ThaiPublica > เกาะกระแส > ส่งออกพ.ค. – 5.8% ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 7 หดตัวมากสุดรอบ 34 เดือน จับตาสงครามการค้าสร้างความกังวลเพิ่มเติม

ส่งออกพ.ค. – 5.8% ติดลบต่อเนื่องเดือนที่ 7 หดตัวมากสุดรอบ 34 เดือน จับตาสงครามการค้าสร้างความกังวลเพิ่มเติม

21 มิถุนายน 2019


EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์เรื่องมูลค่าการส่งออกไทยเดือน พ.ค. 2019 ว่า หดตัวที่ -5.8% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน(YOY) ต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่หดตัวที่ -2.6% YOY ซึ่งถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 และเป็นการหดตัวมากที่สุดในรอบ 34 เดือน ทั้งนี้ในช่วง 5 เดือนแรกของปี มูลค่าการส่งออกยังคงหดตัวที่ -4.5% YOY (ไม่รวมการส่งกลับอาวุธไปยังสหรัฐฯ ในเดือนกุมภาพันธ์)

ด้านมิติการส่งออกรายสินค้า พบว่าสินค้าส่งออกสำคัญที่มีการหดตัวได้แก่ สินค้าที่เป็นส่วนหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานของการผลิตสินค้าส่งออกของจีนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ เช่น คอมพิวเตอร์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-1.8% YOY) ยางพารา (-9.9% YOY) และแผงวงจรไฟฟ้า (-16.4% YOY) เคมีภัณฑ์และพลาสติก (-16.5% YOY) นอกจากนี้ ยังมีสินค้าส่งออกประเภทอื่นที่มีการหดตัว เช่น รถยนต์-อุปกรณ์และส่วนประกอบ (-17.2% YOY) ข้าว (-13.3% YOY) และน้ำตาลทราย (-14.4% YOY) ทั้งนี้หากหักทองคำ มูลค่าการส่งออกเดือน พ.ค. จะหดตัวที่ -4.8% YOY

ด้านมิติการส่งออกรายตลาด พบว่าการส่งออกในหลายตลาดสำคัญมีการหดตัว เช่น จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง อาเซียน-5 และสหภาพยุโรป (15) ที่มีการหดตัวที่ -7.2% YOY -4.4% YOY -3.2% YOY -14.3% YOY และ -8.6% YOY ตามลำดับ ขณะที่การส่งออกในตลาดสำคัญบางประเทศยังคงขยายตัวได้ ได้แก่ สหรัฐฯ อินเดีย และเวียดนาม ที่ขยายตัวที่ 7.8% YOY 4.4% YOY และ 0.8% YOY ตามลำดับ

มูลค่าการนำเข้าหดตัวเล็กน้อยที่ -0.6% YOY โดยเป็นการหดตัวในเกือบทุกหมวดสินค้า เช่น สินค้าทุนหดตัว -6.1% YOY สินค้าวัตถุดิบหดตัว -5.0% YOY และสินค้าอุปโภคบริโภคที่หดตัว -2.2% YOY ขณะที่ มูลค่าการนำเข้าสินค้าประเภทเชื้อเพลิงมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น 22.8% YOY

สงครามการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้ง ส่งผลต่อความกังวลของผู้ประกอบการที่เพิ่มขึ้น โดยในช่วงที่สหรัฐฯ และจีนมีการสงบศึกชั่วคราว (ธ.ค. 2018 – เม.ย. 2019) นักลงทุนและสถาบันต่าง ๆ ค่อนข้างมีความเชื่อมั่นว่าการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะประสบผลสำเร็จ อย่างไรก็ดี เมื่อต้นเดือน พ.ค. สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีไม่พอใจต่อการเจรจาร่วมกับจีน และตามมาด้วยการปรับเพิ่มอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเพิ่มเติมจากเดิม 10% เป็น 25% ในส่วนของสินค้ามูลค่า 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อวันที่ 10 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการทำให้ตลาดกลับมามีความกังวลอีกครั้ง สะท้อนจากดัชนีความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ( US Trade Policy Uncertainty Index) ในเดือน พ.ค. ที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 234.7 จาก 128.9 ในเดือน เม.ย. นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมันของภาคธุรกิจเอเชียที่สำรวจโดย Thomson Reuters/INSEAD ซึ่งจัดทำขึ้นระหว่าง 31 พ.ค. – 14 มิ.ย. โดยพบว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจในไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 ปรับตัวลดลงมาที่ระดับ 53 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 10 ปี หรือนับตั้งแต่วิกฤติการเงินในปี 2008 (รูปที่ 1) ทั้งนี้ ความกังวลของผู้ประกอบการและความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น มีแนวโน้มส่งผลทางลบต่อทิศทางภาวะการค้าและการลงทุนของโลกในระยะต่อไป

มูลค่าการส่งออกปี 2019 มีโอกาสต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.6% โดยจากตัวเลขการส่งออกในเดือน พ.ค. ของไทยและหลายผู้ส่งออกสำคัญในภูมิภาคที่ยังคงติดลบต่อเนื่องและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว รวมถึงความไม่แน่นอนและความกังวลที่เพิ่มขึ้นจากภาวะสงครามการค้าที่กลับมาปะทุอีกครั้ง จึงทำให้คาดว่าภาวะการค้าและการลงทุนของโลกมีทิศทางชะลอลงมากกว่าที่เคยคาดการณ์ ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวจะส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผลกระทบทางตรงก็ผ่านการส่งออกสินค้าไปยังจีนที่ลดลง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานการผลิตสินค้าจีนที่ส่งออกไปสหรัฐฯ ขณะที่ ผลกระทบทางอ้อมเกิดจากการที่หลายประเทศที่มีการพึ่งพาจีนมีภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอลง จึงทำให้การส่งออกของไทยไปประเทศดังกล่าวมีการปรับตัวลดลงเช่นกัน ซึ่งจากการศึกษาของอีไอซีพบว่า การส่งออกของไทยไปยังตลาดที่พึ่งพาจีนสูงกว่า มักจะมีการชะลอหรือหดตัวมากกว่าการส่งออกไปยังตลาดที่พึ่งพาจีนต่ำกว่าอย่างชัดเจน (รูปที่ 2) ดังนั้นจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงมีความเป็นไปได้สูงที่อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกในปี 2019 อาจต่ำกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 0.6% โดยอาจมีโอกาสหดตัวได้ในปีนี้ ซึ่งตอนนี้ อีไอซีกำลังทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด และจะมีการเผยแพร่ประมาณการเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือน ก.ค. นี้

ปัจจัยสำคัญที่น่าจับตาในระยะต่อไป โดยปัจจัยที่น่าติดตามข้อแรกคือ สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่อาจเพิ่มความรุนแรงได้อีก กล่าวคือในช่วงเดือน ก.ค. ที่จะถึงนี้ สหรัฐฯ อาจมีการพิจารณาเพิ่มภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนมูลค่าอีก 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มเติม และจีนเองก็อาจจะมีมาตรการตอบโต้กลับเช่นกัน โดยจะต้องดูท่าทีของผู้นำทั้งสองประเทศในช่วงปลายเดือน มิ.ย. นี้ ที่จะมีการประชุม G-20 ว่าจะออกมาในรูปแบบใด นอกจากนี้ ยังมีประเด็นเกี่ยวกับการปรับเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ ที่ในเบื้องต้นมีแผนจะเก็บจากทุกประเทศในอัตรา 25% ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาข้อตกลงกับสหภาพยุโรปและญี่ปุ่นโดยจะได้ข้อสรุปภายในเดือนพฤศจิกายนนี้

รายงานโดย : พนันดร อรุณีนิรมาน, จิรายุ โพธิราช