ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “รวบลูก ‘วรกร’ พกโคเคน ‘กรณ์’ หวังสังคมให้อภัย” และ “เคมบริดจ์ อนาไลติกา ปิดกิจการ”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “รวบลูก ‘วรกร’ พกโคเคน ‘กรณ์’ หวังสังคมให้อภัย” และ “เคมบริดจ์ อนาไลติกา ปิดกิจการ”

5 พฤษภาคม 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 27 เม.ย. – 4 พ.ค. 2561

  • รวบลูก “วรกร” พกโคเคน “กรณ์” หวังสังคมให้อภัย
  • ทีดีอาร์ไอชงกรมการขนส่งทางบก ปรับค่าแท็กซี่ เริ่ม 40 บาท
  • เล็งทยอยเลิกสำเนาเอกสารต่างๆ แค่โชว์บัตร ปชช. ก็ขอรับบริการได้
  • สปส. คืนสิทธิผู้ประกันตน ม.39 เช็คด่วน
  • เคมบริดจ์ อนาไลติกา ปิดกิจการ
  • รวบลูก “วรกร” พกโคเคน “กรณ์” หวังสังคมให้อภัย

    ที่มาภาพ: เฟซบุ๊ก Korn Chatikavanij (http://bit.ly/2HVNoEO)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า ช่วงเช้าของวันที่ 3 พ.ค. 2561 ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายป้องกันและปราบปราม สถานีตำรวจนครบาล (สน.) ทองหล่อ กำลังตั้งด่านตรวจค้นสิ่งผิดกฎหมายบริเวณหน้าอาคารโอเชี่ยนทาวเวอร์ 1 ถนนรัชดาภิเษก แขวงและเขตคลองเตย กทม. พบรถแท็กซี่คันหนึ่งขับเข้ามาโดยมีผู้โดยสารมาด้วย ซึ่งผู้โดยสารนั้นท่าทางมีพิรุธคล้ายผู้เสพสารเสพติด เจ้าหน้าที่จึงเรียกเพื่อขอเข้าตรวจสอบ และจากการตรวจค้น พบถุงพลาสติกใสขนาดเล็กที่ภายในบรรจุโคเคน น้ำหนัก 0.920 กรัม พร้อมด้วยหลอดสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย ทางเจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวมาผู้โดยสารรายนี้มาสอบสวนเพิ่มเติมที่ สน.ทองหล่อ ซึ่งผู้โดยสารรายนี้ก็คือนายพันธิตร มหาเปารยะ อายุ 27 ปี ลูกเลี้ยงของ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังนั่นเอง

    ต่อมา นายกรณ์ จาติกวณิช ได้โพสต์ข้อความถึงเรื่องดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กของตนเองว่า

    “ต้องขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งมาให้ผมและภรรยานะครับ ในฐานะคนในครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อติ๊งได้ออกมาขอโทษและให้คำมั่นว่าจะปรับปรุงตัวเอง เราก็ต้องให้โอกาสและความช่วยเหลือ นอกจากนั้นก็คือปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายตามปกติ เมื่อคืนเขาก็นอนในห้องขังอยู่หนึ่งคืน คงจะได้คิดอะไรบ้าง และเท่าที่ทราบเจ้าตัวเขาก็ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยดี วันนี้หากศาลกรุณาเราก็คงไปประกันตัวเขาออกมาและรอฟังคำสั่งศาลต่อไป

    ในฐานะที่ติ๊งเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว ผมอยากจะขอโทษแทนน้องเขา บทเรียนครั้งนี้น่าจะทำให้เขาโตขึ้น และหวังว่าสังคมจะให้โอกาสเขาในอนาคต หลังจากกระบวนการทางกฏหมายต่างๆ สิ้นสุดแล้ว หากมีข้อเสนอแนะใด ที่ผมในฐานะพ่อเลี้ยงและหัวหน้าครอบครัวคนหนึ่งพึงกระทำอีก ผมพร้อมเปิดใจรับฟังนะครับ ด้วยความขอบคุณ”

    สำหรับความคืบหน้าทางกฎหมายนั้น เว็บไซต์เนชั่นทีวีรายงานว่า นายพันธิตรรับว่ายาเสพติดของกลางดังกล่าวเป็นของตนเองจริง ซื้อมาในราคาประมาณ 1,000 บาท จึงได้แจ้งข้อหาและจับกุมตัวพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ฐานมีโคเคน ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ไว้ในครอบครองฯ ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7 (2), 17 วรรคแรก,69 วรรคแรก, 102 ซึ่งในชั้นจับกุมและสอบสวน นายพันธิตรให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา และต่อมา เจ้าหน้าที่ก็ได้พาตัวนายพันธิตรมาที่ศาลอาญากรุงเทพใต้เพื่อยื่นคำร้องฝากขังครั้งแรก เป็นเวลา 12 วัน คือ ตั้งแต่วันที่ 4-15 พ.ค. 2561 เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น ยังต้องสอบพยานอีก 4 ปาก รอผลตรวจพิสูจน์ของกลาง และรอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนก็ได้คัดค้านการให้ประกันตัวผู้ต้องหาชั้นฝากขังด้วย

    อย่างไรก็ดี ทางญาติของนายพันธิตรได้ยื่นหลักทรัพย์ขอปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งศาลก็ได้อนุญาตโดยตีวงเงินประกันตัวอยู่ที่ 10,000 บาท และไม่ได้กำหนดเงื่อนไขใดๆ สำหรับการปล่อยตัวชั่วคราว พร้อมทั้งกำหนดให้นายพันธิตรมารายงานตัวในวันที่ 49 หลังครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 4 ซึ่งก็คือวันที่ 21 มิ.ย. 2561

    ทีดีอาร์ไอชง ขบ. ปรับค่าแท็กซี่ เริ่ม 40 บาท

    เว็บไซต์ไทยโพสต์รายงานว่า นายสุเมธ องกิตติกุล นักวิชาการชำนาญการขนส่ง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เปิดเผยถึงผลการศึกษาแนวทางการปฏิรูปแท็กซี่ ว่า จะสามารถสรุปเสนอไปยังกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) พิจารณาในเดือน พ.ค. 2561 โดยเบื้องต้นจะปรับโครงสร้างราคาแท็กซี่กำหนดค่าบริการเริ่มต้นจากเดิม 35 บาท เป็น 40 บาท ช่วง 2 กม. แรก

    นอกจากนี้ จะปรับอัตราการคิดราคาค่าโดยสารแบบใหม่ อิงรูปแบบในต่างประเทศ โดยการแยกค่าใช้จ่ายเป็น 2 ส่วน คือ 1. ค่าโดยสารตามระยะทาง 2. เวลาในการเดินทาง จากเดิมที่คิดค่าโดยสารตามระยะทางและความเร็วของยานพาหนะ เนื่องจากปัจจุบันแท็กซี่จำนวนมากที่ต้องการเลี่ยงพื้นที่รถติดเพราะสูญเสียรายได้ 20-30% ส่งผลให้เกิดปัญหาการปฏิเสธผู้โดยสาร

    สำหรับแนวทางใหม่จะคิดราคาตามเวลาที่เดินทางจริงเพื่อแก้ข้อบกพร่องดังกล่าว อย่างเช่น ผู้โดยสารใช้บริการแท็กซี่ระยะทาง 5 กม. มีค่าโดยสารตามระยะทาง 50 บาท แต่ช่วงดังกล่าวมีปัญหารถติดเสียเวลาเดินทางมากกว่าเวลาปกติ 15 นาที ก็อาจจะคิดเพิ่มไปอีกนาทีละ 1 บาท ทำให้ผู้โดยสารต้องจ่ายค่าโดยสารทั้งหมด 65 บาท เป็นต้น

    อย่างไรก็ตาม คาดว่าแนวทางดังกล่าวนั้นไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายใหม่ทั้งหมด เพียงแค่แก้กฎกระทรวงเพื่อบังคับใช้ ดังนั้น หาก ขบ. พิจารณาเห็นชอบจะเสนอเข้าสู่กระทรวงคมนาคมเพื่อบังคับใช้ให้ได้ภายในปลายปีนี้

    นายสุเมธ กล่าวว่า การใช้วิธีคิดราคาแบบใหม่นั้นทำให้สามารถคำนวณราคาได้ดีกว่าของเดิม อีกทั้งยังเป็นธรรมกับผู้ให้บริการอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันรายได้ของคนขับแท็กซี่ต่อวันเมื่อหักต้นทุนแล้วจะอยู่ที่ราว 300-400 บาท เท่ากับค่าแรงขั้นต่ำปกติ ส่งผลให้กิจการแท็กซี่ไม่มีการแข่งขันเพื่อยกระดับบริการให้กับประชาชน

    เล็งทยอยเลิกสำเนาเอกสารต่างๆ แค่โชว์บัตร ปชช. ก็ขอรับบริการได้

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (https://goo.gl/RK6Pgo)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์รายงานว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปเพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยได้ติดตามความก้าวหน้า การเป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) รายงานว่า เดือน พ.ค. 2561 นี้จะระบุตำแหน่งจุดให้บริการประชาชน 40,000 จุดบริการ ตามคู่มือสำหรับประชาชนใน info.go.th ขณะที่ในเดือน ส.ค. 2561 ก็จะยกเลิกสำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน จากหน่วยงานผู้ให้บริการภาครัฐ พร้อมเปิดใช้แอปพลิเคชันบอกข้อมูลบริการ จากนั้นเดือน ต.ค. 2561 จะยกเลิกการใช้สำเนาหนังสือรับรองนิติบุคคล และเดือน ม.ค. 2562 เปิดใช้ระบบ Citizen Feedback เพื่อให้ประชาชนประเมินความพึงพอใจในการใช้บริการ แสดงความคิดเห็นและข้อร้องเรียน

    นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวส่งผลให้นับจากนี้ไปประชาชนเพียงแค่โชว์บัตรประชาชนในการขอรับบริการเท่านั้น เพราะข้อมูลต่างๆ มีการเชื่อมโยงกันหมดแล้ว ต่อไปจะพัฒนาไปถึงขั้นไม่จำเป็นต้องโชว์บัตร เพียงแค่บอกหมายเลขบัตรประชาชน 13 หลักเท่านั้น และการยกเลิกทำให้ประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายในการถ่ายสำเนาเอกสาร

    สปส. คืนสิทธิผู้ประกันตน ม.39 เช็คด่วน

    เว็บไซต์คมชัดลึกรายงานว่า สำนักงานประกันสังคม (สปส.) แจ้งผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่สิ้นสภาพ ขณะนี้ประกาศคืนสภาพแล้ว เลขาธิการ สปส. เผย ร่อนหนังสือแจ้งผู้ประกันตนที่อยู่ในข่ายที่สิ้นสภาพแล้ว 7.7 แสนคน แนะผู้ประกันตนรีบเช็คสิทธิตนเองก่อนส่งเงินสมทบ เพื่อคืนสภาพได้ที่ www.sso.go.th สายด่วน 1506 บริการ 24 ชั่วโมง/สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 19 เม.ย. 2562
     
    นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง การดำเนินการคืนสภาพผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่สิ้นสภาพการเป็นผู้ประกันตน ได้กลับเข้าสู่ระบบประกันสังคมอีกครั้ง ว่า พระราชบัญญัติการกลับเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 20 เมษายน 2561 โดยตัวเลขล่าสุดมีผู้ประกันตนมาตรา 39 ที่สิ้นสภาพ จำนวน 777,228 คน (ข้อมูล ณ วันที่ 26 เม.ย.2561) อยู่ในข่ายได้รับการคืนสภาพให้กลับเป็นผู้ประกันตนเช่นเดิม
     
    สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 กลุ่มดังกล่าว สามารถตรวจสอบสิทธิการ คืนสภาพก่อนยื่นส่งเงินสมทบได้ที่ www.sso.go.th หรือโทรสายด่วน 1506 บริการ 24 ชั่วโมง หรือติดต่อที่ สำนักงานประกันสังคมทุกแห่งทั่วประเทศ 
     
    อย่างไรก็ดี สำนักงานประกันสังคม ได้มีหนังสือแจ้งเรื่องการกลับเป็นผู้ประกันตนที่สิ้นสภาพไปแล้ว โดยผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถยื่นคำขอได้ ณ สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขาทุกแห่ง หรือทางไปรษณีย์ (แนบแบบ สปส. 1-20/1) หรือทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่บัดนี้จนถึง 19 เมษายน 2562
     
    ทั้งนี้ ผู้ประกันตนจะต้องชำระเงินสมทบเดือนละ 432 บาท ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติให้กลับเป็นผู้ประกันตน หากผู้ประกันตนประสงค์ชำระเงินสมทบโดยวิธีหัก ผ่านบัญชีธนาคารให้แนบสำเนาหน้าสมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ที่มีชื่อและเลขที่บัญชี มาติดต่อได้ที่สำนักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่/จังหวัด/สาขา ทุกแห่งทั่วประเทศ 

    เคมบริดจ์ อนาไลติกา ปิดกิจการ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วิกิพีเดีย (https://goo.gl/34xSqY)

    เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานโดยอ้างสำนักข่าวต่างประเทศว่า “เคมบริดจ์ อนาไลติกา” (Cambridge Analytica) บริษัทที่ปรึกษาทางการเมืองชื่อดัง ประกาศปิดกิจการเมื่อวันพุธตามเวลาท้องถิ่น หลังจากกรณีอื้อฉาวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาด้วยการนำข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 87 ล้านคนไปใช้ในการเอื้อประโยชน์ในการเลือกตั้งของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา

    โดย Clarence Mitchell โฆษกบริษัทฯ ได้ออกแถลงการณ์บนเว็บไซต์โดยระบุว่า “ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ตกเป็นจำเลยในข้อกล่าวหาหลายอย่าง ถึงแม้บริษัทจะพยายามแก้ไข และยืนยันว่าบริษัทนั้นได้ทำตามหลักของกฎหมาย และเป็นไปตามหลักจริยธรรม แต่การรายงานข่าวของสื่อนั้นได้ทำให้บริษัทเสียลูกค้าไปเพราะสูญเสียความเชื่อมั่น เป็นผลให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้”

    นอกจากนี้ในแถลงการณืยังระบุอีกว่า SCL Elections บริษัทแม่ของเคมบริดจ์ อนาไลติกา ก็จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการยื่นข้อล้มละลายเช่นเดียวกัน

    ทั้งนี้หลังจากเกิดกรณีดังกล่าวขึ้น “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอเฟซบุ๊ก ก็ได้เข้าให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการยุติธรรมและพาณิชย์ วุฒิสภา สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงต้นเดือน เม.ย. 2561 ที่ผ่านมา และได้เพิ่มระบบป้องกันความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้มากยิ่งขึ้น