ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 11-17 พ.ค. 2562
ประกาศรายชื่อ 250 ส.ว. ‘แม่น้ำ 5 สาย’ ของ คสช.นั่งเกินครึ่ง
วันที่ 14 พ.ค. 2560 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ทั้ง 250 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มาจาก “แม่น้ำ 5 สาย” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คือ คสช., สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), คณะรัฐมนตรี (ครม.), สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) รวมทั้งสิ้น 134 คน (ไม่มีจาก กรธ.) โดยมาจาก คสช. 4 คน, สนช. 75 คน, ครม. 13 คน, สปช. 33 คน, ผู้ที่อยู่ทั้งใน คสช.และ สนช. 7 คน และผู้ที่อยู่ทั้งใน คสช.และ ครม. 2 คน
ในบรรดารายชื่อ ส.ว.ทั้งหมดนั้น มีรายชื่อที่ถือว่าเป็นคนใกล้ชิดกับคณะรัฐบาล คสช.อยู่ด้วย ได้แก่ พล.อ. ปรีชา จันทร์โอชา น้องชาย พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา, พล.ร.อ. ศิษฐวัชร วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ, พล.อ.ต. เฉลิมชัย เครืองาม น้องชาย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และนายสม จาตุศรีพิทักษ์ พี่ชาย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี
อนึ่ง จากการรายงานของเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ภายหลังมีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เรียกประชุมรัฐสภา ครั้งแรก ในวันที่ 22 พ.ค. 2562 ซึ่งอยู่ในกำหนด 15 วัน นับแต่วันประกาศรับรองผล ส.ส.ทราบว่าทางสภาผู้แทนราษฎรจะจัดพิธี เสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้ มีการเตรียมการไว้วันศุกร์ที่ 24 พ.ค. 2562 เวลา 15.00 น. เนื่องจากเกี่ยวพันกับสถานที่เมื่อพระที่นั่งอนันตสมาคมที่ใช้ทำพิธีเปิดประชุมสภาฯ ปิดปรับปรุง จึงต้องมีการเตรียมสถานที่ใหม่ซึ่งทางสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้กำหนด
เมื่อถามว่า สามารถเลือกประธานสภาหลังจากพิธีเปิดประชุมสภาได้หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า เนื่องจากพิธีอยู่ในช่วงบ่าย และจะใช้สถานที่ที่อื่นซึ่งใช้สำหรับเสด็จพระราชดำเนินเท่านั้น ดังนั้น การเคลื่อนย้าย ส.ส.กลับไปประชุมคงยาก เร็วสุดคือวันรุ่งขึ้นไม่ควรมองว่าเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ เมื่อพิธีเปิดประชุมสภามีขึ้นในวันที่ 24 พ.ค. และ ส.ส.มากันทั้งหมดแล้วจะให้เขากลับบ้านไปทำไม สามารถประชุมได้ในวันรุ่งขึ้นจะเหมาะสมกว่า และควรจะเลือกทั้งประธาน รองประธานสภา รวมถึง เลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา เมื่อได้แล้วจะได้กราบบังคมทูลแต่งตั้งประธานทั้ง 2 สภาในคราวเดียวกันและกลับลงมาพร้อมกัน ไม่เช่นนั้นจะลักลั่นกันอยู่ เมื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งประธานสภาแล้ว จากนั้นจะเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ส่วนการโหวตนายกฯ น่าจะสามารถทำได้ภายในเดือน พ.ค.
จำคุก อดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา คดีเงินทอนวัด
ที่มาภาพ: เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ (http://bit.ly/2W9l8ZR)
วันที่ 16 พ.ค. 2562 เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า จากกรณีที่ศาลอาญาคดีทุจริต และประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุก 6 ปี นายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ จำคุก 3 ปี นายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรือ อดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสามพระยา ในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหาย แก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานฯ ร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ 2542
กรณีพวกจำเลยร่วมกันทุจริต เงินทอนวัด ในส่วนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม เบิกตัวจำเลยทั้งสอง จากเรือนจำ พิเศษกรุงเทพฯ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วเห็นว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องจริง พิพากษา จำคุกจำเลยที่ 1 ฐานฟอกเงิน กระทงละ 3 ปี 2 กระทง รวมจำคุก 6 ปี และให้จำคุกจำเลยที่ 2 ฐานฟอกเงิน กระทงละ 1 ปี 6 เดือน 2 กระทง รวมจำคุก 3 ปี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายความของพระพรหมดิลกได้เปิดเผยสั้นๆ ว่า ขณะนี้กำลังเตรียมคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อจะยื่นขอประกันตัวสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งจะได้ประกันหรือไม่ก็อยู่ที่ดุลพินิจของศาล อย่างไรก็ตามหลังจากนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะได้คุมตัว อดีตพระพรหมดิลก และ อดีตพระอรรถกิจโสภณ ไปคุมขังยังเรือนจำตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
หักเงินเดือนราชการใช้หนี้ กยศ.ได้ผล ได้คืนเดือนละกว่า 400 ล้าน
เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า วันที่ 13 พ.ค. 2562 นายชัยณรงค์ กัจฉปานันท์ ผู้จัดการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) กล่าวถึงความก้าวหน้าในการตามหนี้จากผู้กู้ยืมเพื่อการศึกษาที่ผิดนัดชำระหนี้ จนต้องออกมาตรการให้องค์กรนายจ้างทั้งภาครัฐและเอกชน มีหน้าที่หักเงินได้ที่มาจากการจ้างแรงงานของพนักงานและลูกจ้างที่เป็นผู้กู้ยืม กยศ.นำส่งกรมสรรพากร โดยอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา พ.ศ. 2560
ล่าสุด ได้รับความร่วมมือจากกรมบัญชีกลางที่ดูแลระบบจ่ายตรงเงินเดือนข้าราชการส่วนกลางเดือนละ 160,000 คน รวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่รับผิดชอบเงินเดือนของข้าราชการท้องถิ่น ได้ดำเนินการหักเงินเดือนข้าราชการเพื่อนำส่ง กยศ.รวมเป็นเงินเดือนละกว่า 420 ล้านบาท
ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการเริ่มหักเงินเดือนของผู้กู้ยืมเงิน กยศ.ที่ทำงานในรัฐวิสาหกิจและเอกชนรายใหญ่ คาดว่า ตลอดปีนี้ กยศ. จะสามารถจัดเก็บหนี้จากการหักเงินจากบัญชีเงินเดือนได้รวมกว่า 6,000 ล้านบาท
ปิดฉาก The Nation เลิกทำหนังสือพิมพ์กระดาษ ผันสู่เว็บไซต์ข่าวเต็มตัว
เว็บไซต์ PPTVHD36 รายงานว่า หนังสือพิมพ์ The Nation เป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของประเทศไทย ที่ตีพิมพ์มากว่า 47 ปี ได้ตัดสินใจที่จะยุติการพิมพ์แล้ว หลังจากที่กลุ่มผู้บริหารชุดใหม่เข้ามาบริหารเครือเนชั่น โดยจะตีพิมพ์ในฉบับวันที่ 28 มิ.ย. 2562 ที่จะถึงนี้เป็นฉบับสุดท้าย และหลังจากนี้มีการระบุว่าจะมีการเปลี่ยนรูปแบบจากหนังสือพิมพ์กระดาษ มาเป็นเว็บไซต์ข่าวภาษาอังกฤษ และเน้นเผยแพร่ข่าวจากสื่อที่ผลิตในเครือเนชั่น
หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ได้เปิดมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2514 โดยเริ่มต้นใช้ชื่อว่าThe Voice of The Nation หลังเหตุการณ์ 6 ต.ค. 2519 หนังสือพิมพ์ถูกให้งดจำหน่าย ต่อมาทางผู้บริหารได้นำหัวหนังสือ The Nation Review ที่จดเตรียมไว้มาใช้ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อ The Nation ในที่สุด
ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ The Nation ประสบปัญหาขาดทุนมาตลอด แต่ทางผู้บริหารก็พยายามประคับประคองเนื่องจากถือเป็นจุดเริ่มต้นของสื่อในเครือเนชั่น แต่สุดท้ายเมื่อมีการเปลี่ยนผู้บริหาร และต้องต่อสู้กับภาวะขาดทุนจึงตัดสินใจยุติการพิมพ์ในที่สุด
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแพลตฟอร์มครั้งนี้ ยังไม่ได้ระบุว่าหากผู้ใดไม่ประสงค์จะทำงานต่อจะได้รับค่าชดเชยหรือไม่ ซึ่งที่ผ่่านมามีการตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อหนังสือพิมพ์ปิดตัวและเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นเว็บไซต์ เช่นหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ก็มีการจ่ายค่าชดเชยในกรณีที่มีการเลิกจ้าง
สภาไต้หวันผ่านกฎหมายแต่งงานเพศเดียวกัน
เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ไต้หวันได้เป็นชาติแรกในเอเชียที่ออกกฎหมายรองรับให้การแต่งงานระหว่างคู่รักเพศเดียวกันเป็นสิ่งถูกกฎหมาย หลังจากรัฐสภาผ่านกฎหมาย “คู่ชีวิต” ในวันที่ 17 พ.ค. 2562 ซึ่งจะเปิดทางให้คู่รักเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนเป็นคู่แต่งงานกันได้กับหน่วยงานของรัฐ
อนึ่ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ไต้หวันได้พิจารณาร่างกฎหมายว่าด้วยการแต่งงานระหว่างคู่รักเพศเดียวกัน 3 ฉบับ แต่ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาครั้งนี้ เสนอโดยรัฐบาลของประธานาธิบดีไช่ อิงเหวิน ถือเป็นฉบับที่มีความก้าวหน้ามากที่สุด และเป็นฉบับเดียวที่เสนอเงื่อนไขให้คู่รักเพศเดียวกันมีสิทธิ์อย่างจำกัดในการรับอุปการะบุตรบุญธรรม
ร่างกฎหมายดังกล่าว ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาไปด้วยคะแนน 66 ต่อ 27 เสียง โดยเสียงสนับสนุนส่วนใหญ่มาจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของ น.ส.ไช่ และจะมีผลบังคับใช้หลังจากผ่านความเห็นชอบให้ประกาศเป็นกฎหมายจากเธอในฐานะประธานาธิบดี
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
