ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ข้อมูลบัตรประชาชนรั่ว บิ๊กป๊อกบอกข้อมูลไม่ลึก กสทช. เสนอตั้งศูนย์ข้อมูลเอง” และ “คิม จองอึน ประกาศยุติทดลองนิวเคลียร์”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ : “ข้อมูลบัตรประชาชนรั่ว บิ๊กป๊อกบอกข้อมูลไม่ลึก กสทช. เสนอตั้งศูนย์ข้อมูลเอง” และ “คิม จองอึน ประกาศยุติทดลองนิวเคลียร์”

21 เมษายน 2018


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 14-20 เม.ย. 2561

  • ข้อมูลบัตรประชาชนรั่ว บิ๊กป๊อกบอกข้อมูลไม่ลึก กสทช. เสนอตั้งศูนย์ข้อมูลเอง
  • ศรีสุวรรณร้องประยุทธ์ “หยุดเผยแพร่-ทำลาย” หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย เหตุบิดเบือนความจริง
  • สนช. ล้มกระดานสรรหากรรมการ กสทช.
  • ภาคีเครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง เผย 1 ใน 3 ของ “ผู้โดยสารทุกเพศ” ถูกคุกคามทางเพศบนขนส่งสาธารณะ
  • คิม จองอึน ประกาศยุติทดลองนิวเคลียร์
  • ข้อมูลบัตรประชาชนรั่ว บิ๊กป๊อกบอกข้อมูลไม่ลึก กสทช. เสนอตั้งศูนย์ข้อมูลเอง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ Silicon UK (https://www.silicon.co.uk/?p=231093)

    ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งก็คือการที่ข้อมูลของผู้ใช้บริการของเครือข่าย TrueMove H รั่วไหล โดย ไนออลล์ เมอร์ริกัน (Niall Merrigan) นักวิจัยด้านความปลอดภัย ได้ค้นพบว่า “ถัง” หรือ bucket หนึ่งบน Amazon S3 ซึ่งเป็นบริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ มีการตั้งค่าสิทธิการเข้าถึงเป็นสาธารณะ ซึ่งนั่นทำให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลภายในถังดังกล่าวได้ เมอร์ริกันพบว่าถังดังกล่าวมีโฟลเดอร์ที่ชื่อว่า truemoveh/idcard อยู่ภายใน พร้อมกับโฟลเดอร์ย่อยตามปีและเดือน ซึ่งในไฟล์จากโฟลเดอร์ดังกล่าวที่เมอร์ริกันทดลองเปิดขึ้นมานั้น เขาพบว่าเป็นไฟล์ภาพบัตรประชาชนที่มีการขีดคร่อมโดยระบุว่า “ใช้เพื่อลงทะเบียนเลขหมายใหม่กับทรูมูฟเอชเท่านั้น”

    Amazon S3 (S3 ย่อมาจาก Simple Storage Service) เป็นบริการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ของ Amazon Web Services (AWS) ซึ่งเป็นบริการที่จัดเก็บข้อมูลได้หลากหลาย จำนวนมาก และรับประกันว่าผู้ใช้บริการจะเข้าถึงข้อมูลได้เสมอเพราะมีเซิร์ฟเวอร์กระจายตัวอยู่ทั่วโลก นอกจากนี้ S3 ยังมีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงจนองค์กรทั้งรัฐและเอกชนขนาดใหญ่หลายองค์กรทั่วโลกเลือกใช้บริการ เช่น Netflix, Airbnb หรือกระทั่งกระทรวงกลาโหมของประเทศสหรัฐอเมริกา

    สิ่งที่เมอร์ริกันเจอว่ามีข้อมูลภาพถ่ายสำเนาบัตรประชาชนอยู่ภายในนั้นเรียกว่า “ถัง” หรือ bucket ถังนี้คือโฟลเดอร์ชั้นนอกสุดที่ผู้ใช้ Amazon S3 สร้างขึ้นไว้ใช้ในการเก็บข้อมูลของตนเอง ซึ่งในทีแรกที่สร้างขึ้นนั้น ระบบจะกำหนดสิทธิการเข้าถึงข้อมูลในถังเป็น “ส่วนตัว” หรือ private หมายความมีเพียงเจ้าของถังที่สามารถเข้าถึงข้อมูลในถังได้ ซึ่งเจ้าของถังจะสามารถกำหนดได้เองในภายหลังว่าจะให้สิทธิในการเข้าถึงแก่ใครบ้าง หรือจะตั้งให้เป็น “สาธารณะ” หรือ public เพื่อให้ทุกคนที่รู้ชื่อของถังหรือ URL ที่นำไปสู่ตำแหน่งของถังสามารถไปยังถังและเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในนั้นได้

    ปรกติแล้ว นอกจากระบบของ Amazon S3 จะคอยเตือนผู้ใช้ว่าถังของใครมีค่าสิทธิการเข้าถึงเป็นสาธารณะ นักวิจัยด้านความปลอดภัยแบบเมอร์ริกันก็คอยทำเรื่องดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ เพื่อเตือนให้ผู้ใช้บริการ Amazon S3 รู้ตัวว่าข้อมูลของตนอาจอยู่ในอันตรายโดยไม่ได้ตั้งใจ

    แต่แน่นอนว่า ก็มีนักขโมยข้อมูลที่คอยค้นหาที่อยู่ของถังที่มีการกำหนดสิทธิการเข้าถึงเป็นสาธารณะ เพื่อจะได้เอาข้อมูลไปใช้เอื้อประโยชน์ให้ตนเองด้วยเช่นกัน และอาจเป็นไปในทางที่ทำให้เจ้าของข้อมูลเดือดร้อนได้ด้วย หรืออย่างน้อยที่สุดคือ เป็นการนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    เมื่อพบความเสี่ยงดังกล่าว เมอร์ริกันได้แจ้งไปทางเฟซบุ๊กของ TrueMove H ในวันที่ 8 มี.ค. 2561 แต่ได้รับการตอบกลับว่าให้แจ้งไปยังอีเมล [email protected] ซึ่งเมื่อทำตามนั้น เมอร์ริกันได้รับการติดต่อกลับจากเจ้าหน้าที่ว่าให้โทรศัพท์ติดต่อไปยังสำนังกานใหญ่ และในวันที่ 4 เม.ย. 2561 เมอร์ริกันก็ได้รับการติดต่อมาว่ากำลังทำการแก้ไข และต่อมา เมื่อเขาไปตรวจสอบด้วยตนเองอีกครั้ง ก็พบว่าถังดังกล่าวนั้นปิดไปแล้วเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2561

    ต่อกรณีดังกล่าว ไอทรูมาร์ท (iTrueMart ปัจจุบันคือ WeMall) ชี้แจงว่า ข้อมูลที่หลุดเป็นข้อมูลของลูกค้า Truemove H ที่ลงทะเบียนซิมผ่าน iTruemart เท่านั้น และไม่กระทบระบบหลักของ Truemove H ซึ่งตัวแทนจาก True ก็ได้ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบคือลูกค้าในส่วน “เฉพาะแคมเปญที่ซื้อเครื่องพร้อมเปิดเบอร์ที่ไอทรูมาร์ท ผ่านช่องทางเว็บไซต์ iTrueMart”

    ต่อกรณีดังกล่าว พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา หรือ “บิ๊กป๊อก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า จากการรายงาน ตนได้ทราบว่า ข้อมูลที่หลุดออกไปนั้นเป็นเพียงข้อมูลหน้าบัตรประชาชนเท่านั้น ส่วนข้อมูลเชิงลึกในบัตรประชาชนนั้นไม่ได้หลุดออกไปอย่างแน่นอน เนื่องจากมีระบบป้องกันข้อมูลส่วนตัวของประชาชน ไม่มีใครสามารถเข้าถึงข้อมูลได้นอกจากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบ และยังกล่าวด้วยว่า หากมีเจ้าหน้าที่คนใดที่มีส่วนทำให้ข้อมูลของประชาชนรั่วไหลออกไปต้องได้รับโทษตามกฎหมาย

    ทว่า แม้ รมว.มหาดไทยจะกล่าวเช่นนั้น แต่เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2561 ข่าวหนึ่งที่โด่งดังในสื่อก็คือ กรณีของ น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ ที่ทำกระเป๋าสตางค์หาย และต่อมามีบุคคลอื่นนำบัตรประชาชนของ น.ส.ณิชา ไปเปิดบัญชีกับธนาคารต่างๆ ถึง 9 บัญชี และบัญชีเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จนเป็นเหตุให้ น.ส.ณิชา ต้องถูกคุมขังในเรือนจำด้วยข้อหาฉ้อโกงทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ซึ่งกรณีของ น.ส.ณิชา เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า ข้อมูลหน้าบัตรประชาชนนั้นมีความสำคัญขนาดไหน

    ต่อมา หลังจากที่ทรูได้เข้าชี้แจงเหตุที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2561 นายฐากร ตัณฑสิทธิ เลขาธิการ กสทช. ระบุว่า ทาง กสทช. มีแนวคิดจะสร้างศูนย์ข้อมูลเองเพื่อให้ผู้ให้บริการทุกรายมาเก็บข้อมูลไว้ที่เดียวกัน เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือจากการเก็บข้อมูลโดยหน่วยงานของรัฐ

    เรียบเรียงจากเว็บไซต์บล็อกนัน ดูได้ที่นี่ และที่นี่

    ศรีสุวรรณร้องประยุทธ์ “หยุดเผยแพร่-ทำลาย” หนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทย เหตุบิดเบือนความจริง

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาไท (https://goo.gl/SEBXZZ)

    เว็บไซต์ประชาไทรายงานว่า วันที่ 17 เม.ย. 2561 นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เผยแพร่แถลงการณ์ ของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เรื่อง ขอให้หยุดเผยแพร่และทำลายหนังสือประวัติศาสตร์ชาติไทยที่บิดเบือนความจริง

    แถลงการณ์ของสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ระบุว่า ตามที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้มอบให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์หนังสือ “ประวัติศาสตร์ชาติไทย” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศไทย โดยมีเป้าหมายของหนังสือคือ

    1. ตอบสนองเชิงนโยบายของรัฐบาล ให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ 2. ตอบสนองความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย นั้น แต่ข้อเท็จจริงตามที่ได้ปรากฎในโลกโชเชียลมีเดียเป็นการทั่วไปกลับ ขัดแย้งกันในข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์กับทางวิชาการ มีข้อมูลที่ผู้ไม่ประสงค์ปรองดองใช้มาโจมตี มีการพูดถึงการกำเนิดรัฐไทย ที่ไม่สอดคล้องกัน

    ขณะที่เนื้อหาในเรื่องการเมือง ตอนหนึ่งระบุถึงการดำเนินนโยบายแบบประชานิยม และนายทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาทุจริตเลือกตั้ง รวมถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ดำเนินนโยบายเน้นโปร่งใส แต่ใช้นโยบายประชานิยม แต่กลับพูดถึงการเข้ามาของ พล.อ. ประยุทธ์ ว่าทำการรัฐประหารเพื่อขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง ความว่า … “..พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ดำเนินนโยบายปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ขจัดการฉ้อราษฎร์บังหลวง และใช้หลักคุณธรรม เพื่อนำประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง…”

    เนื้อหาดังกล่าวเป็นความเท็จที่บิดเบือนประวัติศาสตร์ร่วมสมัยที่ไม่อาจยอมให้โกหกกันได้อีกต่อไปแล้ว เพราะการปฎิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองในขณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจริง เป็นเพียงม๊อตโต้โฆษณาชวนเชื่อของ คสช. เท่านั้น การเขียนรัฐธรรมนูญก็ถอยหลังลงเหวไปไกลมาก มีการซ่อนเร้นเนื้อหาเพื่อปูทางให้มีการสืบทอดอำนาจ และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายของประเทศจากการกระทำของ คสช. ในมาตรา 279 เป็นต้น จึงไม่สามารถสะท้อนให้เห็นบริบทใดว่าคือประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ นอกจากนั้น ก็เกิดปรากฎการณ์ของการทุจริตคอรัปชันกันอย่างกว้างขวาง ทั้งการโกงเงินคนจน โกงเงินเพื่อการศึกษา โกงวัคซีนสุนัข โกงตู้น้ำดื่มพลังแสงอาทิตย์ ฯลฯ ซึ่งสาธยายไม่หมดในยุคนี้ รวมทั้งการทำให้องค์การอิสระอ่อนแอ ไม่มีประสิทธิผลในการตรวจสอบ โดยเฉพาะแหวนเพชรแทงตา นาฬิกาหรู เป็นต้น

    การบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยการใช้อำนาจเขียนประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับความจริง จะเป็นสิ่งชำรุดในทางประวัติศาสตร์ที่อาจถูกลูกหลานในอนาคตนำไปวิพากษ์เยอะเย้ยถากถางผู้มีอำนาจในยุคนี้ได้ แม้ตามหลักการแล้ว ผู้ชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่การเขียนก็ควรเคารพต่อความจริงร่วมกันด้วย

    สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยจึงขอเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและหรือ หัวหน้า คสช. กู้ภาพลักษณ์ของตนเองกลับมาด้วยการสั่งให้ยุติการเผยแพร่และให้ทำลายหนังสือดังกล่าวที่ทำการแจกไปยังจังหวัดต่างๆ จังหวัดละ 100 เล่มลงเสียโดยพลัน เพื่อคงไว้ซึ่งประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ถูกต้อง ไม่มีการบิดเบือน ไม่มีการเชลียร์ใดๆ ทั้งสิ้นในยุคไทยแลนด์ 4.0 นี้

    สนช. ล้มกระดานสรรหากรรมการ กสทช.

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2561 ที่รัฐสภา มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยมีนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธาน สนช. คนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในการประชุม เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) โดยภายหลังการประชุมลับนานเกือบ 5 ชั่วโมง นายสมชาย แสวงการ สมาชิก สนช. และเลขานุการวิป สนช. ลุกขึ้นอภิปรายว่า จากการรับฟังรายงานของคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลผู้สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ กสทช. พบว่า มีปัญหาด้านคุณสมบัติและความประพฤติรวม 8 คน ซึ่งอาจขัดกับมาตรา 7 ของพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 ซึ่งกำหนดลักษณะต้องห้ามว่า กสทช. ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็นกรรมการ ผู้จัดการ ผู้บริหาร ที่ปรึกษา พนักงาน ผู้ถือหุ้น หรือหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนหรือนิติบุคคลอื่นใด บรรดาที่ประกอบธุรกิจ ด้านกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์หรือกิจการโทรคมนาคม ในระยะเวลา 1 ปีก่อนได้รับการคัดเลือก
                    
    นายสมชาย กล่าวอีกว่า บัญชีรายชื่อบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กสทช. ในแต่ละด้านนั้นมีจำนวน 2 เท่าก็จริง แต่เมื่อพบว่ามีบุคคลที่คุณสมบัติไม่ครบและมีลักษณะต้องห้ามจึงมีประเด็นว่า บัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอมานั้นมีจำนวน 2 เท่าตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ซึ่งถ้า สนช. ลงมติเลือกไปอาจมีปัญหาในทางกฎหมายได้ จึงขอให้ สนช. ลงมติเพื่อไม่เลือกบุคคลตามบัญชีรายชื่อที่คณะกรรมการสรรหาเสนอ เพื่อให้คณะกรรมการสรรหากลับไปแก้ไขข้อบกพร่อง ซึ่งเป็นไปตามมาตรา 17 วรรคสองของกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า ถ้า สนช. ไม่สามารถเลือก กสทช. ได้ภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับบัญชีรายชื่อ ให้คณะกรรมการดำเนินการสรรหาเพิ่มเติมต่อไป
                    
    ด้านนายตวง อันทะไชย สมาชิก สนช. อภิปรายว่า เมื่อคณะกรรมการสรรหาเสนอบัญชีรายชื่อบุคคลที่สมควรได้รับเลือกเป็นกรรมการ กสทช. มา สนช. ก็ควรดำเนินการเลือกตามมาตรา 16 และมาตรา 17 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว  ทั้งนี้ สนช. ไม่มีหน้าที่ในการไปวินิจฉัยว่าใครมีคุณสมบัติครบหรือไม่ เพราะบัญชีรายชื่อที่ สนช. ได้รับมานั้นได้ผ่านกระบวนการคัดกรองมาแล้วชั้นหนึ่งจากคณะกรรมการสรรหา สนช. จะใช้มติเพื่อยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายไม่ได้ ซึ่งต่างจากการยกเว้นการใช้ข้อบังคับการประชุม สนช. ที่ สนช. สามารถกระทำได้ตามกฎหมาย ดังนั้น สนช. ต้องดำเนินการตามกฎหมายเท่านั้น ส่วนสมาชิก สนช. คนใดคิดว่าบุคคลดังกล่าวไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง กสทช. ก็ใช้สิทธิในลงคะแนนในทางใดทางหนึ่ง
                    
    จากนั้นที่ประชุม สนช. จึงลงมติไม่สมควรดำเนินการเลือกบุคคลผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กสทช. ด้วยคะแนนเสียง 118 เสียง ไม่เห็นด้วย 25 เสียง และงดออกเสียง 20 เสียง

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ตามที่คณะกรรมการสรรหาเสนอมาให้ที่ประชุม สนช. ลงมติให้เหลือด้านละ 1 คนนั้นประกอบด้วย 1. ด้านกิจการกระจายเสียง จำนวน 2 คน คือ พ.อ. กฤษฎา เทอดพงษ์ และนายธนกร ศรีสุขใส 2. ด้านกิจการโทรทัศน์ จำนวน 2 คน คือ นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ และ พล.อ. มังกร โกสินทรเสนีย์ 3. ด้านกิจการโทรคมนาคม จำนวน 2 คน คือ นายอธิคม ฤกษบุตร และนายกิตติศักดิ์ ศรีประเสริฐ 4. ด้านวิศวกรรม จำนวน 2 คน คือ พล.อ.ต. ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ และ พ.อ. อนุรัตน์ อินกัน 5. ด้านกฎหมาย จำนวน 2 คน คือ นายมนูภาน ยศธแสนย์ และนายก่อกิจ ด่านชัยวิจิตร 6. ด้านเศรษฐศาสตร์ จำนวน 2 คน คือ ผศ.ภักดี มะนะเวศ และนายณรงค์ เขียดเดช และ 7. ด้านการคุ้มครองผู้บริโภค หรือด้านการส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชน จำนวน 2 คน คือ นพ.สุริยเดว ทรีปาตี และนายวรรณชัย สุวรรณกาญจน์

    เผย 1 ใน 3 ของ “ผู้โดยสารทุกเพศ” ถูกคุกคามทางเพศบนขนส่งสาธารณะ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (https://goo.gl/z3iU6Y)

    เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 20 เมษายน 2561 ภาคีเครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง ได้เดินทางเข้าพบนายจิรศักดิ์ เยาว์วัชสกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทขนส่งจำกัด (บขส.) ที่อาคารสำนักงาน บขส. เพื่อเข้ายื่นคู่มือเผือก ซึ่งเป็นคู่มือต้นแบบการอบรมพนักงานขนส่งสาธารณะ ซึ่งจะใช้ป้องกันและแก้ไขปัญหาการคุกคามทางเพศบนรถขนส่งสาธารณะ พร้อมกับร่วมกันหาทางออกร่วมกันในการป้องกันการคุกคามทางเพศที่จะเกิดขึ้นบนรถทัวร์อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันภาคีเครือข่ายเมืองปลอดภัยเพื่อผู้หญิง ยังได้นำเสนอข้อมูลการคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้นบนรถทัวร์ ไปพร้อมกันอีกด้วย

    โดย “วราภรณ์ แช่มสนิท” ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ กล่าวว่า การคุกคามทางเพศที่เกิดขึ้น มีทั้งการแตะเนื้อต้องตัว การลวนลามด้วยสายตา และคำพูด ซึ่งในรถขนส่งสาธารณะมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว โดยมีโอกาสเกิดขึ้น ซึ่งเป็นการกระทำของผู้โดยสารด้วยกันเอง หรือพนักงานรถกับผู้โดยสาร และผู้โดยสารกับพนักงานต้อนรับบนรถ อย่างไรก็ตาม คนทั่วไปมักมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ปล่อยให้ผ่านไป ไม่กล้าไปแจ้งความ และไทยก็ยังไม่มีการจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติ ทางเครือข่ายฯ จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญเกี่ยวกับปัญหานี้ เนื่องจากได้พบ ได้ยิน ได้รับรู้การบอกเล่าจากผู้ถูกกระทำที่เป็นคนใกล้ชิด เพื่อนร่วมงาน ตลอดจนการโพสต์เรื่องราวผ่านโซเชียลมีเดีย จึงได้ร่วมกันเก็บข้อมูลโดยมีทีมนักวิชาการช่วยเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เก็บผู้ใช้บริการขนส่งสาธารณะทุกเพศ เพื่อดูว่าสถานการณ์หรือปัญหาเป็นอย่างไร

    “วราภรณ์” กล่าวอีกว่า จากการเก็บข้อมูลกว่าปีเศษ ในภาพรวมพบว่า คนทุกเพศ กว่า 35 เปอร์เซ็นต์ หรือมากกว่า 1 ใน 3 บอกว่าตัวเองเคยเจอเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้ ขณะใช้บริการรถขนส่งสาธารณะ แต่ผู้หญิงเป็นเป้าการคุกคามทางเพศมากที่สุด โดยมีผู้หญิงถึง 45 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบครึ่งที่ถูกคุกคามทางเพศ เมื่อถามถึงเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อไหร่ มากกว่าครึ่ง คือ 52 เปอร์เซนต์ ตอบว่า เป็นเหตุที่เกิดในรอบหนึ่งปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นปัญหากระทบกับคนจำนวนมาก ซึ่งต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน

    ทั้งนี้ ในงานวิจัยเมื่อมีการถามว่า เป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์การถูกคุกคามมากน้อยแค่ไหน 1 ใน 3 ตอบว่าเคย และเมื่อถามว่าพบแล้วทำอย่างไร 13 เปอร์เซ็นต์บอกว่านิ่งเฉย หลีกเลี่ยง เดินหนี แต่ก็มีอีก 28 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบว่าแจ้งเจ้าหน้าที่ประจำรถให้เข้ามาดูแล หรือตรวจสอบทันที

    “จากการทำวิจัยพบว่า สำหรับเหตุการณ์ลวนลามดังกล่าว มักที่เกิดขึ้นบนรถ ขสมก. มากที่สุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีจำนวนผู้ใช้บริการเยอะที่สุด รองลงมาเป็นมอเตอร์ไซค์ 11.4 เปอร์เซ็นต์ แท็กซี่ 10.9 เปอร์เซ็นต์ รถตู้ 9.8 เปอร์เซ็นต์ บีทีเอส 9.6 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น วันนี้จึงมาขอความร่วมมือ และข้อเสนอแนะกับทาง บขส. ซึ่งควบคุมดูแลรถเป็นหมื่นคัน มีผู้โดยสารต่อวันกว่า 8 หมื่นคน เพื่อหาทางป้องกันและป้องปราม สิ่งสำคัญคือสร้างความตระหนักรู้ให้คนได้ทราบสิทธิของตนเมื่อถูกคุกคามทางเพศ ต้องมีช่องทางแจ้งร้องเรียน รวมถึงจัดอบรมให้พนักบนรถ บขส.ช่วยระวังสอดส่อง ป้องกันไม่ให้เกิดการคุกคามทางเพศ”

    ทางด้าน “รุ่งทิพย์ อิ่มรุ่งเรือง” ผู้จัดการฝ่ายโครงการและนโยบาย องค์การแอ็คชั่นเอด ประเทศไทย กล่าวว่า ในกรุงเทพฯ มีผู้ถูกคุกคามทางเพศบนระบบขนส่งสาธารณะจำนวนไม่น้อย แต่ผู้โดยสารอาจไม่ตระหนักว่า การคุกคามทางเพศคืออะไร จึงมีวัตถุประสงค์ในการทำโครงการ เพื่อ1.อยากสร้างความตระหนักให้ประชาชน 2.การลดการคุกคามทางเพศได้ เพื่อนร่วมทางต้องช่วยกันเป็นหูเป็นตา และต้องเผือก คือเข้าไปแทรกแซง หากเกิดเหตุการณ์ขึ้น

    3.การมีมาตรการกลไกจากภาครัฐ ช่องทางการร้องเรียนขอความช่วยเหลืออย่างมีระบบ ทางรัฐตอบสนองอย่างรวดเร็วว่องไว หรือเครื่องมือ เช่น กล้องวงจรปิด ซึ่งที่ผ่านมายังไม่มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางโครงการจึงจัดทำขึ้น เพื่อให้เห็นว่าคนโดนคุกคามมีจำนวนเท่าไหร่ ลักษณะแบบไหน พฤติกรรมแบบใด ใครเป็นเป้า ทำให้เห็นว่ามีการคุกคามทางเพศเกิดขึ้น เป็นตัวสะท้อนว่ามีปัญหานี้อยู่ และน่าจะได้รับการแก้ไข เมื่อมีข้อมูลจากการวิจัยพบว่าโอกาสเสี่ยงการถูกคุกคามทางเพศมีมากบนรถสาธารณะ วันนี้จึงมามอบคู่มือเผือก พร้อมหารือแนวทางป้องกันและป้องปรามกับทาง บขส.

    ขณะที่ นายจิรศักดิ์ บอกว่า รู้สึกยินดีที่มีหน่วยงานภายนอกมาพบปะ บขส. เพื่อหาแนวทางป้องกันการถูกคุกคามทางเพศในรถสาธารณะ และทำข้อตกลงความร่วมมือเกี่ยวกับการป้องกัน เพราะปัญหานี้ยังไม่ได้ถูกแก้ไขอย่างชัดเจน และขอบคุณเครือข่ายฯสำหรับข้อเสนอแนะ ตลอดจนการฝึกอบรมให้พนักงาน บขส. การให้องค์ความรู้ การตระหนักถึงสิทธิเมื่อถูกคุกคามทางเพศ โดยทาง บขส.พร้อมให้ความร่วมมือ ไม่มีข้อขัดข้อง ตลอดจนข้อเสนอที่ให้ติดกล้องวงจรปิดบนรถทัวร์ รถตู้บขส. ก็จะรับพิจารณา และเร่งรัดพูดคุยกับผู้ประกอบการ เพื่อเป็นการป้องปราม รวมถึงการป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบอื่นที่อาจจะเกิดขึ้นบนรถโดยสารสาธารณะ และหากเกิดเหตุขึ้นก็จะได้มีหลักฐานมัดตัวผู้กระทำผิด

    คิม จองอึน ประกาศยุติทดลองนิวเคลียร์

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์เดลินิวส์ (https://goo.gl/wcML9N)

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2561 ว่าสำนักข่าวยอนฮัพของเกาหลีใต้รายงานโดยอ้างจากสำนักข่าวเคซีเอ็นเอของเกาหลีเหนือว่า นายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือประกาศว่าเกาหลีเหนือจะไม่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์หรือทดสอบการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปอีกต่อไป พร้อมกับสั่งปิดสถานที่ทดลองระเบิดนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

    คำประกาศดังกล่าวเป็นที่ต้องการอย่างมากของสหรัฐอเมริกา เพราะถือเป็นก้าวสำคัญของการดำเนินนโยบายทางการทูตของสหรัฐฯ บนคาบสมุทรเกาหลี และมีขึ้นในช่วงเวลาอีกไม่กี่วันเท่านั้นก่อนถึงการประชุมสุดยอดร่วมกันระหว่างนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีมุน แจ-อิน ของเกาหลีใต้ที่เขตปลอดทหารในวันศุกร์ที่ 27 เม.ย. 2561 และก่อนที่จะมีพบหารือครั้งสำคัญระหว่างผู้นำเกาหลีเหนือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ

    สำนักข่าวเคซีเอ็นเอรายงานว่า นายคิม จองอึน แจ้งในที่ประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคนงานพรรครัฐบาลเกาหลีเหนือว่า เมื่อมีการตรวจสอบด้านอาวุธเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์แล้ว เกาหลีเหนือก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทดลองระเบิดนิวเคลียร์รวมถึงการทดลองยิงขีปนาวุธพิสัยปานกลางพิสัยไกลหรือขีปนาวุธข้ามทวีปอีกต่อไป ภารกิจของการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือถือว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์

    เกาหลีเหนือประสบผลคืบหน้าอย่างมากในโครงการด้านอาวุธภายใต้การนำของนายคิม จอง อึน ซึ่งก็ถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติลงมติคว่ำบาตร รวมถึงสหรัฐฯ สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ และประเทศอื่นๆ

    เมื่อปีที่แล้ว เกาหลีเหนือทดลองระเบิดนิวเคลียร์ครั้งที่ 6 ซึ่งถือว่ารุนแรงที่สุด แล้วยังทดลองยิงขีปนาวุธข้ามทวีปซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ