ThaiPublica > เกาะกระแส > ธปท.ปลดล็อคเอกชนทำ “ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ” กับแบงก์ไม่ต้องใช้เอกสาร -ครึ่งปีหลังทบทวนกฎระเบียบธนาคารพาณิชย์เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล

ธปท.ปลดล็อคเอกชนทำ “ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ” กับแบงก์ไม่ต้องใช้เอกสาร -ครึ่งปีหลังทบทวนกฎระเบียบธนาคารพาณิชย์เดินหน้าสู่ยุคดิจิทัล

1 มิถุนายน 2018


เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2561 ดร.วิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่าตามที่ ธปท. ได้เริ่มโครงการการปฏิรูปและผ่อนคลายกฎเกณฑ์การควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน (FX Regulations Reform) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2560 โดยเริ่มจากเพิ่มทางเลือกซื้อขายและโอนเงินรายย่อย เพิ่มทางเลือกในการลงทุนต่างประเทศให้แก่นักลงทุนไทย ปรับลดเอกสารการโอนเงินออกนอกประเทศ ยกเลิกการกรอกแบบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศและเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าสามารถยื่นเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ได้ ซึ่งช่วยลดขั้นตอนการเตรียมเอกสาร ลดต้นทุน และลดระยะเวลาในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ รวมทั้งสนับสนุนให้การทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของภาคเอกชนสะดวกรวดเร็วมากขึ้น (Ease of doing business)

การปฏิรูปที่สำคัญอีกด้าน ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ คือการอนุญาตให้บริษัทและกลุ่มบริษัทที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด (Qualified Company) สามารถทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับธนาคารพาณิชย์ได้โดยไม่ต้องแสดงเอกสารประกอบการทำธุรกรรมหลายรายการ เช่น ใบกำกับสินค้า สัญญาเงินกู้หรือหลักฐานแสดงภาระอื่น ๆ ซึ่ง Qualified Company จะต้องมีนโยบายการกำกับดูแล และการตรวจสอบการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่รัดกุมจากผู้บริหารระดับสูงของบริษัท โดย ธปท. จะติดตามพฤติกรรมการทำธุรกรรมของ Qualified Company ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytic) แทนการพิจารณารายรายการ

“วันนี้ ธปท. ได้ให้ความเห็นชอบให้บริษัท 5 ราย เป็น Qualified Company และให้มีศูนย์บริหาร เงิน (Treasury Center) 1 ราย ขยายขอบเขตการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศให้ครอบคลุมสิทธิที่ Qualified Company ได้ด้วย ซึ่งจะสามารถทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศได้กว้างกว่าขอบเขตที่ Treasury Center ได้รับในปัจจุบัน จึงถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นมิติใหม่ของการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศของภาคเอกชนไทย ธปท. เล็งเห็นประโยชน์และความสนใจของภาคเอกชนต่อโครงการนี้ จึงขยายช่วงเวลายื่นขอความเห็นชอบออกไปจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 และปรับเปลี่ยนเกณฑ์คุณสมบัติให้สอดคล้องกับรูปแบบการดำเนินธุรกิจของทั้งบริษัทไทยและบริษัทข้ามชาติที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยมากยิ่งขึ้น โดย ธปท. จะติดตามผลของโครงการ และจะพิจารณาขยายการผ่อนคลายดังกล่าวให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบธุรกิจในวงที่กว้างขึ้นต่อไปด้วย” ดร.วิรไท กล่าว

สำหรับครึ่งหลังของปี 2561 จะเข้าสู่ระยะที่สองของการปฏิรูปกฎเกณฑ์ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน ที่มุ่งเน้นกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) และบุคคลรายย่อยให้สามารถบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศมีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น เช่น การปรับปรุงหลักเกณฑ์และลดเอกสารประกอบการทำธุรกรรม การรวมประเภทบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (Foreign Currency Deposits – FCD) ซึ่งปัจจุบันมีอยู่หลายประเภทเข้าด้วยกัน และการผ่อนคลายการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศโดยไม่ผ่านตัวแทนการลงทุน นอกจากนี้ ยังจะได้ผ่อนคลายหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และธุรกิจโอนเงินระหว่างประเทศ ทั้งในด้านคุณสมบัติและรูปแบบการให้บริการ เพื่อรองรับการให้บริการรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้น และเพิ่มทางเลือกในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ ซึ่ง ธปท. จะได้นำเสนอแผนการผ่อนคลายเหล่านี้ต่อกระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาต่อไป

“นอกจากเรื่องของกฎหมายการแลกเปลี่ยนเงิน ในช่วงครึ่งปีหลังธปท.จะทบกวนกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์เพื่อลดต้นทุนธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเชื่อว่าจะส่งผ่านไปยังทั้งของเอสเอ็มอี ลูกค้านักลงทุนได้ รวมทั้งเปิดช่องให้ธนาคารพาณิชย์สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกรรมใหม่ๆที่เกี่ยวข้องอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะแก้ไขกฎระเบียบให้เอื้อกับการทำธุรกรรมในรูปแบบดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะกฎระเบียบเดิมที่จะอ้างอิงเอกสารหลักฐานที่เป็นกระดาษก็จะปรับแก้ และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นแก้กระบวนการขอสินเชื่อให้มีความเป็นอิเล็กทรอนิกส์ทั้งแต่การพิสูจน์ตัวตน เรื่องของเอกสาร เรื่องการค้ำประกัน ฯลฯ ซึ่งจะนำไปสู่ระบบการปล่อยสินเชื่อบนข้อมูลได้ดีขึ้น โดยหลังจากนี้จะเริ่มทบทวนรวมกันกับทั้งภาคเอกชน นักลงทุน เอสเอ็มอี เหมือนตอนที่ทบทวนเรื่องกฎระเบียบการแลกเปลี่ยนเงินตรา โดยธปท.จะมีการศึกษาไว้ระดับหนึ่ง ขณะที่การหารือจะต้องดูทางเลือกว่าการแก้ระเบียบต่างๆมีความเสี่ยงหรือมีประโยชน์มากน้อยอย่างไร ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเดือนกันยายน 2561 ก่อนจะจัดทำเป็นกฎระเบียบต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะต้องหารือข้อกฎหมายและแนวปฏับัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วย” ดร.วิรไท กล่าว

นางสาววชิรา อารมย์ดี ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. ได้เปิดเผยรายชื่อบริษัทที่ได้รับความเห็นชอบจาก ธปท. ภายใต้โครงการ Qualified Company เป็นกลุ่มแรก จำนวน 5 บริษัท และศูนย์บริหารเงิน 1 ราย ได้แก่

1. บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)
2. บริษัท เอ็นเอ็มบี-มินีแบ ไทย จำกัด
3. บริษัท โคเวสโตร (ประเทศไทย) จำกัด
4. บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด
5. บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน)
6. บริษัท มิตรผล เทรชเชอรี่ เซ็นเตอร์ จำกัด

โดยกล่าวว่า ธปท. จะกำกับดูแล Qualified Company โดยวิเคราะห์ความสอดคล้องของการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศกับแผนธุรกิจและนโยบายบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนของ Qualified Company หากพบความไม่สอดคล้อง ธปท.จะมีการหารือกับบริษัท และพิจารณาทบทวนการให้ความเห็นชอบเป็น Qualified Company แก่บริษัทนั้น ๆ ตามความเหมาะสม สำหรับการผ่อนคลายเกณฑ์คุณสมบัติของบริษัทและกลุ่มบริษัทที่สามารถยื่นขอความเห็นชอบเป็น Qualified Company ต่อ ธปท. มีรายละเอียดสรุปได้ดังนี้

1) ผ่อนคลายคุณสมบัติของบริษัทและกลุ่มบริษัทด้านปริมาณธุรกรรมการค้าการลงทุนระหว่างประเทศและธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศอื่น ๆในช่วง 3 ปีที่ผ่านมารวมกัน จากไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่า
2) ยกเลิกข้อกำหนดการทำธุรกรรมที่แต่เดิมบริษัทต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อชำระสินค้าบริการและการลงทุนหรือกู้ยืมประกอบด้วย จึงจะสามารถดำเนินการได้เป็นการทำธุรกรรมเพื่อวัตถุประสงค์เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็พอได้แก่ ค่าสินค้าบริการ การรับเงินลงทุนหรือการลงทุนในกิจการในต่างประเทศ การให้กู้ยืมหรือกู้ยืมจากกิจการในต่างประเทศ หรือธุรกรรมอนุพันธ์ที่มีการยื่นขออนุญาตจาก ธปท. กรณีหนึ่งกรณีใดที่กล่าวมาข้างต้น
3) ขยายระยะเวลาการยื่นขอความเห็นชอบไปอีก 6 เดือน จนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 2561 บริษัทหรือกลุ่มบริษัทที่สนใจเข้าร่วมโครงการ สามารถสอบถามรายละเอียดและขั้นตอนการสมัครได้จากธนาคารพาณิชย์ทุกธนาคาร ซึ่งจะเป็นผู้ดำเนินการยื่นขอความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป