
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานแทน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่เดินทางไปเช้าร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 33 และการประชุมสุดยอดที่เกี่ยวข้อง ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 13-15 พฤศจิกายน 2561
ยันไม่เลื่อนเลือกตั้ง – หนุน “บิ๊กตู่” นั่งนายกฯ ต่อ
พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุมได้หารือในเรื่องเก่าๆ เช่น การติดตามงานต่างๆ ตามที่นายกฯ ได้สั่งการไว้แล้ว แม้นายกฯ จะเดินทางไปต่างประเทศก็ตาม ทั้งนี้ ไม่ได้หารือถึงสถานการณ์ทางการเมือง มีเพียงการดูแลความปลอดภัยในช่วงลอยกระทง ส่วนกรณีที่ 3 รัฐมนตรีไปร่วมกิจกรรมรับสมาชิกสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นั้นไม่ใช่เรื่องของ คสช. เพราะ คสช. ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพียงแต่ดูแลความสงบเรียบร้อย
เมื่อถามถึงกรณีที่หลายพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคเล็ก ไม่พร้อมเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 พล.อ. ประวิตร ระบุว่า ตนไม่ทราบ และฝ่ายความมั่นคงก็ไม่ทราบ พรรคการเมืองจะมาบอกตนหรือว่าไม่พร้อม โดยยืนยันว่าเรื่องความมั่นคงนั้นไม่มีผลต่อการเลื่อนการเลือกตั้งอยู่แล้ว แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นปัจจุบันทันด่วนที่ตนไม่รู้ ก็ถือว่าไม่รู้ เพราะเป็นสถานการณ์ข้างหน้า แต่ปัจจุบันสิ่งต่างๆ ยังเรียบร้อยดี
เมื่อถามว่าหากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่พร้อมจัดการเลือกตั้ง 24 กุมภาพันธ์ 2562 จะทำอย่างไร พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า กกต. บอกว่าพร้อมจัดเลือกตั้งตั้งแต่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นไป ตนตอบตามที่ กกต. พูด ซึ่งได้ดูจากโทรทัศน์ ยืนยันอีกครั้งว่าขณะนี้ไม่มีปัจจัยอะไรทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไป
เมื่อถามว่าสัปดาห์ก่อนท่านระบุหากมีเหตุการณ์นอกเหนือการควบคุม อาจเลื่อนการเลือกตั้งออกไป พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ไม่ได้พูดอย่างนั้น สื่อไปพูดเอง
เมื่อถามว่าส่วนตัวสนับสนุนให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ต่อหรือไม่ พล.อ. ประวิตร กล่าวว่า ตนยังคงสนับสนุนให้ พล.อ. ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งการเข้าสู่ตำแหน่งจะเป็นไปตามข้อบัญญัติของรัฐธรรมนูญ แต่ปฏิเสธที่จะให้ความชัดเจนว่าขณะนี้มีพรรคการเมืองใดทาบทาม พล.อ. ประยุทธ์ แล้วหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของ พล.อ. ประยุทธ์ เอง และส่วนตัวยังไม่ได้สนใจหรือศึกษานโยบายของพรรคการเมืองใด
สั่ง ตำรวจ – ทหาร สกัดขบวนการลักลอบนำเข้าของหนีภาษี – น้ำมันปาล์ม
พล.อ. ประวิตร ตอบคำถามกรณีประชาชนร้องเรียนร้านธงฟ้าประชารัฐ ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำน้ำมันปาล์มสำเร็จรูปบรรจุขวดจากมาเลเซียมาจำหน่าย ว่า ขณะนี้ได้เน้นย้ำเรื่องการลักลอบน้ำมันปาล์มนำเข้า ซึ่งทางตำรวจสามารถจับได้เยอะ
“ส่วนที่มีข่าวว่าเข้าที่ไหน ขอให้พาไปหน่อย อย่าเพียงแต่พูดไปเรื่อย บอกมาจะสั่งให้ไปทันที ข่าวมาจากไหน หนังสือพิมพ์หรือ อยากเขียนอะไรก็เขียน ตอนนี้สั่งทั้งตำรวจน้ำและทหารเรือ การป้องกันลักลอบของหนีภาษีทั้งหมด รวมถึงน้ำมันปาล์มด้วย เราพยายามป้องกันเต็มที่โดยเฉพาะยาเสพติดให้โทษ” พล.อ. ประวิตร กล่าว
มติ ครม. มีดังนี้

คลายล็อค “กัญชา” ทดลองใช้ทางการแพทย์ 5 ปี สธ.ออกใบอนุญาต – ป.ป.ส.คุม พื้นที่ปลูก
พล.อ. ประวิตร ระบุถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. …. ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติ “คลายล็อกกัญชา” ยังไม่ใช่การปลดล็อก เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดในประเภท 5 เพียงแต่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการศึกษาในเรื่องของการรักษาโรค ว่าควรจะจำกัดจำนวนในการใช้ ซึ่งจะใช้เป็นบทเฉพาะกาลในระยะเวลา 5 ปีก่อน ซึ่งจะต้องส่งกลับไปให้ทางสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง โดยยืนยันว่ากฎหมายดังกล่าวจะออกทันภายในรัฐบาลนี้
ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ นี้ได้รับการเสนอโดย สนช. ซึ่งสัปดาห์ที่แล้ว ครม. ได้รับร่างกฎหมายดังกล่าวมาพร้อมทำความเห็นก่อนส่งให้ สนช. ไปพิจารณาอีกครั้ง โดยมีสาระสำคัญในการปรับแก้ให้สามารถนำ “กัญชา” มาใช้รักษาโรคได้ ดังนี้
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 16 ผู้ที่ได้รับใบอนุญาตสามารถ ผลิต นำเข้า หรือส่งออก ยาเสพติดประเภท 5 ได้ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 17 ให้ผู้ได้รับใบอนุญาตสามารถจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ได้
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 18 โดยยกเว้นให้มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ไว้ในครอบครองในจำนวนที่จำเป็นสำหรับรักษาโรคเฉพาะตัว หรือสำหรับใช้ปฐมพยาบาล หรือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในเรือ เครื่องบิน หรือยานพาหนะที่ใช้ในการขนส่งระหว่างประเทศได้
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 19 โดยเป็นการเพิ่มอำนาจของผู้อนุญาตให้จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 2 หรือประเภทที่ 5 แก่ผู้ขออนุญาต
- เพิ่มมาตรา 19/1 ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีอำนาจกำหนดเขตพื้นที่เพื่อทดลองปลูกพืชที่เป็น หรือให้ผลผลิตเป็นยาเสพติดให้โทษปรพเภท 5 ในปริมาณที่กำหนด โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาและต้องมีมาตรการควบคุมตรวจสอบด้วย
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 26 โดยให้ตัดยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ออกจากบทบัญญัติห้ามผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก และการมีไว้ในครอบครอง รวมถึงการกำหนดปริมาณยาเสพติดประเภท 5 ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้เพื่อครอบครองจำหน่ายออก และนำไปใช้กับมาตราอื่นด้วย
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 27 โดยกำหนดห้ามไม่ให้ผู้ได้รับอนุญาตจำหน่ายนำยาเสพติดให้โทษปรเภท 5 ออกนอกสถานที่ที่ระบุไว้ในอนุญาต
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 28 เพิ่มหน้าที่ของผู้รับอนุญาตในการจัดเก็บรักษายาเสพติด และหน้าที่ที่ต้องกระทำเมื่อยาเสพติดถูกโจรกรรม สูญหาย หรือถูกทำลาย
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 48 ให้ผู้ประกอบวิชาชีพที่ได้รับอนุญาตสามารถโฆษณายาเสพติดให้โทษประเภท 5 ได้ และกำหนดหลักเกณฑ์ในการโฆษณาฉลากหรือเอกสารกำกับที่ภาชนะบรรจุ
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 60 กำหนดให้ผู้ได้รับอนุญาตที่ประสงค์จำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครอง ซึ่งยาเสพติดประเภท 5 เกินปริมาณกำหนด ต้องยื่นคำขอรับใบอนุญาต
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 61 กำหนดหน้าที่ และอำนาจของทายาท หรือผู้จัดการมรด ในกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตฯ เสียชีวิตก่อนใบอนุญาตหมดอายุ
- แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 76 และ มาตรา 76/1 ในการกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ. นี้
นายพุทธิพงษ์ กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากที่ผ่านมามีผลการวิจัยว่าสารสกัดจากกัญชามีประโยชน์ทางการแพทย์ และใน 26 ประเทศได้มีการผ่อนปรน อนุญาตให้ประชาชนนำกระท่อมและกัญชามาใช้ทางการแพทย์หรือเพื่อสันทนาการได้ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม
“สำหรับประเทศไทย กระท่อมและกัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มีโทษทั้งผู้เสพและผู้ครอบครอง ขณะที่ความจริงมีผู้ป่วยบางส่วนลักลอบใช้กัญชาเพื่อรักษาโรคมานานแล้ว ทำให้มีราคาแพงและอาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ จึงแก้ไขกฎหมายดังกล่าวให้สามารถนำกัญชาและกระท่อมไปทำการศึกษาวิจัย และใช้รักษาโรคภายใต้การควบคุมของแพทย์ได้”
“ครม. ทบทวนแล้วมีการเพิ่มเติมให้กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานที่ควบคุมในการใช้ประโยชน์จากกัญชาเป็นระยะเวลา 5 ปีก่อน จากที่ สนช. เสนอมาไม่มีการควบคุมระยะเวลา เนื่องจาก ครม. เห็นว่าในระยะเวลา 5 ปีแรกควรมีการติดตามดูแลอย่างใกล้ชิด ก่อนที่จะปรับให้เกิดความเหมาะสมอีกครั้ง ซึ่งในหลักการและเหตุผลของการอนุญาตนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเป็นผู้พิจารณา ส่วน ป.ป.ส. จะเป็นหน่วยงานในการควบคุมด้านพื้นที่ ซึ่ง ป.ป.ส. อาจประกาศให้ท้องที่ใดสามารถเสพกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมายได้” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เห็นชอบมาตรการอุ้มราคาปาล์ม – สั่งแก้ยางพาราใน 7 วัน
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม. คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบสรุปมติการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ ครั้งที่ 3/2561 เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561 ตามที่คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) เสนอ เพื่อแก้ไขปัญหาราคาน้ำมันปาล์มตกต่ำ สรุปสาระสำคัญดังนี้
- โครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ตามมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนจึงมีข้อเสนอให้มีการนำน้ำมันปาล์มดิบมาผลิตกระแสไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่มีศักยภาพ เพื่อลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มในประเทศ จำนวน 160,000 ตัน
- ขยายระยะเวลาส่งออกจากปกติจะสิ้นสุดประมาณเดือนพฤศจิกายน 2561 เป็นเดือนพฤษภาคม 2562 พร้อมทั้งขอเพิ่มเติมวัตถุประสงค์ในการใช้เงินงบกลางในโครงการเร่งรัดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ปี 2561 ภายในวงเงิน 525 ล้านบาท ตามมติ กนป. ครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มให้กับกระทรวงพลังงาน โดยปัจจุบันมีการเร่งเจรจาเพื่อส่งออกไปยังสเปนอยู่คาดว่าจะแล้วเสร็จใน 2 เดือนนี้
- มาตรการเพิ่มปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเป็นเชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ เพื่อแก้ไขปัญหาอุปสรรคของการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์บรรทุกขนาดใหญ่และมาตรการจูงใจให้มีการส่งเสริมการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถยนต์ขนาดเล็ก โดยเห็นชอบให้มีการเพิ่มสัดส่วนการใช้ไบโอดีเซล (บี 7) จากอัตราส่วนผสมร้อยละ 6.5-7.0 เป็นร้อยละ 6.8-7.0 ซึ่งส่งผลให้มีการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นปีละ 80,000 ตัน นอกจากนี้ ยังมอบหมายให้กระทรวงพลังงานหาแนวทางส่งเสริมและมาตรการจูงใจให้มีการใช้น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว บี 20 ในรถบรรทุกและรถยนต์ขนาดเล็ก
- เห็นชอบให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการบริหารและกำกับดูแลมาตรการปรับสมดุลน้ำมันปาล์มในประเทศ (เฉพาะกิจ) เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรการให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธาน ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการค้าสินค้าเกษตร 1 กรมการค้าภายในเป็นอนุกรรมการและเลขานุการ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นอนุกรรมการ ตามร่างองค์ประกอบที่นำเสนอ กนป. รวม 13 คน โดยให้เพิ่มองค์ประกอบในคณะอนุกรรมการฯ จำนวน 4 ท่าน ตามความเห็นของประธาน กนป. และกรรมการ กนป. คือ ผู้แทน กอ.รมน. จำนวน 1 ท่าน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิใน กนป. จำนวน 3 ท่าน รวม 17 ท่าน
ทั้งนี้ คาดว่าราคาปาล์มน้ำมันจะปรับตัวจาก 2.6 บาทในปัจจุบันเป็น 3.1 บาทในอนาคตอันใกล้ นอกจากนี้ พล.อ. ประยุทธ์ ได้สั่งการไปถึงปัญหายางพาราที่ตกต่ำให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งให้มาตรการแก้ไขอย่างเร่งด่วนภายใน 7 วัน ซึ่งปัจจุบันได้หารือมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการประกันราคา การลดต้นทุน การหาสินค้าปลายทางที่จะนำยางไปใช้ หรือให้หน่วยราชการนำยางไปใช้เพิ่มเติม
ผ่านร่างพ.ร.บ.ยา ตั้งผู้เชี่ยวชาญ ช่วย อย. ตรวจ – รับรองบัญชี
นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. และให้กระทรวงสาธารณสุขรับข้อสังเกตของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปพิจารณาเกี่ยวกับการดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับการแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมท้ายร่างพระราชบัญญัติฯ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติยา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. มีบทบัญญัติที่สอดคล้องกับการคุ้มครองผู้บริโภค และมีการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการพิจารณา ซึ่งประกอบด้วยบทบัญญัติที่ปรับแก้ไขจากพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 เช่น แก้ไขนิยามศัพท์คำว่า “ผู้ประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ” ให้ครอบคลุมผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์
ซึ่งต่อไปสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายไม่ต้องนำส่งค่าขึ้นบัญชีผู้เชี่ยวชาญ ค่าใช้จ่ายที่จัดเก็บจากผู้ยื่นคำขอในกระบวนการพิจารณาอนุญาตให้แก่คลัง และให้นำมาบริหารจัดการเกี่ยวกับการให้ดำเนินการของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยามีความรวดเร็วการพัฒนาศักยภาพบุคลากรและการดำเนินงานตามแผนงานหรือโครงการที่เป็นประโยชน์สาธารณะเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคด้านยาตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด โดยความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง
มีการแก้ไขเพิ่มเติมให้ผู้รับอนุญาตต้องยื่นเอกสารการได้มาซึ่งสิทธิบัตรหรืออนุสิทธิบัตรในกรณีเป็นยาที่ได้รับสิทธิบัตรตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตรประกอบคำขอขึ้นทะเบียนตำรับยา แก้ไขเพิ่มเติมให้ใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยามีอายุ 5 ปีนับแต่วันที่ออกใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับและวิธีการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยา แก้ไขเพิ่มเติมบทกำหนดโทษ สำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการศึกษาวิจัยยา และผู้ที่ต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนตำรับยาเกินระยะเวลาที่กำหนด
รวมถึงแก้ไขอัตราค่าธรรมเนียมท้ายพระราชบัญญัติ เช่นค่าธรรมเนียมขึ้นทะเบียนยาจากเพดานสูงสุดที่ 10,000 บาทเป็นสูงสุด 50,000 บาท หรือค่าธรรมเนียมขอเปิดร้านขายยาจากสูงสุด 3,000 บาทเป็นสูงสุด 5,000 บาท ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะออกเป็นประกาศถึงเหตุผลและรายละเอียดการจัดเก็บอีกครั้ง
“สาระสำคัญนั้นที่ผ่านมาใครจะขึ้นบัญชียาต้องผ่าน อย. การแก้ไขกฎหมายจะทำให้ อย. มีสิทธิในการแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ องค์กรผู้เชี่ยวชาญ หน่วยงานรัฐหรือเอกชน ทำหน้าที่กลั่นกรองบัญชีใหม่ๆ เพราะที่ผ่านมากระบวนการช้าในเรื่องของการตรวจสอบ การรับรองมาตรฐาน แหล่งผลิต การแก้ไขกฎหมายจะทำให้ความรวดเร็วในการรับรองบัญชียาจะเร็วขึ้น แต่สุดท้ายต้องผ่านความเห็นชอบจาก อย. ทั้งหมด” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่าร่างแก้ไข พ.ร.บ. ก่อนหน้านี้เหมือนจะมีการเปิดกว้างให้ร้านสะดวกซื้อขายยาได้ด้วย นายพุทธิพงษ์ กล่าวว่า นั่นคือการเสนอเข้ามาตอนแรกที่จะนำเข้ามา ก็มีการเขียนให้ผู้ประกอบการการยาได้กว้างขึ้น แต่จากความวิตกกังวลของประชาชน ครม. ก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็ได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุขและผู้ที่เกี่ยวข้องไปร่าง พ.ร.บ.ยาขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีการยกและตัดมาตรานั้นออกไปทั้งหมด
“สิ่งที่เป็นกังวลอยู่จะไม่มีใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ จึงมีเฉพาะที่จำเป็นและน่าจะช่วยแก้ไขปัญหาของ พ.ร.บ. และบัญชียาให้ทันสมัยรวดเร็วขึ้น ในสิ่งที่กังวลไม่ได้มีบรรจุอยู่ใน พ.ร.บ.ยาฉบับนี้ ซึ่งเคยอยู่ในมาตรา 22 ตอนนี้ตัดออกไปทั้งหมดแล้ว” นายพุทธิพงษ์ กล่าว
คลอด 4 มาตรการ กระตุ้นท่องเที่ยว
นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการมาตรการกระตุ้นตลาดท่องเที่ยวไทยในช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยว ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ ระยะเวลา 2 เดือน ดังนี้
-
1. โครงการ Amazing Thailand Grand Sale “Passport Privileges” ระหว่างวันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 – วันที่ 15 มกราคม 2562 รวมทั้ง การเปิดให้บริการพื้นที่พิเศษเพิ่มเติมแก่นักท่องเที่ยวในการคืนภาษี (VAT Refund) ในพื้นที่ย่านแหล่งท่องเที่ยว หรือห้างสรรพสินค้าสำหรับการซื้อสินค้าออกนอกราชอาณาจักร ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกรมสรรพากร เรื่องการแต่งตั้งตัวแทนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับนักท่องเที่ยว โดยมีเป้าหมายรักษารายได้ทางการท่องเที่ยว ไม่ให้ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2562 คือรายได้จากนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า ร้อยละ 12 (ประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท)
2. การเพิ่มความถี่ของการเดินทาง สำหรับหนังสือเดินทางที่ขอรับการตรวจลงตราแบบสามารถเดินทางได้ครั้งเดียว (Single Entry Visa) ณ สถานทูตหรือสถานกงสุลไทย จากเดิมที่สามารถเดินทางได้ 1 ครั้ง เป็นสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ 2 ครั้ง (Double Entries Visa) ภายใน 6 เดือน โดยคิดค่าธรรมเนียมอัตราเดิม คือคนละ 1,000 บาทโดยกำหนดระยะเวลาการขอรับการตรวจลงตราที่สถานทูตเป็นระยะเวลา 2 เดือน
3. การให้อนุญาตกลับเข้ามาในราชอาณาจักรอีก (Re-Entry Permit) แบบอนุญาตครั้งเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีวีซ่าอยู่แล้ว (ทั้งแบบ TR และ VoA) โดยอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านของไทยสามารถกลับเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยอีก โดยไม่ต้องขออนุญาตอีกครั้ง และสามารถรักษาสิทธิ์การอยู่ในประเทศไทยตามระยะเวลาคงเหลือที่กำหนดในวีซ่าเดิม
4. แก้ไขหลักการกฎกระทรวงมหาดไทยในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ได้รับสิทธิยกเว้นการตรวจลงตราเพื่อการท่องเที่ยวเป็นระยะเวลา 30 วัน (ผ.30) ซึ่งจะเดินทางเข้าประเทศไทยผ่านทางช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองหรือด่านพรมแดนที่เป็นเขตติดต่อกับพรมแดนทางบก สามารถเข้ามาในประเทศไทยด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งต่อปีปฏิทิน จากเดิมที่กำหนดไว้ในปี 2559 ว่าไม่เกินปีละ 2 ครั้ง
ทั้งนี้ จากฐานข้อมูลกระทรวง การท่องเที่ยวและกีฬา พบว่า ในปี 2560 มีจำนวนเกือบ 5 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 3.01 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2559 ประกอบกับปัจจุบันมีชาวต่างชาติเป็นจำนวนมากที่อาศัยและทำงานในประเทศเพื่อนบ้านของไทย เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งนิยมเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพื่อการช้อปปิ้งพักผ่อนหย่อนใจ การแข่งกีฬาหรือชมการแข่งขัน รวมทั้งการเดินทางเข้ามาดูแลรักษาสุขภาพ
ไฟเขียว ขรก. อุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลฯ ไม่นับเป็นวันลา
พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบให้ข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าร่วมโครงการอุปสมบทเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล อุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และถวายพระพรชัยมงคลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยไม่นับเป็นวันลา ได้รับเงินเดือนปกติ ไม่กระทบกับสิทธิการลาอุปสมบทในอนาคต ตามที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้อุปสมบทได้แสดงความจงรักภักดี รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ และได้ศึกษาเรียนรู้หลักคำสอนทางพุทธศาสนานำไปใช้ประโยชน์เป็นหลักประพฤติในชีวิตประจำวันและการปฏิบัติงาน โดยจะมีพิธีบรรพชาอุปสมบทและจาริกแสวงบุญสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ที่สาธารณรัฐอินเดียและสหพันธ์สาธารณรัฐประชาธิปไตยเนปาล
โดยมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-29 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งโครงการดังกล่าวมีผู้เข้าร่วม 90 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของรัฐ 78 คน ใช้งบรายจ่ายประจำปี 2562 ของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 12 ล้านบาท และ จากภาคเอกชน 12 คน โดยจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทางเอง
รณรงค์ลอยกระทงปีนี้ “1 ครอบครัว 1 กระทง”
พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบแนวทางและมาตรการรณรงค์เพื่อสืบสานคุณค่าทางวัฒนธรรมเนื่องในประเพณีลอยกระทง ประจำปีพุทธศักราช 2561 ในระหว่างวันที่ 16-25 พฤศจิกายน 2561 ภายใต้แนวคิด “ลอยกระทงปลอดภัย สืบสานวัฒนธรรมไทย ใส่ใจสายน้ำและสิ่งแวดล้อม” ตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ
สำหรับแนวทางและมาตรการรณรงค์ในประเพณีลอยกระทง 2561 มี โดยได้ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด เช่น การกำหนดไม่เล่นพลุและดอกไม้ไฟในที่ชุมชน ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ขอความร่วมมือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจราจร ตรวจสอบความเรียบร้อยของยานพาหนะที่จะใช้รับส่งประชาชน ขอความร่วมมือจากประชาชนปฏิบัติตามแนวทางของประเพณีที่เหมาะสม เช่น ประดิษฐ์กระทงร่วมกันในครอบครัวและในชุมชน รวมทั้งขอความร่วมมือหน่วยงานต่างๆ จัดกิจกรรม เช่น การละเล่นและการแสดงทางวัฒนธรรมตามประเพณีท้องถิ่น เพื่อเป็นการถ่ายทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม และส่งเสริมให้การใช้วัสดุจากธรรมชาติและย่อยสลายง่ายมาประดิษฐ์กระทง และรณรงค์แนวทาง “1 ครอบครัว 1 กระทง” หรือ “1 หน่วยงาน 1 กระทง”
ทั้งนี้ได้มีแนวทางการดำเนินงานของส่วนราชการที่เข้าร่วมประชุมบูรณาการประเพณีลอยกระทง พ.ศ. 2561 โดยกระทรวงมหาดไทย (กรมการปกครอง) ได้กำชับให้ทุกจังหวัดดำเนินการตามแผนดูแลความปลอดภัยของประชาชน รวมทั้งพิจารณาอนุญาตการจุดและปล่อยพลุ ตะไล โคมลอย หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึง ตลอดจนจัดทำแผนป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงประเพณีลอยกระทง ด้านสำนักงานตรวจแห่งชาติ จะจัดให้มีความเข้มงวดในการรักษาความสงบในแต่ละพื้นที่ และพร้อมใช้แผนเผชิญเหตุโดยเฉพาะในจุดที่มีประชาชนเป็นจำนวนมาก
สำหรับกระทรวงคมนาคม (กรมเจ้าท่า) ได้มีการกำหนดเขตควบคุมการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ห้ามเรือเดินทะเล เรือลำเลียง เรือบรรทุกสินค้าอันตราย เรือน้ำมัน และเรือลากจูง ผ่านเขตควบคุมการเดินเรือในวันที่ 22 พฤศจิกายน 2561 เวลา 16.00-24.00 น. รวมทั้งตั้งศูนย์อำนวยความปลอดภัยทางน้ำและศูนย์อำนวยความสะดวกพร้อมดูแลความปลอดภัยทางน้ำ บริเวณท่าเทียบเรือที่มีการใช้บริการหนาแน่น และเปิดสายด่วน 1584 รับแจ้งเหตุ 24 ชั่วโมง
ด้านกระทรวงวัฒนธรรม (สำนักงานปลัด วธ.) สนับสนุนการจัดงานระหว่างวันที่ 16-25 พ.ย. 2561 โดยจัดกิจกรรม เช่น การเผาเทียนเล่นไฟ การแสดงทางวัฒนธรรม และการแสดงพื้นบ้าน เป็นต้น จัดกิจกรรมประเพณีลอยกระทงอาเซียน เวียดนาม ลาว และไทย โดยเน้นสืบสานและรักษาคุณค่าของประเพณีและวัฒนธรรมระหว่างประเทศ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา (กรมการท่องเที่ยว) ประชาสัมพันธ์และบริการให้ข้อมูลประชาชนในการส่งเสริมการใช้วัสดุจากธรรมชาติมาผลิตกระทง และรณรงค์ให้ใช้กระทงร่วมกันเพื่อลดปริมาณขยะ รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมตามสถานที่ต่างๆ ของทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
อ่าน มติ ครม. ประจำวันที่ 13 พฤศจิกายน 2561 เพิ่มเติม