ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ โยน “อังกฤษ” พิจารณาส่งตัว “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย – มติ ครม. อนุมัติพักหนี้ – ลดดอกเบี้ยอุ้มเกษตรกร 10 ล้านราย

นายกฯ โยน “อังกฤษ” พิจารณาส่งตัว “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย – มติ ครม. อนุมัติพักหนี้ – ลดดอกเบี้ยอุ้มเกษตรกร 10 ล้านราย

31 กรกฎาคม 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน

ย้าย 60 ครัวเรือน อ.บ่อเกลือ พ้นพท.เสี่ยงภัย เตรียมหาที่ดินทำกินใหม่

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการช่วยเหลือดูแลผู้ที่ได้รับผลกระทบจากดินถล่มว่า พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงไปในพื้นที่แล้ว ส่วนตนเองนั้นติดตามความก้าวหน้าอยู่ตลอด ปัญหาอยู่เพียงว่าเราจะทำอย่างไรให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงเหล่านี้ได้รับความปลอดภัย โดยได้กำชับไปว่าจะต้องมีการชี้แจงและทำความเข้าใจกับประชาชน การแจ้งเตือนข่าวอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ เป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานในพื้นที่ รวมความไปถึงในส่วนขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เช่น กรณี อ.บ่อเกลือ จ.น่าน ที่มีฝนตกติดต่อกัน 6 วัน มีปริมาณน้ำฝนสูงถึง 113 มิลลิเมตร แต่ประชาชนบางส่วนยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว

“มีการพิจารณาใน ครม. ว่าจะต้องหามาตรการที่สามารถแก้ปัญหาได้เป็นการถาวร โดยการนำทั้ง 60 ครอบครัวที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวย้ายไปยังพื้นที่ใดที่ปลอดภัย และจัดหาพื้นที่ทำกินใหม่เป็นการเร่งด่วน โดยคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติจะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง สำหรับพื้นที่ จ.น่านนั้น ตามที่ตนได้รับการรายงานจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่เนื่องจากเป็นภูเขาดินผสมหิน โอกาสพังทลายจึงมีมาก ประกอบกับมีการตัดถนนลัดเลาะแนวเขา ดังนั้น สิ่งสำคัญคือผู้ที่สัญจรไปมาจะต้องใช้ความระมัดระวัง หากเป็นไปได้ควรระงับการสัญจรในช่วงเวลานี้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ในประเทศไทยมีหลายพื้นที่ไม่ใช่เฉพาะที่ จ.น่าน บางพื้นที่มีการทำสวนยางมีการปลูกต้นยางบนภูเขา และมีการปลูกบ้านเรือนอยู่ใกล้เชิงเขา เหล่านี้ต้องมีการปรับเปลี่ยนการอยู่อาศัยให้หมด และเนื่องจากขณะนี้ในบางพื้นที่ของประเทศไทยมีฝนตกหนัก โดยมี 59 จังหวัดที่เสี่ยงต่ออุทกภัย โดยได้มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลและแจ้งเตือนประชาชน โดยเฉพาะหอกระจายข่าวและวิทยุชุมชน ให้เร่งแจ้งเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณที่ราบลุ่ม และบริเวณริมเขาต่างๆ โดยขอให้ประชาชนเฝ้าติดตามการแจ้งเตือนและข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้เตรียมพร้อมและปฏิบัติตัวตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำได้อย่างถูกต้อง

นักท่องเที่ยวไทยในอินโดฯปลอดภัย – ยันไม่จัดเครื่องบินไปรับ

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงเหตุการณ์ที่นักท่องเที่ยวไทยที่ติดอยู่บนภูเขาไฟรินจานี ประเทศอินโดนีเซีย หลังเกิดแผ่นดินไหว 6.4 ริกเตอร์ ว่า ขณะนี้ได้ทำการเคลื่อนย้ายลงมาทั้งหมดแล้ว โดยใช้เวลาเดินทางสู่พื้นที่ปลอดภัยประมาณ 4 ชั่วโมง ซึ่งบางส่วนพร้อมที่จะเดินทางกลับเนื่องจากมีตั๋วเครื่องบินขากลับอยู่แล้ว ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีความจำเป็นในการสนับสนุนเครื่องบินจากไทยไปรับ

“ส่วนใหญ่เขาไปท่องเที่ยวในลักษณะทัวร์ เขาจึงมีตั๋วเครื่องบินกลับอยู่แล้ว ก็จะมีการติดตามกันต่อไป อย่างไรก็ตามขอชมเชยเจ้าหน้าที่ของไทยที่อยู่ในพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงพื้นที่เกิดเหตุได้โดยเร็ว โดยเฉพาะในส่วนของสถานกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ที่เข้าไปอำนวยการจนเกิดความเรียบร้อย ขณะนี้ไม่มีใครเสียชีวิต” นายกรัฐมตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวย้ำเตือนทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ไปเที่ยวในต่างประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยว่า วันนี้สถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไป การจะไปท่องเที่ยวในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงขอให้ใช้ความระมัดระวัง ติดตามสถานการณ์ต่างๆ ให้ดี

แจงเลื่อนงานเลี้ยงขอบคุณทีมช่วย “หมูป่าฯ”

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงการเลื่อนจัดงานเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ทั้งไทยและต่างประเทศที่เข้ามาช่วยเหลือทีมหมูป่าอะคาเดมี่ออกจากถ้ำหลวง-ขุนนางนอน จังหวัดเชียงราย ว่า ตนได้ตัดสินใจขอให้เลื่อนออกไปก่อน สำหรับการดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่าเดินทาง จะต้องมีการดูแลกันอีกครั้ง ในส่วนที่มีการจองเที่ยวบินไว้แล้วก็ต้องขอโทษกัน แต่เขาก็เข้าใจ เพราะเจ้าหน้าที่อีกหลายคนของไทยต้องเดินทางไปช่วยเหลือกรณีเขื่อนแตกที่ สปป.ลาว อยู่ขณะนี้ ต้องรอให้พร้อมกันก่อนทุกคนจะได้มาร่วมงานที่จัดเป็นเกียรติให้ทุกคน

“วันนี้เรากำลังรวมพลังไปช่วยเหลือ สปป.ลาว ก็เป็นห่วงพี่น้องที่เข้าไปช่วยเหลือเขา ต้องระมัดระวังให้ตนเองปลอดภัยด้วย และต้องคำนึงถึงกฏกติกาของประเทศเขาด้วย อยากฝากให้เรียนรู้ว่าเรามีน้ำใจแล้วต้องเข้าใจแต่ละประเทศด้วยว่าเขามีวิธีการอย่างไรในการดำเนินการแก้ปัญหา” นายกรัฐมนตรีกล่าว

โยน “อังกฤษ” พิจารณาส่งตัว “ยิ่งลักษณ์” กลับไทย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีไทยขอให้ประเทศอังกฤษส่งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยใช้สินธิสัญญาระหว่างสหราชอาณาจักรและสยามปี 1911 ว่า กรณีนี้เป็นการดำเนินการตามขั้นตอนของอัยการสูงสุด กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเขามีหน้าที่ของเขาในการต้องส่ง แต่การที่จะไปจับกุมใครในต่างประเทศเราจับเองไม่ได้ จึงเป็นเรื่องของประเทศนั้นที่จะจับตัวส่งเรา หากเขาไม่ตอบเอกสารมาก็ดำเนินการต่อไม่ได้ จับไม่ได้นั่นคือข้อเท็จจริง

ตราบใดที่รัฐบาลทำครบหลักเกณฑ์ทางกฎหมายแล้วจะได้ตัวหรือไม่ เป็นเรื่องของต่างประเทศที่เขาจะพิจารณาตัดสินใจว่าจะส่งหรือไม่ ซึ่งไทยก็ดำเนินการเช่นนี้เหมือนกัน หากมีคำขอมาก็ต้องพิจารณาว่าจะส่งตัวหรือไม่ ก็มีหลายคดีด้วยกันที่เราดำเนินคดีในประเทศไทย มันเป็นเรื่องของทางนั้น และผมไม่จำเป็นต้องหารือกับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ เพราะเป็นเรื่องของกลไกรัฐที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว ของกระทรวงเขาดำเนินการอยู่” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปัดตอบ ปมจดหมายน้อย ส.ส.ปชป.

ต่อคำถามเรื่องการเขียนจดหมายน้อย ของอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ที่อ้างถึงกองทัพช่วยล้มรัฐบาลที่แล้ว พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากจะตอบ ไม่อยากจะพูด เพราะไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ใครโพสต์อะไรก็ไปว่ากันเอาเอง ไม่ใช่คนของรัฐบาล เขาจะพูดอะไรก็ไปฟังเขาเอาเอง ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็เผยแพร่ไป หากคิดว่าไม่มีประโยชน์ก็อย่าไปเผยแพร่ หลายอย่างในโซเชียลมีเดียถูกนำมาเปิดเป็นประเด็นข่าวขึ้นมา ซึ่งตนคิดว่าบางอย่างไม่เป็นประโยชน์ หากไม่สนใจก็เงียบไป จบไป บางคนออกมาว่ากันไปมา ทุกคนก็ทราบกันดีอยู่

สั่งขยาย “ตลาดประชารัฐ” ช่วยเกษตรกรขายผลผลิต

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงเรื่องตลาดประชารัฐว่า ตนได้มีดำริไปในที่ประชุม ให้หน่วยงานไปช่วยกันคิดว่าจะขยายตลาดประชารัฐหรือตลาดชุมชนได้อย่างไร โดยให้เป็นไปในลักษณะตลาดกลางสำหรับขายผลิตผลทางการเกษตร ให้เกษตรกรนำพืชผลไปขายได้ อยู่ในพื้นที่จังหวัด หรือในอำเภอ

“เราต้องการให้มีตลาดสำหรับค้าส่งของเกษตรกรเอง โดยจะต้องมีการตั้งกลไกขึ้นมาในการบริหาร ขณะเดียวกันเกษตรกรส่วนหนึ่งที่ไม่มีที่ทำกิน ไม่ได้มีรายได้จากการเพาะปลูก ก็ให้มาทำการค้าขายตรงนี้ ให้เกิดเป็นวงจรการขนส่ง หากมีรถก็จะสามารถส่งของให้กับลูกค้าได้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มช่องทางการค้าขายให้เกษตรกรด้วย” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลจะทยอยดำเนินการออกมาตรการช่วยเหลือเกษตรออกมา ทั้งนี้ การดำเนินการจะต้องเป็นตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยต้องอยู่ในกรอบวงเงินที่กำหนด ขออธิบายให้พี่น้องเกษตรกรเข้าใจด้วยว่า การใช้งบประมาณบางอย่างที่ไม่ถูกต้องหรือมากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหา ต้องทำให้เป็นตามกฎหมายด้วย ซึ่งออกมาเพื่อป้องกันการใช้จ่ายงบประมาณซ้ำซ้อนที่ไม่เป็นประโยชน์ ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เราไม่อยากให้เกิดขึ้นต่อไป โดยกล่าวย้ำว่ารัฐบาลนี้ได้ทำทุกอย่างอยู่ในกรอบที่กำหนด

“ขอเรียนไปยังนักการเมือง พรรคการเมืองต่างๆ ด้วย โดยนโยบายในการหาเสียงจะต้องระมัดระวัง ต้องศึกษาด้วย การจะไปสัญญาให้กับใครบางครั้งผิดกฎหมายทำไม่ได้ อยากให้นักการเมืองที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งศึกษากฎหมายใหม่ๆ เหล่านี้ด้วย เพราะเมื่อสร้างรับรู้ที่ผิดๆ ไปแล้วจะเกิดปัญหาในวันหน้า คนรายได้น้อยของเรามีหลายอาชีพ ขอให้ระมัดระวังอย่าตกเป็นเครื่องมือของใครที่บอกว่าจะช่วยตรงนั้นตรงนี้แล้วจะดีขึ้น”

“ช่วงนี้ผมไม่มีการตอบโต้ทางการเมืองกับใครทั้งสิ้น เป็นเรื่องของการทำงานเพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติ ผมเชื่อว่ายังขอความร่วมมือจากสื่อได้ การนำเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับผมมาถามผมจะไม่เกิดความขัดแย้งถ้าผมเผลอตอบไป หรือไม่ตั้งใจตอบ หรือในบางครั้งที่หงุดหงิดไปบ้างก็เป็นการเปิดประเด็นมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมาต้องเรียนรู้ทั้งคนถามและคนตอบ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เมินคำขู่ประท้วงหยุดทำประมง – ยื่นฎีกาฯ ชี้กดดันรัฐบาลไม่ได้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีตัวแทนสมาคมประมงขู่หยุดทำประมงประท้วงรัฐบาลและอาจเดินทางไปยื่นฎีกาถายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หากรัฐบาลไม่ตอบสนองข้องเรียกร้องใน 7 วันว่า ตนไม่อยากให้ใช้คำถามของสื่อถามมา ขู่ว่าจะหยุดทำการประมงและจะยื่นฎีกาถวายฯ กรณีเหล่านี้ไม่ต้องไปขยายความให้เขา

“เขาขู่รัฐบาลไม่ได้อยู่แล้ว เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารต่างๆ ให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามกระบวนการ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงรับฟังความต้องการ ซึ่งจะต้องทำความเข้าใจกันว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ สิ่งที่เขาเสนอขึ้นผมก็รับเรื่องไว้แล้ว และนำสู่การพิจารณา ประเด็นปัญหาต่างๆ อยู่ระหว่างพิจารณาเพื่อดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งกรมประมงกำลังดูเรื่องการซื้อเรือคืน สำหรับปัญหาการขาดแคลนแรงงานประมงนั้นเป็นสิ่งที่ยาก หากจะใช้แรงงานต่างด้าวต้องดูว่าจะควบคุมกันได้อย่างไร ขอเวลารัฐบาลบ้าง ที่ผ่านมาอาจไม่ได้ดูแลในเรื่องเหล่านี้มากนัก จึงทำให้เกิดปัญหาเรื่องการติดตามดูแล ทั้งการค้ามนุษย์ ตลอดจนถึงเรื่องสวัสดิการแรงงาน เพราะต้องดูแลสวัสดิการของแรงงานทุกคนที่ทำงานในประเทศไทยด้วย ตอนนี้จะต้องร่วมมือกันระหว่างรัฐบาลและเอกชน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ ศปมผ. กับคณะทำงานเรื่องไอยูยู กำลังพิจารณาเรื่องนี้เป็นการด่วนอยู่ ส่วนเรื่องการแจ้งเรือเข้าออก PIPO ที่ยังมีปัญหาเรื่องมาตรฐานการตรวจเรือที่ไม่เท่ากัน ทำให้เกิดความไม่เข้าใจ ได้สั่งการให้ ศปมผ. ไปเร่งดำเนินการให้เป็นไปในมาตรฐานเดียวัน สำหรับเรื่องการผลักดันไทยเข้าภาคีขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ โดยเราจะต้องเน้นว่าจะดูแลภาคประมงกับแรงงานได้อย่างไร ขณะเดียวกันจะต้องดูเรื่องการค้ามนุษย์ เรื่องการลักลอบนำแรงงานเข้ามาในประเทศ วันนี้รัฐบาลสามารถจดทะเบียนแรงงานไปได้กว่า 1 ล้านคน ซึ่งไม่เคยทำได้มาก่อน

“แน่นอนว่าต้องมีผลกระทบทั้งสิ้นไม่ใช่ว่ารัฐบาลจะทำไปเอาใจใครโดยไม่นึกถึงคนไทย ต้องนึกถึงคนไทยอยู่แล้ว ผมถึงบอกว่าการจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงกฎหมายเราเองและกฎหมายระหว่างประเทศด้วย เพราะตลาดเราอยู่ต่างประเทศ ถ้าตลาดเราไม่ได้อยู่ต่างประเทศจะทำอะไรก็ไม่ต้องสนใจใครทั้งสิ้น จะทำอะไรก็ทำได้ ต้องเข้าใจตรงนี้ไม่อย่างนั้นวันหน้าจะอยู่กันไม่ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ปลื้ม ไทยได้เป็นเจ้าภาพ “มิสยูนิเวิร์ส 2018” – เน้นเดินสายท่องเที่ยวเมืองรอง

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวถึงกรณีประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ว่า เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่องค์กรนางงามจักรวาล (Miss Universe Organization) มองเห็นถึงศักยภาพของไทย ซึ่งประเทศไทยได้เคยเป็นเจ้าภาพในการจัดประกวดมิสยูนิเวิร์สมาแล้ว 2 ครั้ง ถึงแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ

ทั้งนี้มอบให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงวัฒนธรรมที่ได้รับมอบหมายให้กำกับดูแล อยู่ในช่วงดำเนินการเตรียมจัดการประกวด ซึ่งเงินสนับสนุนส่วนใหญ่คงมาจากภาคเอกชน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่มีรายได้ ซึ่งการประกวดมิสยูนิเวิร์สจะมีการถ่ายทอดไปกว่า 170 ประเทศทั่วโลก ฉะนั้นรายได้จึงจะเกิดกับประเทศ โดยรัฐบาลยินดีและพร้อมสนับสนุน เพื่อให้คนทั่วโลกรู้จักประเทศไทยมากขึ้น โดยจะมีการเก็บตัวในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะเมืองรองของไทยที่มีความสวยงาม และจะเป็นจุดขายด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทยต่อไป

มติ ครม. มีดังนี้

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

ไฟเขียวรถไฟทางคู่ เด่นชัย-เชียงของวงเงิน 8.5 หมื่นล้าน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติโครงการรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ วงเงิน 85,345 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเวรคืน 10,660 ล้านบาท จำนวน 9,611 ไร่ ค่าจ้างที่ปรึกษา 1,764 ล้านบาท และค่าก่อสร้าง 72,921 ล้านบาท แบ่งเป็นสัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว จังหวัดลำปาง วงเงิน 26,704 ล้านบาท, สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย วงเงิน 28,735 ล้านบาท และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ วงเงิน 17,482 ล้านบาท

ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า โครงการรถไฟทางคู่ทั่วประเทศไทยมีระยะทางทั้งสิ้น 4,044 กิโลเมตร ขณะนี้กำลังก่อสร้างเฟส 1 ระยะทาง 993 กิโลเมตร และเฟส 2 รวมกับเส้นทางใหม่ 9 เส้นทางอีก 2,164 กิโลเมตร เมื่อก่อสร้างเสร็จจะเพิ่มโครงข่ายเป็น 80% ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันของประเทศ และในอนาคตที่จะมีการเพิ่มเส้นทางรถไฟสายย่อยเชื่อมระหว่างเมือง และเส้นทางเข้าสู่พื้นที่สำคัญและแหล่งท่องเที่ยวที่ รฟท. อยู่ระหว่างศึกษาจัดทำแผน เช่น เส้นทาง ระนอง-ชุมพร, อุบลราชธานี-ช่องเม็ก เป็นต้น

สำหรับรถไฟ ทางคู่เฟส 2 จำนวน 7 เส้นทางและสายใหม่อีก 1 เส้นทางนั้น ขณะที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ รฟท. และเสนอมากระทรวงคมนาคมแล้ว ซึ่งจะเสนอไปที่คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ต่อไป หากได้รับอนุมัติจะสามารถเสนอ ครม. ได้ครบภายในปีนี้

โดยโครงการดังกล่าวมีระยะทาง 323 กิโลเมตร ระกอบด้วย สถานี 26 สถานี และอุโมงค์รถไฟ 4 แห่ง เริ่มต้นจากจังหวัดแพร่, ลำปาง, พะเยา, เชียงราย ใช้เวลาในเวนคืนที่ดิน 1-2 ปี (ปี 2563-2564) หลังจากประกาศ พ.ร.ฎ.เวนคืน และจะเปิดประมูลหาผู้รับเหมาในปี 2564 เริ่มก่อสร้างปี 2565 ระยะเวลาก่อสร้าง 4 ปี แล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในปี 2568

อย่างไรก็ตามนโยบาย รฟท. จะเร่งรัดปรับแผนงานให้เร็วขึ้น โดยดำเนินการประมูลคู่ขนานกับเวนคืน ซึ่งหลังจากนี้จะเสนอคณะกรรมการกำกับการจัดซื้อจัดจ้าง (ซูเปอร์บอร์ด) ที่มีนายประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นประธาน ให้พิจารณากระบวนการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อความโปร่งใสต่อไป ในขั้นตอนประมูลจะต้องจ้างที่ปรึกษาจัดทำเอกสารประกวดราคาก่อน ส่วนการเวนคืนจะต้องมีการจ้างที่ปรึกษาสำรวจ รายละเอียดอสังหาริมทรัพย์ และประเมินราคาที่ดินด้วย โดยคาดการณ์ผู้โดยสาร ณ ปี 2561 จำนวน 5,614 คนต่อวัน และปริมาณขนส่งสินค้า 2.2 ล้านตันต่อปี มีผลตอบแทนทางเศรษฐกิจและการเงินของโครงการ 12.09% และ -2.02% ตามลำดับ

อนุมัติพักหนี้ – ลดดบ. อุ้มเกษตรกร 10 ล้านราย

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. อนุมัติมาตรการลดภาระหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้เกษตรกรรายย่อยที่เป็นลูกค้าธนาคารเพื่อการเกษตรและสหรกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จำนวน 3.81 ล้านครัวเรือนหรือประมาณ 10 ล้านราย มูลหนี้คงค้าง 650,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น 2 มาตรการ

1) การพักหนี้เงินต้นแก่เกษตรกรทุกรายตมาความสมัครใจ ระยะเวลา 3 ปี ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2561 – 31 กรกฎาคม 2564 และมีเงื่อนไขให้ต้องชำระดอกเบี้ยอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และหากมีภาระหนี้ที่หนักเกินไปสามารถเข้าสู่มาตรการสินเชื่อช่วยเหลือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่กำลังจะออกมาหรือเข้าสู่การปรับโครงสร้างหนี้ได้ อนึ่ง โครงการดังกล่าวเกษตรกรที่สนใจจะต้องไปลงทะเบียนเข้าโครงการ

2) การลดดอกเบี้ย เฉพาะเงินต้น 300,000 บาทแรก เป็นระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2560 – 31 กรกฎาคม 2562 โดยรัฐบาลจะชดเชยดอกเบี้ยให้ 2.5% และ ธ.ก.ส. จะชดเชยอีก 0.5% โดยวงเงินของรัฐบาลจะแบ่งเป็นช่วงเดือนสิงหาคม-เดือนกันยายน 2561 จะใช้งบกลางจากงบประมาณประจำปี 2561 วงเงิน 2,724.85 ล้านบาท และอีก 10 เดือนที่เหลือจะจัดสรรจากงบประมารประจำปี 2562 ซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาแหล่งเงินอีกครั้ง โดยคาดว่าจะใช้วงเงิน 13,580.15 ล้านบาท รวมทั้งสิ้นจะต้องชดเชยประมาณ 16,305 ล้านบาท

เห็นชอบแผนยุทธศาสตร์จัดการแร่ 20 ปี

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการยุทธศาสตร์การบริหารจัดการแร่ 20 ปี (2560-2579) และแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ระยะแรก 2560-2564 ซึ่งจะจัดทำเพิ่มเติมใหม่ทุก 5 ปี เพื่อวางแผนบริหารจัดการในภาพรวมของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดและจัดสรรผลประโยชน์ให้แก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกด้านด้วยความเป็นธรรม โดยมีมาตรการหลักคือการสร้างความมั่นคงให้ไทยเป็นฐานของทรัพยากรแร่และวัตถุดิบเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม จำแนกเขตแหล่งแร่ให้นำแร่มาใช้ประโยชน์อย่างคุ้มค่า สร้างดุลยภาพทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน พัฒนากลไกระบบอนุญาตประทานบัตรการจัดเก็บค่าภาคหลวงอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนเสริมสร้างการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน

จัดงบกลาง 469 ล้าน ฟื้นฟูแหล่งน้ำ 9 จังหวัด 47 โครงการ

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. เห็นชอบโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำ ซึ่งเป็นการดำเนินการระหว่างกองทัพบกกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ที่ได้สำรวจแหล่งน้ำในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้บางส่วน ก่อนหน้านี้ พบว่าต้องฟื้นฟูจำนวน 47 โครงการ ใน 9 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดแพร่ พะเยา พิจิตร สุโขทัย เพชรบูรณ์ นครสวรรค์ บุรีรัมย์ ปราจีนบุรี และ พัทลุง วงเงิน 468.91 ล้านบาทจากงบกลางของงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2560 โดยแบ่งเป็นโครงการในภาคเหนือ 36 โครงการ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 1 โครงการ ภาคกลาง 2 โครงการ และภาคใต้ 8 โครงการ ระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวได้วางแผนดำเนินการขุดลอกตะกอนแหล่งน้ำ ประมาณ 6.89 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมไปถึงแผนงานนำดินไปปรับพื้นที่สาธารณประโยชน์ในบริเวณใกล้เคียงและพื้นที่แก้มลิงเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในช่วงหน้าแล้งเรียบร้อยแล้ว ในการนี้จะประสานกับกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เพื่อดูรายละเอียดโครงการที่จะดำเนินการทั้งหมดว่ามีพื้นที่ทับซ้อนกันหรือไม่ และโครงการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำนี้จะบรรจุอยู่ในแผนบริหารจัดการน้ำของรัฐบาลด้วย

“สืบเนื่องจากการลงพื้นที่ ครม.สัญจรหลายครั้งก็มักจะมีเรื่องโครงการฟื้นฟูแหล่งน้ำเข้ามาตลอด นายกฯ จึงได้สั่งการให้สำรวจและจัดทำเป็นแผนงานทั่วประเทศ เพื่อดำเนินการในครั้งเดียว ซึ่งได้ออกมาตามมติในวันนี้ทั้งสิ้น 47 โครงการ 9 จังหวัด” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

เพิ่มอัตรากำลัง คลัง – BOI รวม 553 คน

รายงานข่าวจากสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีระบุว่า ครม. มีมติอนุมัติการเพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ให้กับกระทรวงการคลัง (กค.) จำนวน 475 อัตรา และสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) จำนวน 78 อัตรา รวมทั้งสิ้น 553 อัตราตามมติคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 และครั้งที่ 2/2561 เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2561 ตามที่สำนักงาน ก.พ. ในฐานะฝ่ายเลขานุการร่วม คปร. เสนอ

ยกระดับจุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา เป็น “จุดผ่านแดนถาวร”

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบตามที่สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอในการยกระดับจุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา ขึ้นเป็นจุดผ่านแดนถาวร โดยให้กระทรวงมหาดไทยออกประกาศที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ ในที่ประชุม หน่วยงานด้านต่างๆ ได้รายงานความพร้อมของการยกระดับ รายละเอียดดังนี้

  • ด้านความมั่นคงได้รับรองและยืนยันว่าในพื้นที่ไม่มีปัญหาเรื่องเส้นแบ่งเขตแดน, อาวุธสงคราม กับระเบิด, การค้ามนุษย์, ชนกลุ่มน้อย, บุคคลสองสัญชาติ, การลักลอบเข้าเมือง
  • ด้านคมนาคมนั้น ได้เริ่มมีการพัฒนาทางหลวงหมายเลข 1093 ไว้ตั้งแต่ปี 2556 จนถึงปัจจุบัน รวม 12 โครงการ และการพัฒนาถนนสายบ้านฮวก-กิ่วหก ซึ่งขณะนี้โครงการดังกล่าวบรรจุอยู่ในแผนงานประจำปีงบประมาณ 2562 ของกรมทางหลวงแล้ว
  • ด้านศุลกากร เชียงของ และการตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดพะเยา ได้แจ้งความพร้อมในการจัดอัตรากำลังบุคคลเพื่อเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ และกำหนดแผนการดำเนินงาน โดยเชื่อมโยงฐานข้อมูลการสัญจรข้ามแดน แผนปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดตามกฎหมายศุลกากร ทเพื่อให้สามารถป้องกันการลักลอบเข้าเมือง และปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ

ทั้งนี้ สำหรับสถิติการค้าชายแดนที่จุดผ่อนปรนการค้าบ้านฮวก ตั้งแต่ปี 2556-2560 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 1,386 ล้านล้านบาท คิดเป็น 85.46% ของมูลค่าการค้าทั้งหมด และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนปริมาณการเดินทางเข้า-ออก นับตั้งแต่ปี 2556-2560 มีประชาชนไทยและลาว เดินทางเข้า-ออก บริเวณจุดผ่อนปรนบ้านฮวก รวมทั้งสิ้นประมาณ 2.15 แสนคน และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต

“ในการยกระดับจุดผ่านแดนชั่วคราวบ้านฮวกให้เป็นจุดผ่านแดนถาวรของไทย และยกระดับด่านท้องถิ่นบ้านปางมอนเป็นด่านสากลของลาวนั้น จะมีการทำพิธีเปิดด่านของทั้ง 2 ประเทศพร้อมกันในวันที่ 8 ส.ค. นี้” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

“อดุลย์ แสงสิงแก้ว” โชว์ผลงานดึงแรงงานต่างด้าวเข้าระบบกว่า 1 ล้านราย

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า วันนี้ในที่ประชุม ครม. พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รายงาน ครม. ถึงการดำเนินการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ซึ่งเริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ – 31 มีนาคม 2561 เป้าหมายแรงงานต่างด้าว 1,379,252 คน ในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2561 มีแรงงานต่างด้าวมาจัดทำทะเบียนประวัติเป็นจำนวนมาก กระทรวงแรงงานจึงได้ขอมติ ครม. เพิ่มเวลาการทำงานของเจ้าหน้าที่ถึง 30 มิถุนายน 2561 สามารถดำเนินการได้จำนวน 1,320,035 คน คิดเป็น 96 เปอร์เซ็นต์ แบ่งเป็นแรงงานที่ดำเนินการครบทุกขั้นตอนจำนวน 840,736 คน และแรงงานที่ต้องดำเนินการขั้นตอนต่อไป จำนวน 348,022 คน

ที่มาภาพ: สไลด์ประกอบการแถลงข่าว กระทรวงแรงงาน

นอกจากนี้กระทรวงแรงงาน ได้เปิดศูนย์ OSS ระยะ 2 ขึ้นทุกจังหวัด และในกรุงเทพมหานคร 4 แห่ง โดยดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน – 30 มิถุนายน 2561 สามารถดำเนินการได้ 347,067 คน คิดเป็น 99.72 เปอร์เซ็นต์ จากผลการดำเนินงาน ทำให้มีข้อมูลแรงงานต่างด้าวเข้าสู่ระบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย จำนวน 1,187,803 คน คิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือ 10 เปอร์เซ็นต์ วิเคราะห์ได้ว่ามีการเปลี่ยนสถานะเป็น MOU ทำงานไป-กลับโดยใช้ border pass เดินทางกลับประเทศ ประกอบกับนายจ้างไม่นำลูกจ้างมาดำเนินการ

เห็นชอบ เอกสารประชุม รมต.ต่างประเทศอาเซียน

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม. เห็นชอบต่อเอกสารผลลัพธ์การประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 51 และการประชุมระดับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ซึ่งการประชุมครั้งนี้จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2561 ที่ประเทศสิงคโปร์ โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้เข้าร่วมประชุมในนามของรัฐบาล สำหรับร่างเอกสารที่จะมีการแถลงการณ์นั้นจะมีทั้งสิ้น 10 เอกสาร

โดยร่างแถลงการณ์ฉบับแรกเป็นร่างแถลงการณ์ร่วมของการประชุม ซึ่งจะดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลักอาเซียน คือประชาคมการเมือง และความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน ร่างที่ 2 เป็นร่างแถลงการณ์ของรัฐมนตรีอาเซียนและรัสเซียว่าด้วยความร่วมมือด้านความมั่นคงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตในการก่อการร้าย ส่วนเอกสารฉบับที่ 3-10 นั้น จะเป็นแถลงการณ์ร่วมของการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF)

ตั้ง “ลวรณ แสงสนิท” นั่งผู้อำนวยการ สศค.

รายงานข่าวจากสํานักโฆษก สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ครม. มีมติแต่งตั้ง นายลวรณ แสงสนิท ผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 เป็นต้นไป เพื่อทดแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการและสับเปลี่ยนหมุนเวียน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป

เปิดไลน์ “ข่าวจริงประเทศไทย” ป้องกันบิดเบือนข่าว

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายวิษณุ เครืองาม) เป็นประธาน ได้มอบหมายให้กรมประชาสัมพันธ์จัดทำ Official LINE “ข่าวจริงประเทศไทย” ขึ้น ทั้งนี้ เดิมไลน์ดังกล่าวได้ดำเนินการเพื่อให้บริการประชาชนสำหรับรับทราบข้อมูลในการเดินทางมาร่วมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งมีสมาชิกอยู่ประมาณ 150,000 คน ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วได้มีการสอบถามสมาชิกไลน์ดังกล่าวไป พบว่ายังต้องการรับบริการเช่นเดิม จึงได้ประสานไปยัง LINE ประเทศไทย เพื่อเปลี่ยนชื่อ Official LINE เป็น “ข่าวจริงประเทศไทย” โดยปัจจุบันมีสมาชิกจำนวนทั้งสิ้น ประมาณ 220,000 ราย

หากผู้ใดสนใจสามารถเข้าไปเป็นสมาชิกในไลน์ดังกล่าวได้ โดยจะมีการส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่น่าสนใจให้อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องนโยบาย การชี้แจงข้อมูลต่างๆ ที่มีการบิดเบือน ตลอดจนข้อมูลข่าวสารทั่วไปที่ประชาชนให้ความสนใจ เช่น เรื่องอาหาร และสุขภาพ เป็นต้น โดยวันนี้ นายกรัฐมนตรี ได้ขอให้คณะรัฐมนตรีทุกคนเป็นสมาชิกไลน์ “ข่าวจริงประเทศไทย” เรียบร้อยแล้ว

อ่านมติ ครม. ประจำวันที่ 31 กรกฎาคม 2561 เพิ่มเติม