ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ และปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ และปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย

22 ธันวาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 15-21 ธ.ค. 2561

  • พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ
  • คพ. เตือน สถานการณ์ฝุ่น กทม. อันตรายหลายพื้นที่
  • ครม. ไฟเขียว 1-15 ก.พ. 2562 จ่ายผ่านบัตรเดบิตคืนภาษี 5%
  • 21 ม.ค. ปีหน้าขึ้นค่ารถเมล์
  • ปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย

พปชร. จัด “โต๊ะจีน” ระดมทุน 600 ล้าน “คลัง – ททท.” ปฏิเสธ ซื้อโต๊ะ

ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรา (http://bit.ly/2R6SbeD)

เว็บไซต์สำนักข่าวอิศรารายงานว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2561 พรรคพลังประชารัฐ จัดงานระดมทุนโต๊ะจีน 200 โต๊ะ โต๊ะละ 3 ล้านบาท ที่อิมแพคเมืองทองธานี โดยมีนายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล และนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาในฐานะแกนนำพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ร่วมงาน มีนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นหัวหน้าคณะผู้จัดงาน รวมถึงมีนักการเมืองระดับชาติ และนักธุรกิจเข้าร่วมอย่างคับคั่งนั้น

วันที่ 20 ธ.ค. 2561 นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า งานระดุมทุนพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมา โต๊ะจีนราคา 3 ล้านบาท โต๊ะหนึ่งมี 10 ที่นั่ง ตกที่นั่งละ 3 แสนบาท ต้องตรวจสอบว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐ (รัฐมนตรี และข้าราชการ) จำนวนเท่าใดที่เข้าร่วมงานนี้ และซื้อบัตรเข้าร่วมงานเองหรือมีผู้ออกเงินให้ หากอ้างว่ามีคนอื่นออกเงินให้จะเข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 กรณีห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐรับเงินเกิน 3 พันบาทหรือไม่ แต่หากเจ้าหน้าที่รัฐซื้อบัตรเข้างานเองจะต้องตรวจสอบว่า ใช้เงินจากไหนมาซื้อบัตรที่นั่งละ 3 แสนบาท

สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบพบว่า ในงานระดมทุนโต๊ะจีนของพรรคพลังประชารัฐที่ผ่านมา มีการวางแผนผังแบ่งเป็น 2 โซน 200 โต๊ะ ได้แก่ โซนวีไอพี คือนักการเมืองชื่อดัง และนักธุรกิจใหญ่ รวม 100 โต๊ะ กับโซนธรรมดา คือพวกศิลปินดารา อดีต ส.ส. ต่างจังหวัด สื่อมวลชน เป็นต้น รวม 100 โต๊ะ

สำหรับการแบ่งโซนดังกล่าว แบ่งด้วยสี ได้แก่ 

    1. สีเนื้อ ระบุว่า ท่านเลขา (นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์) รวม 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท

    2. สีเหลือง ระบุว่า คลัง 20 โต๊ะ 60 ล้านบาท

    3. สีส้มแดง ระบุว่า ดร.อั๋น 16 โต๊ะ 48 ล้านบาท

    4. สีเหลืองอ่อน ระบุว่า Buddy 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท

    5. สีเหลืองเข้ม ระบุว่า ททท 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท

    6. สีเลือดหมู ระบุว่า ดร.เอก (นายณพพงศ์ ธีระวร กรรมการบริหารพรรค) 24 โต๊ะ 72 ล้านบาท

    7. สีเขียวขี้ม้า ระบุว่า มาดามเดียร์ (นางวทันยา วงษ์โอภาสี) 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท

    8. สีน้ำเงิน ระบุว่า กรรมการบริหารพรรค 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท

    9. สีฟ้าอ่อน ระบุว่า หัวหน้าพรรค (นายอุตตม สาวนายน) 1 โต๊ะ 3 ล้านบาท

    10. สีเขียวเข้ม ระบุว่า ทีมชาติ/รวมดารา 2 โต๊ะ 6 ล้านบาท

    11. สีเขียวอ่อน ระบุว่า หัวหน้าทีม 3 โต๊ะ 9 ล้านบาท

    12. สีเขียวทึบ ระบุว่า สื่อ 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท

    13. สีฟ้าอ่อน ระบุว่า พรรคการเมือง 4 โต๊ะ 12 ล้านบาท

    14. สีกรมท่า ระบุว่า กทม 10 โต๊ะ 30 ล้านบาท

รวม 99 โต๊ะที่มีการระบุชื่อ ส่วนที่เหลืออีก 101 โต๊ะ เป็นสีขาว ถูกระบุว่า เป็นโต๊ะของบรรดาอดีต ส.ส. และสมาชิกพรรคที่เข้ามาร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ

เว็บไซต์สำนักข่าวิศราได่ตั้งข้อสังเกตว่า ในข้อที่ 2, 5 และ 14 นั้น คำย่อและอักษรย่อที่ใช้ กล่าวคือ คลัง, ททท และ กทม. นั้นหมายถึง กระทรวงการคลัง การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และกรุงเทพมหานคร หรือไม่

ทางสำนักข่าวอิศราจึงได้สอบถามไปยังนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการมาร่วมงานระดมทุนโต๊ะจีนพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายณัฏฐพล กล่าวว่า ไม่ทราบรายละเอียดจากผังงานดังกล่าว เพราะไม่ได้ดูแลส่วนนี้ อย่างไรก็ดีทุกคนมาร่วมงานตามปกติ แต่ไม่สามารถบอกได้ว่ามีใครบ้าง ขั้นตอนต่อจากนี้คือต้องตรวจสอบว่า มีการจ่ายเงินกันอย่างไร ถูกต้องหรือไม่ เกินเพดานตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ตรงนี้เป็นรายได้ที่พรรคต้องตรวจสอบอยู่แล้ว

จากการนำเสนอข่าวดังกล่าว นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตั้งคำถามว่า

    1. ผู้เป็นรัฐมนตรีได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงาน เพื่อให้หน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจ สนับสนุน ค่าโต๊ะจีนดังกล่าวหรือไม่ 

    2. หน่วยงานราชการ และรัฐวิสาหกิจ ได้ใช้เงินงบประมาณของรัฐ หรือไปขอการสนับสนุนหน่วยงานเอกชน เพื่อให้มาสนับสนุนงานดังกล่าวหรือไม่

ด้าน พ.ต.อ. จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. กล่าวถึงกรณีการระดมทุนดังกล่าวว่า ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พรรคการเมืองสามารถหารายได้ของพรรคหรือระดมทุนได้ แต่หลังจากการระดมทุนแล้ว พรรคการเมืองจะต้องรายงานต่อนายทะเบียนพรรค และประกาศให้ประชาชนรับทราบภายใน 30 วัน นับจากวันที่จัดงาน รวมถึงต้องรายงานต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองด้วยว่าบุคคลใดบ้างบริจาคเกิน 100,000 บาท ซึ่งเหตุผลที่กฎหมายกำหนดไว้เช่นนี้ เนื่องจากต้องการให้เกิดความโปร่งใสในพรรคการเมือง และให้การดำเนินการหารายได้ของพรรคมีธรรมาภิบาล

ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า กระทรวงการคลังและหน่วยงานอื่นของรัฐร่วมซื้อโต๊ะจีนด้วยนั้น พ.ต.อ. จรุงวิทย์ กล่าวว่า ปกติตามหลักการทั่วไปหน่วยงานรัฐจะมีขอบเขตการใช้เงินของรัฐอยู่แล้วว่าอะไรสามารถใช้งบประมาณของหน่วยงานรัฐได้บ้าง ซึ่งเงินจากหน่วยงานของรัฐถือเป็นเงินหลวง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นต้องรอให้พรรคพลังประชารัฐรายงานมายังนายทะเบียนพรรคการเมืองถึงที่มาของรายได้ก่อน กกต. จึงจะดำเนินการตรวจสอบได้

ต่อกรณีดังกล่าว นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว และขอให้หยุดนำเสนอข่าวอันอาจทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเสียชื่อเสียง

นายยุทธศักดิ์บอกด้วยว่า ททท. อาจจะดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นประมาท และ ททท. มีนโยบายในการใช้งบประมาณอย่างถูกต้องเหมาะสม คุ้มค่า และตรวจสอบได้ ดังนั้น ททท. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในกรณีดังกล่าว เนื่องจากระเบียบด้านการเงิน ไม่สามารถกระทำได้ อีกทั้งการใช้งบประมาณในวงเงินดังกล่าว ต้องผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการ ททท. ซึ่งมีขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งไม่มีวาระการประชุมหรือวาระพิจารณาที่เกี่ยวข้องแต่อย่างใด

ด้านนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง ก็ปฏิเสธในเรื่องดังกล่าวโดยบอกว่า ตามปกติรัฐวิสาหกิจในสังกัดคลังไม่สามารถไปยุ่งเกี่ยวหรือสนับสนุนการเมือง เพราะมีข้อห้ามรัฐวิสาหกิจถือว่าเป็นหน่วยงานรัฐ ดังนั้นอยากถามว่าคนที่ออกมาให้ข่าวนำข้อมูลมาจากไหน มีหลักฐานอะไรนำมาแสดงหรือไม่ ปกตินายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ไม่ใช่คนประเภทไปยุ่งการเมือง ส่วนจะมีผู้บริหารหน่วยงาน หรือ รัฐวิสาหกิจไหน ควักเงินซื้อโต๊ะส่วนตัว หรือไม่ อันนี้ไม่ทราบ แต่ถ้าข้าราชการไปยุ่งการเมือง ถือว่ามีความผิด

คพ. เตือน สถานการณ์ฝุ่น กทม. อันตรายหลายพื้นที่

ที่มาภาพ: เว็บไซต์ air4thai กองจัดการคุณภาพอากาศและเสียง กรมควบคุมมลพิษ (http://bit.ly/2RbIPy6)

วันที่ 20 ธ.ค. 2561 หน้าเฟซบุ๊กกรมคบคุมมลพิษรายงานสถานการณ์ PM2.5 พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ประจำวันที่ 20 ธันวาคม 2561 โดยระบุว่า พื้นที่ริมถนนอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 17 พื้นที่ และมีผลกระทบต่อสุขภาพ 2 พื้นที่ ส่วนในพื้นที่ทั่วไปอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ 13 พื้นที่

ในส่วนของพื้นที่ริมถนน ที่สถานการณ์อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ ประกอบด้วย

    1. ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ

    2. ริมทางคู่ขนานถนนพระรามสอง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

อนึ่ง จากการติดตามล่าสุดในวันที่ 22 ธ.ค. 2561 พบว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. 2561 นั้น แม้สถานการณ์ฝุ่นละอองพื้นที่ริมถนนกาญจนาภิเษก เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ จะลดระดับไปเป็นเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่โดยรวมแล้ว จำนวนของพื้นที่ริมถนนที่สถานการณ์อยู่ในระดับมีผลกระทบต่อสุขภาพ ได้เพิ่มขึ้นอีกหลายพื้นที่ ดังนี้

    1. ริมทางคู่ขนานถนนพระรามสอง อ.เมือง จ.สมุทรสาคร

    2. ริมถนนดินแดง เขตดินแดง จ.กรุงเทพฯ

    3. ริมถนนลาดพร้าว ซ.ลาดพร้าว 95 เขตวังทองหลาง จ.กรุงเทพฯ

    4. ริมถนนพระราม 3-เจริญกรุง เขตบางคอแหลม จ.กรุงเทพฯ

    5. ริมถนนพระราม 3 เขตยานนาวา จ.กรุงเทพฯ

    6. ริมถนนรัชดาภิเษก-ท่าพระ เขตธนบุรี จ.กรุงเทพฯ

    7. ริมถนนเพชรเกษม เขตภาษีเจริญ จ.กรุงเทพฯ

    8. ริมถนนพระรามสอง เขตบางขุนเทียน จ.กรุงเทพฯ

กรมควบคุมมลพิษได้แจ้งด้วยว่า ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ที่คุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ-มีผลกระทบต่อสุขภาพ ควรหลีกเลี่ยงหรือลดเวลาการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ควรสวมใส่หน้ากากอนามัยขณะอยู่กลางแจ้ง

ทั้งนี้ สามารถติดตามสถานการณ์คุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ได้ทางแอปพลิเคชันและเว็บไซต์ air4thai

ครม. ไฟเขียว 1-15 ก.พ. 2562 จ่ายผ่านบัตรเดบิตคืนภาษี 5%

ที่มาภาพ: เว็บไซต์คมชัดลึก (http://bit.ly/2R9Pn0k)

เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2561 นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ประชาชนที่ซื้อสินค้าผ่านบัตรเดบิต ในอัตรา 5% ทุกรายการ ยกเว้นเหล้า เบียร์ บุหรี่ โดยวงเงินซื้อสินค้าได้สูงสุด 20,000 บาท คืนภาษี 1,000 บาท โดยมีระยะเวลาการซื้อสินค้าในช่วงวันที่ 1-15 ก.พ. 2562 โดยขั้นตอนการคืนเงินภาษีมูลค่าเพิ่มจะโอนเงินกลับไปยังระบบพร้อมเพย์ ที่ผูกไว้กับบัตรประชาชนภายใน 15 วันหลังการซื้อสินค้า
 
ทั้งนี้ มาตรการนี้เป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้อีเพย์เมนต์ หนุนร้านค้าเข้าระบบบริการเก็บข้อมูลการขายเเละการจ่ายเงินเมื่อมีการขายสินค้าหรือบริการ หรือระบบพีโอเอสซึ่งช่วยทำให้ร้านค้าเข้าสู่ระบบภาษีของกรมสรรพากรด้วย
 
ทั้งนี้ จากการคำนวณการใช้จ่ายของประชาชน คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีกว่า 9,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวไม่ใช่การหาเสียงและไม่เกี่ยวข้องกับการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะกระทรวงการคลังต้องการสร้างระบบอีเพย์เมนต์ให้แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันยังเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจ

21 ม.ค. ปีหน้าขึ้นค่ารถเมล์

เว็บไซต์เนชั่นทั่วไทยรายงานว่า นายพีระพล ถาวรสุภเจริญ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก ในฐานะฝ่ายเลขานุการของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลาง เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการฯ ว่า ที่ประชุมได้พิจารณาเรื่องการปรับปรุงอัตราค่าโดยสารรถประจำทาง ได้แก่ รถโดยสารขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) รถโดยสารประจำทางที่ใช้เชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ (รถเมล์เอ็นจีวี) ของ ขสมก., รถร่วมบริการ ขสมก. ใน กทม.และปริมณฑล และรถโดยสารร่วมบริการของบริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.)

มติที่ประชุมปรับขึ้นค่าโดยสารรถเมล์ ขสมก. และรถร่วมบริการ ขสมก. ในอัตรา 1 บาท โดยรถเมล์ร้อนจากเดิม 9 บาท เป็น 10 บาท และรถเมล์ ขสมก. จากเดิม 6.50 บาท เป็นไม่เกิน 10 บาท ส่วนรถปรับอากาศเพิ่มระยะละ 1 บาท จากเดิม 11-23 บาทต่อเที่ยว เป็น 12-24 บาทต่อเที่ยว ขณะที่รถร่วม บขส. ให้ปรับราคาขึ้นไม่เกิน 10% แบ่งเป็น 4 ช่วง ประกอบด้วย ระยะทาง 40 กิโลเมตร(กม.)แรก เดิม 0.49 บาทต่อ กม. เป็น 0.53 บาทต่อ กม. ระยะทาง 40-100 กม. เดิม 0.44 บาทต่อ กม. เป็น 0.48 บาทต่อ กม.ระยะทาง 100-200 กม. เดิม 0.40 บาทต่อ กม. เป็น 0.44 บาทต่อ กม. และระะทางเกิน 200 กม. เดิม 0.36 บาทต่อ กม. เป็น 0.39 บาทต่อ กม. 

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติปรับอัตราค่าโดยสารสำหรับรถเมล์ปรับอากาศใหม่ เช่น รถเมล์เอ็นจีวี จากเดิมเก็บในอัตรา 11-23 บาทต่อเที่ยว เป็น 4 กม.แรก 15 บาท 10-16 กม. 20 บาท และ 16 กม.ขึ้นไป 25 บาท ส่วนรถเมล์ร้อนที่เป็นรถใหม่ สามารถเก็บอัตราค่าโดยสารได้ในราคา 12 บาท โดยรถเมล์ใหม่ทั้งรถร้อน และรถปรับอากาศที่จะเก็บค่าโดยสารในอัตรานี้ได้ต้องเป็นรถที่ติดอุปกรณ์ส่วนควบตามเงื่อนไขที่ กรมการขนส่งทางบกกำหนด อาทิ ติดจีพีเอส กล้องซีซีทีวี อุปกรณ์ความปลอดภัย และติดตั้งระบบอีทิกเก็ต ทั้งนี้การปรับขึ้นราคาในอัตราใหม่ทั้งหมดนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 21 ม.ค. 2562 เป็นต้นไป

ปูตินสั่งคุมเพลงแรปในรัสเซีย

ประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ที่มาภาพ: http://www.sfgate.com/news/article/Here-are-10-critics-of-Vladimir-Putin-who-died-11025728.php#photo-12602391

เว็บไซต์บีบีซีไทยรายงานว่า ที่ประเทศรัสเซียนั้น ในช่วงที่ผ่านมามีคอนเสิร์ตดนตรีแรปหลายแห่งทั่วประเทศที่ถูกสั่งยกเลิก โดยนายวลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุว่า เมื่อไม่สามารถ “สั่งห้าม” ดนตรีแรปได้ รัฐก็ควรจะเข้าไปมีบทบาทในการควบคุมมากกว่าเก่าโดยเขาบอกว่า กระทรวงวัฒนธรรมรัสเซียจะหาทางที่ดีที่สุดในการ “นำแนวทาง” ของคอนเสิร์ตกลุ่มวัยรุ่น

นายปูตินกล่าวขณะเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการเพื่อวัฒนธรรมและศิลปะที่นครเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กว่า ต้องจัดการปัญหานี้ด้วยความระมัดระวัง โดยบอกว่าเป็นห่วงอย่างยิ่งเรื่องการใช้ยาเสพติดของวัยรุ่น

“แรป และศิลปะสมัยใหม่รูปแบบอื่นๆ ตั้งอยู่บนเสาหลัก 3 ประการ เซ็กส์ ยาเสพติด และการประท้วงต่อต้าน ผมเป็นห่วงเรื่องยาเสพติด นี่เป็นหนทางไปสู่ความถดถอยของประเทศ”

นายปูตินได้บอกอีกว่า เขายังมีความกังวลเรื่องภาษาที่ใช้ในดนตรีแรปอีกด้วย และบอกว่าได้พูดคุยกับนักภาษาศาสตร์แล้ว หลังจากเธอได้อธิบายกับเขาว่า การสบถเป็นส่วนหนึ่งของภาษารัสเซีย นายปูตินได้เปรียบเทียบเรื่องภาษากับร่างกาย โดยบอกว่า แม้ร่างกายเราจะมีส่วนประกอบหลายส่วน แต่ก็ไม่จำเป็นที่เราต้องเผยทุกส่วนของร่างกายให้คนอื่นเห็น

ที่ผ่านมา รัฐบาลรัสเซียมีปัญหากับวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน Pussy Riot วงพังก์ซึ่งเคลื่อนไหวทางการเมือง อ้างว่าหน่วยข่าวกรองรัสเซียวางยาหนึ่งในสมาชิกของวงเมื่อเดือน ก.ย. 2561

ย้อนกลับไปในสมัยสหภาพโซเวียต ดนตรีป็อปและร็อกจากชาติตะวันตกถูกมองในแง่ลบ และนักดนตรีร็อกชาวรัสเซียบางคนก็ถูกดำเนินคดีด้วย