ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ยกมือบังแดดจนแผดเผา ‘แหวน-นาฬิกา’ บิ๊กป้อม มันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน!!” และ “ซาอุฯ ทยอยปล่อยเจ้าชาย-นักการเมืองเอี่ยวทุจริต หลังยอมจ่ายชดเชย”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์: “ยกมือบังแดดจนแผดเผา ‘แหวน-นาฬิกา’ บิ๊กป้อม มันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน!!” และ “ซาอุฯ ทยอยปล่อยเจ้าชาย-นักการเมืองเอี่ยวทุจริต หลังยอมจ่ายชดเชย”

9 ธันวาคม 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 2-8 ธ.ค. 2560

  • ยกมือบังแดดจนแผดเผา “แหวน-นาฬิกา” บิ๊กป้อม มันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน!!
  • สรรพากรหนุนคนไทยมีลูก “เพิ่มลูก-เพิ่มลด” แถมฝากท้องลดภาษีได้
  • เล็งออกหมายจับ “จักรภพ” เอี่ยวคลังแสงคลองบางน้ำเปรี้ยว
  • “ธนารักษ์” เตือน “โรงกษาปณ์ฝรั่งเศส” แก้ไขข้อมูลเรื่องเหรียญรัชกาลที่ 10
  • ซาอุฯ ทยอยปล่อยเจ้าชาย-นักการเมืองเอี่ยวทุจริต หลังยอมจ่ายชดเชย
  • ยกมือบังแดดจนแผดเผา “แหวน-นาฬิกา” บิ๊กป้อม มันช่างเจิดจ้าเสียเหลือเกิน!!

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์บีบีซีไทย (http://bbc.in/2AXBhHb)

    หากพูดถึงความโดดเด่นของรัฐมนตรีแห่ง ครม.ประยุทธ์ 5 วินาทีคงไม่มีใครสามารถปฏิเสธถึงความร้อนแรงของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หรือ บิ๊กป้อม รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม “พี่ใหญ่” ของน้องๆ ที่ขึ้นแท่นข่าวร้อนโลกออนไลน์ถึงสองอาทิตย์ติดต่อกัน ไม่ว่าจะในอาทิตย์ที่แล้วที่บิ๊กป้อมได้กล่าวคำพูดกระทบกระเทือนใจอันเกี่ยวเนื่องกับกรณีการเสียชีวิตของ นตท.ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือ น้องเมย จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วและทำให้ต้องออกมาขอโทษภายหลัง มาในสัปดาห์นี้ก็ต้องตกเป็นข่าวอีกครั้ง เพียงเพราะที่ข้อมือข้างที่ยกขึ้นมาบังแดดระหว่างรอถ่ายรูปคู่กับเหล่าคณะรัฐมนตรีนั้นสวมใส่ Richard Mille นาฬิกาสัญชาติสวิสที่อายุแบรนด์ยังน้อยแต่มาแรงทั้งความนิยมและราคา โดยมีราคาตั้งแต่เรือนล้านไปจนเรือนหลายสิบล้านบาท ทั้งที่นิ้วนางก็ยังสวมใส่แหวนเพชรเม็ดโตอีกด้วย

    ความแรงของเครื่องประดับทำให้ความร้อนโถมทับไปที่ตัวผู้สวมใส่ บัญชีทรัพย์สินมูลค่ารวมเกือบ 90 ล้านบาทที่ พล.อ. ประวิตร ยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อปี พ.ศ. 2557 ถูกขุดขึ้นมาเผยแพร่อีกครั้งโดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าในรายการทรัพย์สินเหล่านั้นไม่ปรากฏว่ามีทั้งนาฬิกาหรูคู่มือและแหวนเพชรคู่นิ้วดังกล่าวอยู่ ทำให้ พล.อ. ประวิตร ต้องตกเป็นเป้าให้สังคมทวงถามเรื่องความโปร่งใสไม่ต่างจากครั้งเหตุการณ์ “กันยาฯ ฮาวาย” เมื่อปี พ.ศ. 2559 ที่ผ่านมา

    ที่มาภาพ: หน้าเพจเฟซบุ๊กฐานเศรษฐกิจ (http://bit.ly/2AD8ncX)

    เว็บไซต์ข่าวสดรายงานว่า พล.อ. ประวิตร ให้สัมภาษณ์ถึงการสวมใส่นาฬิกาหรูและไม่ได้มีการแจ้งต่อ ป.ป.ช. ว่า “ไม่ต้องชี้แจง ผมพูดไปแล้ว เดี๋ยวผมจะชี้แจงให้ ป.ป.ช. ไม่เป็นไร ผมไม่ต้องตอบสื่อมวลชน ป.ป.ช. ถามมาก็ตอบไป” และเมื่อถามย้ำว่าแสดงว่ามีหลักฐานพร้อมใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวยอมรับว่า ใช่ๆ ส่วนเมื่อถามว่านาฬิกาที่ใส่ใช่ยี่ห้อริชาร์ด มิลล์ อย่างที่วิพากวิจารณ์กันหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ ขอให้ถามเรื่องอื่น”

    และเมื่อถามว่ามั่นใจในตัวเองใช่หรือไม่ว่าตั้งแต่เข้าทำงานมาไม่มีเรื่องอะไรที่ผิด พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า “ผมทำงานมา ผมไม่เคยมีเรื่องทุจริตอะไร ไม่เคยมี ไม่มี”

    ล่าสุด เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า คณะกรรม ป.ป.ช. ได้เตรียมส่งหนังสือขอความร่วมมือจาก พล.อ. ประวิตร ให้เข้าชี้แจงกรณีครอบครองนาฬิกาหรูและแหวนเพชรดังกล่าวแล้ว

    สรรพากรหนุนคนไทยมีลูก “เพิ่มลูก-เพิ่มลด” แถมฝากท้องลดภาษีได้

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=83288)

    วันที่ 6 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรอยู่ระหว่างการแก้ไขกฎหมาย เพื่อเพิ่มค่าลดหย่อนสำหรับคนที่มีบุตรให้มากขึ้น สนับสนุนให้คนไทยมีบุตรเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันสังคมไทยนิยมมีลูกน้อยลง ส่งผลให้ประชากรวัยเด็กลดลง และทำให้ไทยกำลังเข้าสู่สังคมคนชรา ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ จะกลายเป็นปัญหาทางสังคม คนวัยแรงงานจำนวนน้อย ต้องแบกรับภาระดูแลคนสูงอายุจำนวนมาก

    นายประสงค์กล่าวว่า การแก้ไขประมวลรัษฎากร ในเรื่องค่าลดหย่อนบุตร น่าจะเริ่มใช้ในปีภาษี 2561 เป็นต้นไป มีผลยื่นแบบแสดงรายการภาษีเดือนมกราคม-มีนาคม 2562 ขณะนี้ได้ส่งตัวร่างให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พิจารณาแล้ว ซึ่งตามกฎหมายกรมสรรพากรในปัจจุบัน ให้ค่าลดหย่อนบุตร สำหรับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายหรือบุตรตามสายเลือดได้ 3 หมื่นบาท/คน /ปี โดยไม่จำกัดจำนวนบุตร และทั้งสามีและภรรยา สามารถนำค่าลดหย่อนนี้ไปหักลดหย่อนภาษีได้คนละ 3 หมื่นบาท (ไม่ต้องหารครึ่งระหว่างสามีและภรรยา) จากเดิมก่อนหน้านี้กฎหมายเคยกำหนดว่า การหักลดหย่อนบุตรได้ไม่เกิน 3 คน

    “การแก้ไขกฎหมาย ในเรื่องการลดหย่อนบุตรดังกล่าว ที่จะเริ่มใช้ในปีหน้านั้น จะเป็นอีกครั้งที่กรมสรรพากร เพิ่มแรงจูงใจให้คนมีบุตรมากกว่า 1 คน กล่าวคือ สำหรับบุตรคนแรก จะได้รับการลดหย่อนตามเดิมคือ 3 หมื่นบาท/ปี แต่สำหรับบุตรตั้งแต่คนที่สองเป็นต้นไป จะสามารถหักลดหย่อนได้คนละ 6 หมื่นบาท/ปี เมื่อตั้งครรภ์แล้ว และไปฝากท้องกับโรงพยาบาล กรมก็จะให้ค่าลดหย่อนในกรณีฝากครรภ์ อีก 6 หมื่นบาท/ปี” นายประสงค์กล่าว

    นายประสงค์กล่าวว่า การใช้มาตรการภาษีเพื่อจูงใจให้คนอยากมีลูกมากขึ้นนั้น เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น ที่จะช่วยเพิ่มจำนวนประชากรในประเทศ แต่จำเป็นต้องมีมาตรการอื่นๆ เพื่อรองรับ เช่น เมื่อจำนวนคนเกิดน้อยลง มหาวิทยาลัย และโรงเรียนต้องปรับตัวอย่างไร เช่น จะต้องปรับหลักสูตรอย่างไร เพื่อรองรับคนในอนาคต หรือด้านการจ้างงาน เมื่อกำลังคนน้อยลง จะต้องรับมืออย่างไร เป็นต้น

    “การเพิ่มค่าลดหย่อนบุตรของกรมสรรพากร เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความพยายามแก้ไขปัญหาจำนวนประชากรของประเทศที่ปรับลดลง เป็นการส่งสัญญาณให้สังคมตระหนักว่า เรื่องดังกล่าวกำลังกลายเป็นปัญหาในสังคมและจำเป็นต้องแก้ไข ส่วนเรื่องภาษีที่ลดลงจากมาตรการดังกล่าวนั้น ยังคำนวณไม่ได้ว่าจะมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับว่ามาตรการดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่” นายประสงค์กล่าว

    เล็งออกหมายจับ “จักรภพ” เอี่ยวคลังแสงคลองบางน้ำเปรี้ยว

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์คมชัดลึก (https://goo.gl/gnyXDT)

    วันที่ 4 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า รายงานข่าวจากชุดสืบสวนคลี่คลายคดีตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากhttps://goo.gl/xdPKXg ที่ จ.ฉะเชิงเทรา ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเบื้องต้นพบความเชื่อมโยงว่าเกี่ยวข้องกับอาวุธที่ใช้ก่อเหตุวุ่นวายทางการเมืองในปี พ.ศ. 2557 ระบุว่า เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ที่ผ่านมา พ.อ. บุรินทร์ ทองประไพ หัวหน้าส่วนปฏิบัติการฝ่ายกฎหมาย คณะรักษาความสงบและแห่งชาติ (คสช.) เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษกับพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อร้องทุกข์ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

    ประกอบด้วย 1. นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร 2. นายชัยวัฒน์ ผลโพธิ์ หรือ เปี๊ยก กาละแม 3. นายสมเจตน์ หรือ สน คงวัฒนะ 4. อดีตนายทหารใหญ่ กองทัพภาคที่ 3 และ 5. นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มนปช.หรือคนเสื้อแดง ในฐานความผิดร่วมกันมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่ใช้เฉพาะในการสงครามที่นายทะเบียนไม่สามารถออกให้ได้ไว้ในครอบครอง และความผิดฐานอั้งยี่ ซ่องโจร สืบเนื่องจากการตรวจพบอาวุธสงครามจำนวนมากในพื้นที่ จ.ฉะเชิงเทรา สืบสวนพบว่าเป็นอาวุธที่บุคคลเหล่านี้ส่งมอบให้กับผู้ก่อเหตุวุ่นวายในช่วงปี พ.ศ. 2557 และมีความเกี่ยวพันกับอาวุธเหล่านี้

    อย่างไรก็ตามขณะนี้พนักงานสอบสวน บก.ป. อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขอศาลอนุมัติหมายจับภายในวันที่ 6 ธันวาคม นี้

    ทั้งนี้ในส่วนของ นายวัฒนา ทรัพย์วิเชียร นั้น มีรายงานว่าได้เข้ามอบตัวกับทางทหารตั้งแต่เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม ที่ผ่านมา

    “ธนารักษ์” เตือน “โรงกษาปณ์ฝรั่งเศส” แก้ไขข้อมูลเรื่องเหรียญรัชกาลที่ 10

    วันที่ 7 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวในโซเชียล เผยแพร่ภาพการผลิตเหรียญรัชกาลที่ 10 ที่โรงกษาปณ์ฝรั่งเศสว่า  ได้ทำหนังสือแจ้งไปถึงโรงกษาปณ์รัฐบาลฝรั่งเศส La Monnaie de Paris ซึ่งเป็นคู่สัญญาในการผลิตเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนให้กับไทย และตัวแทนโรงกษาปณ์ดังกล่าว ที่อยู่ในประเทศไทย ให้ดำเนินการแก้ไขข้อมูลดังกล่าวให้ถูกต้องทันที  เนื่องจากข่าวที่เกิดขึ้นบิดเบือนความเป็นจริง โดยมีการตัดต่อภาพนำกระบวนการผลิตเหรียญรัชกาลที่ 9 มาทำการตัดต่อเป็นการผลิตเหรียญรัชกาลที่ 10 ทำให้เกิดการเข้าใจคลาดเคลื่อน

    ทั้งที่ตามความเป็นจริงแล้วการผลิตเหรียญรัชกาลที่ 10 นั้น จะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ครม.ชุดใหม่ก่อน ซึ่งกำลังเตรียมเสนอ ครม.  หากพิจารณาเห็นชอบ ก็ต้องรอร่างกฤษฏีกาประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนที่จะทำการผลิตเหรียญอย่างเป็นทางการได้ ดังนั้น ขอเตือนผู้ใช้โซเชียลอย่าเผยแพร่ภาพการผลิตเหรียญอาจผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ โทษฐานเผยแพร่ความลับราชการ จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 60,000 บาท

    “ปกติการผลิตเหรียญกษาปณ์เพื่อใช้ในการหมุนเวียนจะผลิตล็อตใหญ่ ซึ่งมีสัญญาการผลิต 2 ปี, 2 ปีครึ่ง หรือ 3 ปีบ้างขึ้นกับปริมาณเหรียญกษาปณ์ และสัญญาที่จัดทำขึ้นในแต่ละครั้ง  โดยการจ้างผลิตเหรียญกษาปณ์ครั้งนี้ กรมฯได้ว่าจ้างเมื่อต้นปี 60 ครอบคลุมการผลิตเหรียญรัชกาลที่ 10 แต่ในปัจจุบันเหรียญรัชกาลที่ 9 ยังรอการส่งมอบอยู่ และผลิตให้กรมฯยังไม่แล้วเสร็จ จากที่ต้องผลิตและส่งมอบทั้งหมด 12 งวด   ซึ่งตามสัญญาแล้วบริษัทที่รับจ้างผลิตเหรียญไม่ควรที่จะเปิดเผยข้อมูลที่เป็นความลับของลูกค้า และเหตุการณ์นี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนถือว่าผิดธรรมเนียมปฏิติ จึงให้บริษัทเร่งแก้ไขและหยุดเผยแพร่ภาพที่ออกมาก่อนหน้านี้หากไม่ดำเนินการจะต้องมีมาตรการต่อไปและใช้เป็นข้อมูลในการบอกเลิกสัญญา

    ซาอุฯ ทยอยปล่อยเจ้าชาย-นักการเมืองเอี่ยวทุจริต หลังยอมจ่ายชดเชย

    วันที่ 6 ธ.ค. 2560 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า รัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ทยอยปล่อยตัวสมาชิกราชวงศ์ นักการเมืองเเละนักธุรกิจที่ถูกควบคุมตัว ฐานพัวพันคอร์รัปชัน เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา หลังกลุ่มผู้ต้องสงสัยยินยอมทำตาม “เงื่อนไขประนีประนอม” จ่ายเงินชดเชยซึ่งคาดว่าจะมีมูลค่ารวมมากกว่า 3 ล้านล้านบาท

    สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า ชีค ซาอุด อัล-โมเจบ อัยการสูงสุดของซาอุดีอาระเบีย เปิดเผยว่า มีการปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยพัวพันคอร์รัปชัน ที่มีทั้งอดีตรัฐมนตรี นักธุรกิจเเละสมาชิกราชวงศ์ จากเดิมทั้งหมด 320 คน ซึ่งถูกควบคุมตัวตั้งเเต่เดือนที่เเล้ว ซึ่งตอนนี้คงเหลือ 159 คนที่พนักงานสอบสวนยังคงควบคุมตัวไว้เพื่อสอบปากคำต่อไป

    รายงานระบุว่า ผู้ที่ได้รับการปล่อยตัวต้องข้อตกลงยอมความ ซึ่งต้องชำระ “ค่าธรรมเนียม” โดยมอบทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบเข้าสู่ท้องพระคลัง โดยอัยการสูงสุด ประเมินมูลค่าเบื้องต้นว่าอาจสูงกว่า 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.26 ล้านล้านบาท)

    ก่อนหน้านี้ เจ้าชายมีเตบ บิน อับดุลเลาะห์ (Prince Miteb bin Abdullah) ซึ่งเป็นอดีตตัวเต็งมกุฎราชกุมารในการสืบทอดราชบัลลังก์ ได้รับการปล่อยตัวแล้วหลังจากที่ตกลงภายใต้เงื่อนไขยอมจ่ายเงินจำนวนมากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากกว่า 32,000 ล้านบาท หลังจากถูกควบคุมตัวจากปฏิการกวาดล้างทุจริตคอร์รัปชัน

    สำหรับคณะกรรมการปราบปรามการทุจริต ที่จัดตั้งโดย “มกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน” ได้เดินหน้าแผนปฏิรูป ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกาแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคอร์รัปชัน และมีการควบคุมตัวบุคคลสำคัญมาสอบสวนหลายร้อยคน ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าการปราบปรามทุจริตดังกล่าว เป็นความพยายามรวบอำนาจของมกุฎราชกุมารโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน

    อย่างไรก็ตาม เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พระราชทานสัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทม์ส ต่อกรณีดังกล่าวว่าไม่ใช่ “รวบอำนาจ” ของพระองค์ เป็นเพียงพระราชประสงค์ในการปฏิรูปและปราบปรามการคอร์รัปชันเท่านั้น