะลดอัตราดอกเบี้ยก็ต่อเมื่อสงครามการค้าทวีความรุนแรงมากขึ้น

ด้านเศรษฐกิจไทย พบว่า เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างชัดเจนในไตรมาสแรก โดยเฉพาะในภาคต่างประเทศ ซึ่งการส่งออกสินค้าและบริการที่แท้จริงหดตัวลง 4.9%จากระยะเดียวกันของปีก่อนและมีส่วนสำคัญที่ทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP growth contributor) ติดลบค่อนข้างมาก (-3.6 percentage point) ซึ่งเป็นตัวฉุดรั้ง GDP ใน ไตรมาสแรกของปีนี้ที่ขยายตัว 2.8% ดังนั้น ปัจจัยที่จะเป็นตัวผลักดันเศรษฐกิจในปี 2562 จึงจำเป็นต้องพึ่งการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศ รวมถึง การท่องเที่ยวเป็นหลัก โดย SCBS คาดการณ์ GDP ปี 2562 ไว้ที่ 3.3%