ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯตั้ง “สนธยา คุณปลื้ม” นั่ง “กุนซือ” – มติ ครม. แก้ พ.ร.บ.หวย เปิดช่องออกสลากรูปแบบใหม่

นายกฯตั้ง “สนธยา คุณปลื้ม” นั่ง “กุนซือ” – มติ ครม. แก้ พ.ร.บ.หวย เปิดช่องออกสลากรูปแบบใหม่

17 เมษายน 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)
ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน โดยนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมภายหลังการตอบคำถามสื่อมวลชนว่า เรื่องใดก็ตามที่เป็นความขัดแย้งหลังสงกรานต์นี้ รัฐบาลขอให้พวกเรานำพาประเทศให้ผ่านพ้นช่วงเวลาสำคัญช่วงนี้ไปให้ได้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้ง หากไม่สงบเรียบร้อยเราจะทำอะไรกันต่อไปได้ วันหน้าก็จะเกิดความวุ่นวายสับสนอลหม่านเหมือนเดิม ฉะนั้นขอว่าจะเสนอข่าวอะไรขอให้เสนอสองทาง อย่าไปลองตัดสินว่านั่นนี่ผิดถูกเพราะบางทีมันไม่ใช่ เนื่องจากข้อมูลไม่ตรงกัน ข้อมูลของภาครัฐเยอะกว่าอยู่แล้วถึงได้ทำงานนั่นนี่ค่อนข้างตรงความต้องการของประชาชน ไม่อยากให้ไปฟังคำพูดคำกล่าวอะไรจากภายนอกมากนัก

นอกจากนี้ ได้ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากกรมอุตุนิยมวิทยา ในเรื่องของพายุโซนร้อน ที่อาจเกิดวาตภัยได้ ซึ่งตนมีความเป็นห่วงในเรื่องของระบบระบายน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้การจราจรติดขัดได้

“ทุกคนเราอยู่ในสถานการณ์เดียวกันมาตลอด วันนี้ก็อยากให้กลับไปมองว่ารัฐบาลพยายามแก้ปัญหาอยู่ทุกวัน แต่อยากให้เข้าใจว่าการแก้ปัญหาที่ซับซ้อน เกิดขึ้นมาเป็นเวลายาวนานนั้นมันไม่ง่ายนักหรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายคนมีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารราชการแผ่นดินในช่วงที่ผ่านมาทั้งสิ้น รัฐบาลนี้ทำสนองตอบทุกคนทั้งประชาชน การเมือง นักการเมืองที่เคยทำไม่ได้ เราก็ทำให้มันได้ ส่วนที่ดีเราทำขนาดนี้ แล้วจะมาติติงอะไร” นายกรัฐมนตรี กล่าว

แนวโน้มแก้ “ไอยูยู” ดีขึ้น – ชื้มีเวลาเหลือ 3 เดือน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีในสัปดาห์ที่แล้วผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ที่ยังมีข้อกังวลเรื่องของกองเรือประมงเถื่อนที่ยังตรวจสอบไม่ได้ ในภารกิจตรวจสอบการทำงานแก้ปัญหาประมงไอยูยูของรัฐบาล ว่า วันนี้ยังไม่ได้รับรายงานเป็นลายลักษณ์อักษรมา แต่เท่าที่ทราบทุกอย่างมีแนวโน้มไปในทางที่ดีขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงมีเวลาอีกประมาณ 3 เดือนที่จะต้องแก้ไขเรื่องต่างๆ ที่ยังคงมีปัญหาอยู่บ้างให้เรียบร้อย ซึ่งในช่วงบ่ายของวันนี้จะมีการประชุมของรองนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลเรื่องนี้ แก้ปัญหาที่ยังคั่งค้างอยู่ และรอผลการตรวจสอบอีกครั้งที่เขาจะแจ้งเรากลับมา

ยังไม่ใช้ ม.44 แก้ปัญหาทีวีดิจิทัล

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีการออกคำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลและโทรคมนาคม ว่า เรื่องดังกล่าวก็อยู่ระหว่างการพิจารณาอยู่ในการช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลและโทรคมนาคม ยังไม่มีการออกคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น เรื่องดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ทังนี้ตนอยากให้แยกการพิจารณาเรื่องดังกล่าวเป็น 2 กรณี 1) ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล และ 2) เรื่องของคลื่นความถี่ ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตอบคำถามของสังคมให้ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่ามันก็มีผลทางเศรษฐกิจไปด้วย เพราะเรื่องเกี่ยวพันกันไปหลายอย่าง ทั้งนี้ขอให้ติดตามต่อไปแล้วกัน

นายกฯ ตั้งสนธยา นั่ง”กุนซือ”อ้างไม่รู้เรื่องการเมือง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีแต่งตั้งนายสนธยา คุณปลื้ม หัวหน้าพรรคพลังชล เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ว่า เป็นการแต่งตั้งตามขั้นตอน โดยตนในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีเป็นผู้อนุมัติให้นำเข้าสู่ที่ประชุม ครม. ก่อนมีมติออกมา ซึ่งเมื่อเจ้ากระทรวงและรองนายกรัฐมนตรีเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมให้เข้ามาทำหน้าที่ และเมื่อตรวจสอบแล้วไม่พบว่าจะมีปัญหาขัดกฎหมาย จึงมีมติแต่งตั้งได้

เมื่อถามว่าคุณสมบัติอะไรที่เหมาะสม จึงทำให้มีการแต่งตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อเอาอะไรมาวัดว่าเหมาะสม ไม่เหมาะสม สื่อเป็นผู้ประเมินผลหรือไม่

เมื่อถามต่อไปว่า จะให้นายสนธยาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านไหน พล.อ. ประยุทธ์กล่าวว่า ที่ปรึกษานายกฯ เรื่องการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินก็มี ซึ่งตนก็จะฟังเขาว่าเห็นอย่างไร

“ผมจำเป็นต้องมีคนแบบนี้เข้ามาบ้าง เพราะต่อจากนี้เราจะต้องเดินหน้าเรื่องการเมือง เพราะผมไม่รู้เรื่องการเมือง จึงต้องสอบถามคนที่รู้ อย่าเพิ่งคิดอะไรล่วงหน้ามากนัก ในอนาคตหากจะแต่งตั้งใครมาเพิ่ม ต้องรอเสนอชื่อเข้ามา แต่การแต่งตั้งแสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้รังเกียจนักการเมือง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามากรณีแต่งตั้งนายอิทธิพล คุณปลื้ม อดีตนายกเทศมนตรีเมืองพัทยา เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เจ้ากระทรวงเป็นผู้เสนอ ตนไม่ได้รังเกียจนักการเมือง ไม่รังเกียจใครทั้งสิ้น ก็ต้องพิจารณาใครเหมาะสม เมื่อถามว่ากรณีดังกล่าวเป็นการสะท้อนอนาคตพรรคพลังชลที่จะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “รัฐบาลใคร ยังไม่ตั้งรัฐบาลเลย”

จ่อตรวจแกนนำ “เพื่อไทย” นัดกินข้าว-ตีกอล์ฟ

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีแกนนำพรรคเพื่อไทยนัดรับประทานอาหารกลางวันและตีกอล์ฟกับนักการเมืองตระกูลสะสมทรัพย์ ที่สนามนิกันติ จ.นครปฐม ในวันที่ 18 เมษายน 2561 ว่า กรณีนี้จะผิดคำสั่ง คสช. หรือไม่ ตนไม่ทราบ กำลังตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะคนที่ไปเดินเคลื่อนไหวพบปะประชาชนต่างๆ ตอนนี้กำลังดูว่าผิดคำสั่งอะไรหรือไม่ เพราะคำสั่งเขียนไว้ชัดเจนว่า ทำอะไรได้หรือไม่ได้ ขอให้ระมัดระวัง อย่าทำอะไรที่ผิดกฎหมาย

“ขอโทษ” จนท. คุมตัว “เอกชัย” รุนแรง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวนายเอกชัย หงส์กังวาน และนายโชคชัย ไพบูลย์รัชตะ ก่อนเดินทางไปทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าบ้านพัก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่เปิดบ้านให้รดน้ำดำหัวว่า ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นนักกิจกรรมทางการเมือง ฉะนั้นต้องมองว่าการจะไปรบกวนคนอื่นๆ นั้นเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเขาหรือไม่ อยากให้มอง 2 ด้านบ้าง อย่ามองเพียงด้านใดด้านหนึ่ง เพราะก็เหมือนเป็นการสนับสนุนให้จัดกิจกรรมที่สร้างผลกระทบต่อคนอื่น ทั้งต่อการจราจร การทำงานของเจ้าหน้าที่ ขยายวงกว้างขึ้น ซึ่งไม่สมควรเวลานี้

“ก็เห็นอยู่แล้วว่าเขาต้องการให้เกิดเหตุ ต้องการให้เกิดภาพความรุนแรงขึ้น ให้สื่อถ่ายภาพออกไปแล้วนำไปลงหนังสือพิมพ์ แล้วก็มาถามผมแบบนี้ เตือนกันง่ายๆ แล้วกลับบ้านไปก็จบ ดิ้นรนไปเรื่อยเปื่อย ต้องการให้เกิดภาพ แล้วไปโรงพักก็ไปทำลายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สำนักงานของสถานีตำรวจ แล้วทำไมไม่ไปถามเขาดูบ้างว่าทำแบบนี้ได้หรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้เอาเรื่องอะไร ไม่มีการลงโทษทางกฎหมายกรณีนี้ ซึ่งจริงๆ ต้องลงโทษ หากทำอีกต้องลงโทษแล้ว เพราะเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนผู้อื่น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ต่อคำถามเจ้าหน้าที่รัฐทำรุนแรงเกินไปหรือไม่นั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า เมื่อมีการดิ้นไปดิ้นมาทำให้ภาพจากที่จับแขน จับขา กลายเป็นภาพรัดคอไป เพราะเขาไม่หยุด ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร คราวหน้าให้สื่อช่วยกันทำให้เขาหยุดได้หรือไม่ แล้วให้เจ้าหน้าที่เป็นผู้ถ่ายภาพ อย่างไรก็ตาม ตนจะหาวิธีการที่เหมาะสมให้ การกระทำครั้งนี้หากรุนแรงไปก็ขอโทษ

นำร่อง “เจาะไอร้อง” เซฟตี้โซน

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีถึงความคาดหวังในการเตรียมการประกาศพื้นที่ปลอดภัย (เซฟตี้โซน) ในพื้นที่สามจัวหวัดชายแดนใต้ ว่า ตนนั้นมีความคาดหวังเหมือนกับประชาชนหรือเจ้าหน้าที่ที่ทำงานด้านนี้ ไม่มีใครอยากจะให้งานนี้ไม่สำเร็จ เรานั้นมียุทธศาสตร์หลายตัว มีทั้งด้านความมั่นคง การพัฒนา และในเรื่องของการพูดคุยสันติสุข โดยยืนยันว่าทางประเทศมาเลเซียนั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในการพูดคุยครั้งนี้ เป็นแต่เพียงผู้จัดสถานที่และอำนวยความสะดวก

“การเจรจาพูดคุยเป็นเรื่องของรัฐบาลไทยโดยคณะพูดคุยกับฝ่ายต่างๆ ผมก็คาดหวังว่าจะเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ ความจริงใจ วันนี้ก็คาดว่าจะเริ่มทำในพื้นที่อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาสก่อน ซึ่งหากฝ่ายผู้เห็นต่างนั้นตั้งใจจริงก็จะไม่ก่อเหตุอะไรขึ้นในพื้นที่ เจ้าหน้าที่ก็ไม่ต้องใช้กำลัง ไม่ต้องเกิดการปะทะ ความขัดแย้งก็ลดลงเอง แต่ก็ไม่ทราบว่าจะมีกลุ่มอื่นที่ไม่เข้าร่วมในกระบวนการพูดคุยสร้างสถานการณ์ขึ้นอีกหรือไม่ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นสิ่งที่เราควบคุมได้ไม่มากนัก เพราะเป็นเรื่องของกลุ่มผู้เห็นต่าง” นายกรัฐมนตรีกล่าว

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า สิ่งสำคัญที่วันนี้เราต้องการคือความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่กำหนดไว้ ประชาชนต้องช่วยเฝ้าระวัง ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ตรวจตรารถ ยานพาหนะต่างๆ หลายอย่างมีความไม่สอดคล้องกันเพราะประชาชนลำบาก เดือดร้อน ไม่ต้องการให้ตั้งด่านตรวจ แต่ถ้าไม่ทำเลยอันตรายก็จะเกิดขึ้น ก็ลองดูก่อนในช่วงเวลาต่อจากนี้ไป

สั่งฝ่ายมั่นคงจับตา – เตรียมแผนรับมือผลกระทบ สหรัฐฯ-ซีเรีย

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีผลกระทบจากการประทะกันของสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรกับซีเรีย ว่า เรื่องดังกล่าวนั้นค่อนข้างห่างไกลกับประเทศไทย แต่ไทยเองก็ต้องคอยติดตามความก้าวหน้าในเรื่องของการดำเนินการมาตรการทางทหารของฝ่ายต่างๆ ซึ่งไทยอาจไม่ได้เผชิญกับผลกระทบโดยตรง แต่ผลกระทบทางอ้อมที่ตามมาจะตามมาด้วยมาตรการต่างๆ อีกหรือไม่ เช่น มาตรการกีดกันทางการค้า ซึ่งตนนั้นได้มอบให้ฝ่ายความมั่นคง สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) คอยติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และรายงานให้รัฐบาลทราบเพื่อหามาตรการในการลดผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้น

แจงตรวจสอบสำนักพุทธฯตามหลักฐาน ขออย่าเคลื่อนไหว

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีความคืบหน้าการตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดของสำนักพระทุทธศาสนาแห่งชาติ (สำนักพุทธฯ) ที่มีความเกี่ยวโยงกับพระผู้ใหญ่ ว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องของการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่รับผิดชอบโดยตรง คือ สำนักพุทธฯ เป็นเรื่องของการทำตามหลักฐานต่างๆ ซึ่งเป็นการนำข้อมูลส่งไปยังหน่วยตรวจสอบ หรือองค์กรอิสระ คือ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ รับทราบ (ป.ป.ช.) ให้ดำเนินการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนทางกฎหมาย

“ก็อยากจะขอร้องว่า ผู้ที่เป็นห่วงกรณีพระสงฆ์ อะไรต่างๆ ขอให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพราะขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่จะทำให้ความชัดเจนเกิดขึ้น พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่คนไทยกว่า 90% เคารพนับถือ ต้องช่วยกัน ทั้งนี้ก็เป็นไปตามหลักฐาน วัตถุพยาน และพยานบุคคลต่างๆ เหล่านี้ ก็เป็นขั้นตอนทางกฎหมายอยู่ในปัจจุบัน ขอร้องอย่าเคลื่อนไหวอะไรกันเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรทั้งสิ้น เรื่องนี้ก็เหมือนการกระทำความผิดอื่นๆ นั่นแหละ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งออกกฎคุมเข้มการจราจร หลังสงกรานต์มีอุบัติเหตุกว่า 2,000 ครั้ง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามการประเมินภาพรวมความปลอดภัยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ว่า เรื่องของการจราจรที่มีการบาดเจ็บสูญเสียก็คงต้องแก้ไขปัญหากันต่อไป ส่วนใหญ่ก็เป็นการละเมิดกฎหมายปกติ และทราบกันอยู่แล้วว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสูญเสียส่วนใหญ่นั้นเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ไม่สวมหมวกกันน็อคและดื่มสุราในการขับขี่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาในการดำเนินการต่อไป ผมก็ได้สั่งการให้เข้มงวดในใช้มาตรการอื่นๆ ประกอบกับการบังคับใช้กฎหมายยิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของทุกคน พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเรื่องการจัดงานช่วงเทศกาลปีใหม่ไทยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และขอบคุณที่สละเวลามาดูแลความปลอดภัยให้กับผู้อื่น

“เสร็จแล้วอย่ามาบอกว่าเดือดร้อน เพราะเราก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมาย มันไม่มีวิธีการอื่น รณรงค์ก็แล้วอะไรก็แล้ว และเหตุการณ์ส่วนใหญ่ มักไปเกิดบนถนนสายรอง ทั้งที่ตั้งด่านตรวจไป 2,000 กว่าด่าน ใช้กำลังพลไปประมาณ 60,000 กว่าคน ตรวจรถไปประมาณเกือบล้านคัน ก็ยังบาดเจ็บล้มตายอย่างนี้ ฉะนั้นก็ต้องไปดูว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป” นายกรัฐมนตรีกล่าว

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

มติ ครม. มีดังนี้

แก้ พ.ร.บ.หวย เพิ่มโทษ-เปิดช่องออกสลากรูปแบบใหม่

พ.ต.อ. บุญส่ง จันทรีศรี รองผู้อำนวยการ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ซึ่งแก้ไขจากกฎหมายเดิมเมื่อปี 2517 โดยมีสาระสำคัญในการแก้ไข 17 มาตรา เช่น การเพิ่มบทลงโทษการจำหน่ายสลากเกินราคา ซึ่งเดิมมีแต่โทษปรับ ให้เป็นจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ, เพิ่มการห้ามจำหน่ายสลากในสถานศึกษาและการจำหน่ายสลากให้แก่ผู้ที่มีอายุไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์, ปรับนิยามเพราะมีการเพิ่มกองทุนพัฒนาสังคมเข้ามา, การปรับสถานที่ตั้งของสำนักงานฯ, การปรับโครงสร้างของคณะกรรมการสลากฯ, ปรับการจัดสรรรายได้สำหรับรางวัลสมทบเพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ของสลากฯ ในอนาคต, ปรับสัดส่วนรายได้ใหม่กำหนดให้ 60% เป็นเงินรางวัล 22% เป็นเงินรายได้นำส่งรัฐ 17% เป็นการบริหารสำนักงานสลากฯ แบ่งเป็นส่วนลดของผู้ขายรายย่อย 12% ค่าใช้จ่ายบริหารสำนักงาน 3% และ ส่วนลดให้กับองค์กร และบริหารจัดการองค์กรและสมาคมต่างๆ 2% และที่เหลือ 1% นำเข้ากองทุนพัฒนาสังคม 1% โดยต้องไม่เกิน 1,000 ล้านบาท หากเกินให้ส่งคืนคลัง

“การแก้ไขครั้งนี้ หลักๆ นอกจากการแก้นิยามแล้ว จะเป็นการนำคำสั่ง คสช. ที่ 11/2558 มาทำให้เป็นกฎหมายทางการ เช่น การจัดสรรรายได้จากเดิม 7% เป็น 12% คือเพิ่มขึ้น 5% ทั้งหมด ซึ่งทำให้มีส่วนต่างกำไรเพิ่มขึ้นจากเดิมที่หากขาย 80 บาทจะได้กำไร 5.6 บาท พอได้ส่วนลดเพิ่ม 5% ก็จะได้กำไรเพิ่มเป็น 9 บาท, การตั้งกองทุนพัฒนาสังคม ซึ่งทีผ่านมาก็ได้นำมาใช้ทำวิจัยเกี่ยวกับการพนันแล้ว” พ.ต.อ. บุญส่ง กล่าว

ผ่านร่างกม.ยกเว้นภาษี – หนุนแบงก์ควบรวมกิจการ

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติหลักการ ร่าง พ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่..) พ.ศ. …. หรือมาตรการเพื่อสนับสนุนการควบรวมธนาคารพาณิชย์ไทย ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ซึ่งจะมีการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์ มีมาตรการค่าธรรมเนียมให้แก่ผู้ถือหุ้นของธนาคารพาณิชย์ หรือธนาคารพาณิชย์ที่ควบรวมกัน หรือโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วนให้แก่กันด้วย

นอกจากนี้ ยังให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับรายจ่ายโดยจะต้องเป็นรายจ่ายที่ใช้ไปเพื่อการลงทุน ดังนี้

– รายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการลงทุนในโปรแกรมคอมพิวเตอร์
– รายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการเลิกหรือการปรับปรุงแก้ไขสัญญาซื้อขาย สัญญาเช่า สัญญาจ้าง หรือสัญญาบำรุงรักษา ที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือเกี่ยวข้องกับธนาคารพาณิชย์
– รายจ่ายที่ได้จ่ายเพื่อการรื้อถอนเครื่องจักร ส่วนประกอบ อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง เฟอร์นิเจอร์ อันเนื่องมาจากการควบเข้ากัน

โดยรายจ่ายที่ได้จ่ายไปตามความข้างต้นจะต้องจ่ายไปตั้งแต่วันที่เข้าควบกันหรือรับโอนกิจการทั้งหมดหรือบางส่วน จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 โดยมีหลักเกณฑ์สำหรับหักค่าใช้จ่ายดังนี้ หากสินทรัพย์หลังจากควบรวมกันแล้วเกินกว่า 4 ล้านล้านบาท ให้หักค่าใช้จ่ายได้ 2 เท่า ซึ่งถ้าอยู่ระหว่าง 3-4 ล้านล้านบาท ได้ 1.75 เท่า ระหว่าง 2-3ล้านล้านบาท ได้ 1.5 เท่า และ 1-2 ล้านล้านบาท ได้ 1.25 เท่า

“ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีข้อสังเกตว่าควรจะกำหนดให้ครอบคลุมในกรณีของกลุ่มธุรกิจการเงินและสถาบันการเงินอื่นด้วย และจะต้องมีสัดส่วนผู้ถือทุนต่างชาติไม่เกิน 49% กระทรวงการคลังคาดว่าจะเสียรายได้จากส่วนนี้ราว 600-1,400 ล้านบาท แต่ก็จะชดเชยมาด้วยการขยายกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากการลงทุนของภาคเอกชนเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 3,000-7,000 ล้านบาทต่อรายที่ได้ควบรวมกิจการระหว่างกัน ซึ่งคิดว่าคำนวณมาจากสมมติฐานที่กระทรวงการคลังคงมีในใจว่าขนาดของธนาคารที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไรถึงจะแข่งขันได้ดี โดยเฉพาะแบงก์ที่มีสินทรัพย์ต่ำกว่า 1.5 ล้านล้านบาท จะมีแรงจูงใจให้ควบรวมให้ได้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด เป็นต้น แต่เรื่องว่าประชาชนจะกังวลว่าจะถูกเอาเปรียบ ทาง ธปท. ก็ดูแลอยู่แล้ว เรื่องค่าธรรมเนียมอะไรก็จะมีเพดานอยู่แล้ว” นายณัฐพรกล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลจาก ธปท. ระบุว่า ปัจจุบันมีธนาคารพาณิชย์จดทะเบียนในประเทศไทยจำนวน 19 แห่ง มีสินทรัพย์รวมกัน 17.15 ล้านล้านบาท และมีเพียง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เท่านั้นที่มีสินทรัพย์เกิน 1.5 ล้านล้านบาท

อนุมัติ 903 ล้าน – กคช.ลุยสร้างบ้านเลียบแนวรถไฟฟ้าลำลูกกา เฟส 2

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติอนุมัติอนุมัติการจัดทำและพัฒนาที่อยู่อาศัยตามเส้นทางรถไฟฟ้า ใน กทม. และปริมณฑล บริเวณลำลูกกา-คลอง 2 วงเงิน 930 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินกู้ 814 ล้านบาท และเงินรายได้ 86 ล้านบาท ก่อนหน้านี้ ครม. เคยเห็นชอบแผนลงทุนและพัฒนาที่อยู่อาศัยของการเคหะแห่งชาติ (กคช.) ปี 2558-2560 จำนวน 116 โครงการ 3.5 หมื่นหน่วย หน่วย วงเงินลงทุน 2.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งร่วมไปถึงโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยตามโครงข่ายคมนาคมโครงสร้างพื้นฐาน หมายความว่าเป็นที่อยู่อาศัยใกล้เคียงรถไฟฟ้าผ่าน ที่ผ่านมาอนุมัติไป 4 โครงการและโครงการประชานิเวศน์ 3 อนุมัติไปเมื่อ 29 สิงหาคม 2560

สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลลำลูกกา-คลอง 2 เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ได้มาตรฐานในชุมชนที่มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลาง ให้สามารถมีที่อยู่อาศัยใกล้การคมนาคม ในระดับราคาที่สามารถจับต้องได้ ซึ่งกรณีลำลูกกา-คลอง 2 จะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวเหนือ หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต โดยลักษณะโครงการแบ่งเป็น 820 หน่วย การก่อสร้างมีลักษณะดังนี้ คือ 1. อาคารชุด 4 ชั้น พักอาศัย 4 ชั้น ขนาด 27 ตร.ม. จำนวน 280 หน่วย ราคาขายประมาณ 8.68 แสนบาท 2. อาคารชุด 4 ชั้นพักอาศัย 4 ชั้น ขนาด 27 ตร.ม. จำนวน 336 หน่วย ราคาประมาณ 8.91 แสนบาท 3. ทาวน์เฮาส์ 3 ชั้น ขนาด 20 ตร.ว. จำนวน 22 หน่วย และ 28 ตร.ว. จำนวน 22 หน่วย และบ้านแฝด 2 ชั้น ทรงอิสระขนาด 35 ตร.ว. จำนวน 170 หน่วยโดยทาวน์เฮาส์ บ้านแฝด จะมีราคาประมาณ 3 ล้านบาทขึ้นไป

“อาคารชุด 4 ชั้น สร้างเพื่อกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้น้อย ซึ่งราคาจะถูกกว่าบ้านในท้องตลาด และทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด เพื่อกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้ปานกลาง โดยทั้งหมดจะสร้างเสร็จประมาณสิ้นปี 2564 ซึ่งในที่ประชุม นายกรัฐมนตรียังกำชับว่าในการกำหนดเงื่อนไข หลักเกณฑ์ และคุณสมบัติผู้ซื้อ ต้องให้ความสำคัญผู้มีรายได้น้อยเป็นลำดับแรก” นายณัฐพรกล่าว

ไฟเขียวแผนพัฒนา Fintech – เล็งตั้งสถาบันนวัตกรรมฯ

นายณัฐพรกล่าวว่า ครม. มีมติเห็นชอบ 3 แนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทางการเงินหรือฟินเทค (Fintech) แบ่งเป็น 1) พัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อให้ผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการทางการเงินสามารถทำธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างสะดวกและปลอดภัย โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างผลักดันโครงการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment) ที่ส่งเสริมการบูรณาการระบบการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งในระบบภาครัฐและภาคเอกชน ซึ่งหนึ่งในโครงการภายใต้แผนดังกล่าว คือการพัฒนาระบบโอนเงินพร้อมเพย์ (PromptPay) โดยตั้งแต่เริ่มโครงการเมื่อเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2560 มีการโอนเงินผ่านระบบดังกล่าวสูงถึง 390,000 ล้านบาท และในปัจจุบันกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ระหว่างการต่อยอดระบบเรียกเก็บเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (Request to Pay) เพื่อให้การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปอย่างสะดวกและปลอดภัยมากขึ้นอีกด้วย

ขณะที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) จะดำเนินโครงการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Identification Platform) ในการพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสะดวกต่อการใช้งาน ทั้งนี้ ยังสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการอำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ (Ease of Doing Business) อีกด้วย

2) ผลักดันหน่วยงานภาครัฐเป็นผู้ให้และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับฟินเทค ซึ่งกระทรวงการคลังระบุว่าควรมีการผลักดันให้หน่วยงานภาครัฐ รวมทั้งสถาบันการเงินเฉพาะกิจ หรือ SFI เข้ามามีส่วนร่วมในการเป็นทั้งผู้ให้และผู้ใช้บริการผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับฟินเทคมากขึ้น เช่น การรับจ่ายเงินภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์ การบูรณาการระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ การจ่ายสวัสดิการผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การเพิ่มช่องทางในการให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ของ SFI เป็นต้น

3) จัดตั้งสถาบันนวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการเงิน (Institute for Financial Innovation and Technology: InFinIT) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาระบบนิเวศที่เอื้อต่อการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมฟินเทค (Fintech Ecosystem) ในประเทศไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการฟินเทคได้พบปะและเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินของตนแก่ผู้ที่สนใจลงทุนหรือผู้ที่ต้องการนำนวัตกรรมไปใช้ และเพื่อผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการให้บริการทางการเงินในประเทศไทยในทุกภาคส่วน รวมถึงการส่งเสริมการสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับฟินเทคของ SFI และเพื่อร่วมมือกับสถาบันการศึกษาเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในฟินเทค และฝึกฝนทักษะที่จำเป็นให้แก่นักเรียนและนักศึกษา ให้สามารถปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมฟินเทคหรือเป็นผู้ประกอบการในอนาคต (Talent Pipeline) รวมทั้งเพื่อบูรณาการการพัฒนาและการส่งเสริมฟินเทคระหว่างหน่วยงานกำกับดูแล ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) รวมทั้งหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนานวัตกรรมและธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์

“สำหรับงบประมาณจัดตั้งสำนักงานในปี 2561-2562 ได้ขอจัดสรรเงินมา 650 ล้านบาทจากกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ขณะที่ปี 2562-2565 จะขอจากงบประมาณประจำปีรวม 513 ล้านบาท และหลังจากนั้นจะมีรายได้ของตัวเองดำเนินงานต่อไปได้ ขณะที่โครงสร้างการบริหารจะจัดตั้งเป็นมูลนิธิขึ้นมาดูแล โดยมีคณะกรรมการบริหารกำกับดูแลการดำเนินงานของสถาบัน” นายณัฐพรกล่าว

เห็นชอบ ร่างพ.ร.บ.สถาบันพระบรมราชชนก

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) สถาบันพระบรมราชชนก พ.ศ. …. ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ เพื่อให้สถาบันพระบรมราชชนกสามารถพัฒนาระบบบริหารและการจัดการเฉพาะทางที่มีความคล่องตัว มีเสรีภาพทางวิชาการ สอดคล้องกับ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ ปี 2542

โดยสาระสำคัญคือจะมีการจัดตั้งสถาบันพระบรมราชชนกให้เป็นสถาบันอุดมศึกษาเฉพาะทางของรัฐที่จัดการศึกษาระดับปริญญาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติ ในด้านการแพทย์ การพยาบาล การสาธารณสุข และเวชศาสตร์ มีฐานะเป็นนิติบุคคล และเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ ขึ้นอยู่กับสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดประเด็นต่างๆ เช่น ให้สถาบันมีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตและพัฒนาบุคลากรตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข มีการกำหนดให้รายได้ของสถาบันไม่ต้องส่งเข้าคลังเป็นรายได้แผ่นดิน กำหนดให้เงินรายได้ หรือทรัพย์สินที่มีผู้อุทิศให้สถาบันจัดการตามเงื่อนไขของผู้อุทิศกำหนดไว้ และต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของสถาบัน กำหนดให้อธิการบดีเป็นผู้บังคับการสูงสุด และรับผิดชอบการบริหารงานของสถาบัน และการกำหนดให้โอนบรรดากิจการ ทรัพย์สิน สิทธิ หนี้ ภาระผูกพัน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานของกระทรวงสาธารณสุข ลูกจ้าง อัตรากำลัง งบประมาณ และรายได้ของสถาบัน เว้นแต่ของวิทยาลัยนักบริหารสาธารณสุขและแก้วกัลยาสิกขาลัยไปเป็นของสถาบัน ทั้งนี้ต้องดำเนินการให้เสร็จภายใน 120 วัน นับแต่ พ.ร.บ. นี้บังคับใช้

ตั้ง “สนธยา” นั่งที่ปรึกษานายกฯ – “ประสงค์ พูนธเนศ” ขึ้นปลัดคลัง

พ.อ.หญิง ทักษดา สังขจันทร์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองและข้าราชการพลเรือนสามัญตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ได้แก่

  • นายสนธยา คุณปลื้ม ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
  • นายอิทธิพล คุณปลื้ม เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักเลขธิการนายกรัฐมนตรี
  • นายสันติ กีระนันทน์ เป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี สำนักเลขธิการนายกรัฐมนตรี

โดยมีผลตั้งแต่วันที่ ครม. มีมติเห็นชอบ

  • นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง แทนตำแหน่งที่ว่างเนื่องจากนายสมชัย สัจจพงษ์ ได้ยื่นหลังสือลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงการคลัง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เป็นต้นไป
  • เห็นชอบการโอนนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ให้ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากร
  • นายประภาศ คงเอียด ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
  • นายภูมิศักดิ์ อรัญญาเกษมสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ
  • นส.ชุณหจิต สังข์ใหม่ ที่ปรึกษาด้านพัฒนาระบบการเงินการคลัง กรมบัญชีกลาง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง
  • นายทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ ตามที่สภาพัฒน์เสนอ
  • และโอนนายปกรณ์ นิลประพันธ์ รองเลขาธิการกฤษฎีกา ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.พ.ร. ตามที่ ก.พ.ร. เสนอ

โดยมีผลนับตั้งแต่วันที่โปรดเกล้าฯ และไม่ก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2561

แจงตั้ง “ทศพร ศิริสัมพันธ์”นั่งเลขาฯ สภาพัฒน์

ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า ครม. มีมติแต่งตั้ง ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์ เลขาธิการ  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ มาดำรงตำแหน่งเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ หลังจากที่ ดร.สมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรววงการคลัง ลาออกจากราชการในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการ สภาพัฒน์

“การโยกย้ายสัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ หรือ พม. มีปัญหาเรื่องทุจริตอย่างหนักและพักงานราชการไปกว่า 100 ตำแหน่ง รวมถึงปลัดกระทรวง ทำให้เป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องหาคนที่เหมาะสมไปสะสาง ทาง ครม. ก็คุยกันว่า ดร.ปรเมธี วิมลศิริ มีความเหมาะสม คือมีความสามารถและมือสะอาดเป็นที่น่าเชื่อถือ จึงย้ายไปช่วยสะสางเรื่องทุจริต ส่วนสภาพัฒน์ ครม. ก็มองหาคนที่มีความเชี่ยวชาญทั้งทางเศรษฐกิจและเรื่องบริหารงานราชการ เพราะสภาพัฒน์กำลังจะต้องรับหน้าที่ขับเคลื่อนแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติที่เพิ่งผ่านการพิจารณาออกมา จึงเลือก ดร.สมชัย สัจจพงษ์ มาดำรงตำแหน่ง แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวของท่านจึงยื่นหนังสือลาออกไปในวันนั้น ครม. ก็หารือกันใหม่และคิดว่า ดร.ทศพรมีความเหมาะสม เพราะทำงานใน ก.พ.ร. มาก่อน มีความเข้าใจระบบบริหารจัดการของราชการดี และเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการยกระดับอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจของธนาคารโลก อันเป็นมิติหนึ่งความสามารถในการแข่งขันของประเทศ จนเป็นประเทศที่ก้าวหน้าอันดับต้นๆ ในปีที่แล้ว ซึ่งสภาพัฒน์มีดูเรื่องพวกนี้ในดัชนีอื่นๆ ด้วย ก็น่าจะใช้ประสบการณ์ดังกล่าวมาช่วยงานที่สภาพัฒน์” นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า สำหรับแผนงานของสภาพัฒน์หลังจากนี้จะผลักดันและปฏิรูปองค์กรให้กลับมาเป็นมันสมองของประเทศอีกครั้ง เช่น จัดตั้งหน่วยงานวิจัยที่มาดูเรื่องอนาคตของประเทศชาติ มีการจัดองค์กรจัดภาระงานต่างๆใหม่ ให้ตรงเป้าหมายและกระชับขึ้น มีแนวทางดึงดูดคนเก่งใหม่ๆ เข้ามา เป็นต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างแก้ไขกฎหมายสภาพัฒน์ใหม่ นอกจากนี้ จะมีการตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติอีกคณะในสภาพัฒน์ เป็นคณะเล็กที่เน้นการทำงานขับเคลื่อน โดยมีตนเองเป็นประธาน มีหน้าที่ประสานงานหน่วยราชการต่างๆ

“สภาพัฒน์จริงๆ แล้วถือว่าเป็นหน่วยงานสำคัญ เป็นเหมือนปลัดของปลัดกระทรวง เป็นมันสมองของประเทศที่ต้องวางแผนเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และขับเคลื่อนหน่วยราชการต่างๆ ให้ไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันก็มีภาระงานต่างๆ มากขึ้นมาตลอด ล่าสุดคือดูเรื่องแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ รวมๆ แล้วหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าสภาพัฒน์ต้องไปเกี่ยวข้องกับคณะกรรมการต่างๆ ของประเทศเกือบ 700 คณะ ดังนั้นเราถึงต้องปฏิรูปปรับองค์กรใหม่ บางท่านอาจจะมองว่า ดร.ทศพรอาจจะไม่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจมากนัก แต่ต้องบอกว่าโจทย์ใหญ่ตอนนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ เพราะช่วงปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจก็ดีขึ้นต่อเนื่อง ปีนี้คาดกว่าจะโต 4% ซึ่งต่างจาก 2-3 ปีที่แล้ว ดังนั้นโจทย์ปัจจุบันนี้จะเน้นไปที่การจัดระบบราชการใหม่ เรื่องอนาคตของประเทศ ซึ่ง ดร.ทศพรมีความเชี่ยวชาญ ส่วนด้านเศรษฐกิจก็จะอาศัยคนของสภาพัฒน์ดูแลต่อไปได้” นายกอบศักดิ์กล่าว

อ่าน มติครม.วันที่ 17 เมษายน 2561 ทีนี่