ThaiPublica > เกาะกระแส > นายกฯ ลั่นเลือกตั้งไม่เกินก.พ.2562 – มติ ครม. แก้ กม.ตลาดหลักทรัพย์ แยกกองทุนพัฒนาตลาดทุนอิสระ ทุนประเดิม 5.7 พันล้าน

นายกฯ ลั่นเลือกตั้งไม่เกินก.พ.2562 – มติ ครม. แก้ กม.ตลาดหลักทรัพย์ แยกกองทุนพัฒนาตลาดทุนอิสระ ทุนประเดิม 5.7 พันล้าน

27 กุมภาพันธ์ 2018


พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th/

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาลมีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน ซึ่งนายกฯ ได้แสดงความยินดีกับ “เจ้าแหลม” ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชั่น แชมป์มวยโลกชาวไทย ที่สามารถป้องกันตำแหน่งแชมป์ไว้ได้เป็นครั้งที่ 2 ด้วยการเป็นฝ่ายชนะคะแนนผู้ท้าชิงชาวเม็กซิกัน

ส่วนแนวทางการอัดฉีดเงินรางวัลให้นักกีฬาอาชีพ นายกรัฐมนตรีระบุว่า เป็นเรื่องของสมาคมนักกีฬาอาชีพ ขณะที่รัฐบาลมีงบประมาณในส่วนกองทุนกีฬา ซึ่งส่วนใหญ่จะให้กับกีฬาสมัครเล่น ดังนั้นสำหรับกีฬาอาชีพก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่นายกฯ นึกอยากจะให้เงินใครก็ได้ ไม่ได้ แต่ก็ได้ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา

มองคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาท สะท้อนสังคม “ตัดสินคนอื่น”

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีคดีลอตเตอรี่ 30 ล้านบาทที่จะมีการแถลงจับกุมคนผิดว่า ขอให้ฟังคำชี้แจง แต่หากถามว่าคดีนี้สะท้อนสังคมไทยอย่างไร นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าสังคมไทยวันนี้เป็นสังคมที่เราต้องมาทบทวนว่าจะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีได้อย่างไร ข้อสำคัญคือจิตสำนึกของคนแต่ละคน คนทุกคนถ้ามีคุณธรรมก็จะรู้อะไรดี ไม่ดี อะไรควรทำ ไม่ควรทำ แต่ถ้าทุกคนมองผลประโยชน์ก็มีช่องทางที่จะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย

“วันนี้ผมอยากให้ช่วยกันเปลี่ยนแปลงสังคม สังคมวันนี้ตัดสินคนอื่นไปหมดแล้ว ต้องแก้ไข ต้องกลับมาดูว่าขั้นตอนกระบวนการว่าอย่างไร กฎหมายว่าอย่างไร กระบวนการยุติธรรมคืออะไร มันก็เลยทำให้เกิดความสับสนอลหม่านไปหมด ความเชื่อมั่นก็หายไป จึงทำให้สังคมมีปัญหาไปทั้งหมด เพราะฉะนั้น บทเรียนเรื่องนี้ไม่ใช่ของรัฐบาล แต่เป็นบทเรียนของคนทุกคน ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีลงไปทั้งหมด ทุกคนต้องดูแลตัวเองให้อยู่ในกรอบการทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่างที่ผมเคยบอกเรื่องไทยนิยมยั่งยืน ก็คือทำในสิ่งที่ดีงาม ไม่โกง ไม่ทุจริต ไม่มีส่วนร่วมในการทุจริต ถ้าทำให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นได้ สังคมก็จะไม่ปั่นป่วนเหมือนวันนี้ แต่เราต้องคำนึงถึงการมีหลักคิดที่ถูกต้อง ปลูกจิตสำนึกเรื่องความซื่อสัตย์ ไม่ทุจริต” นายกรัฐมนตรีกล่าว

เผยเลือกตั้งไม่เกินกุมภาพันธ์ 2562

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีมีข่าวนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศตั้งพรรคการเมืองหนุน พล.อ. ประยุทธ์ ว่า “เป็นเรื่องของท่าน ใครจะตั้งก็ตั้งกันไป ในส่วนที่จะสนับสนุนผมในการเป็นรัฐบาลก็ขอขอบคุณ เพราะมีหลายคนพูดจาอย่างนั้น แต่จะเป็นไปได้อย่างไรต้องอยู่ที่กฎหมาย อยู่ที่รัฐธรรมนูญเขียนไว้ว่าอย่างไร ไม่ใช่สนับสนุนผม แล้วผมจะได้เป็นอะไร แล้วมาขัดแย้งกันต่อไปด้วยคำว่าสนับสนุนไม่สนับสนุน ก็ขยายขายข่าวกันไปเรื่อย พอได้แล้ว”

ส่วนวันที่ 1 มีนาคม 2561 ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นให้กลุ่มการเมืองแจ้งจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ได้ คสช. อนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ได้ ให้จัดการประชุมพรรคได้ ส่วนการจัดกิจกรรมการเมืองให้ขออนุญาต คสช. เป็นครั้งคราว บางเรื่องอาจจะอนุมัติ บางเรื่องอาจจะไม่อนุมัติ ส่วนเรื่องอื่น ๆให้ขออนุญาต คสช.

สำหรับพรรคการเมืองเก่า วันที่ 1 เมษายน 2561 จะเริ่มให้มีการสำรวจสมาชิกพรรค เพราะมีบัญชีรายชื่ออยู่แล้ว แต่ยังประชุมพรรคไม่ได้ แต่หลังจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งจะเสร็จประมาณเดือนมีนาคม หลังจากนั้นก็จะถวายเพื่อทรงพิจารณา ใช้เวลาประมาณ 3 เดือน และกฎหมายจะออกมาประมาณเดือนมิถุนายน  2561

หลังจากนั้นจะมีการประชุมกันของแม่น้ำ 5 สาย เพื่อหารือกันว่าควรจะกำหนดวันเลือกตั้งเมื่อไหร่ ทั้งนี้จะอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด คือไม่เกินเดือนกุมภาพันธ์ 2562 เพราะมีการเลื่อนไปจากเดิม 90 วันตาม พ.ร.บ. ที่มีผลบังคับ

“ตอนนี้ผมก็ตอบชัดเจนว่าการเลือกตั้งไม่เกินกุมภาพันธ์ 2562 จะเอาอะไรกันอีก แต่ทั้งนี้จะอยู่ในห้วงวันเวลาไหน ก็อยู่ที่ในห้วงเวลาดังกล่าว คือ ในช่วง 150 วัน แล้วใน 150 วันก็ต้องพิจารณาดูว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไรบ้าง ผมไม่ได้ขู่นะ เดี๋ยวคอยดูแล้วกัน เวลาปลดล็อกทางการเมืองจะเกิดอะไรขึ้นมาบ้าง ผมก็หวังให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นมา หาเสียงกันโดยสงบ ไม่ใส่ร้ายป้ายสีกัน ไม่ยุยงปลุกปั่น มันจะได้เลือกตั้งได้ ผมก็อยากให้เลือกตั้งได้ ไม่ได้หมายความว่าจะให้เลือกตั้งไม่ได้ แล้วผมจะได้อยู่ต่อ ถ้าคิดแบบนี้ก็ไม่อยากคุยด้วย หรือเรื่องล้มกฎหมาย ก็ไม่ใช่นโยบาย ทำไม่ได้ และก็ไม่ควรจะล้ม ก็ไปหาทางกันให้ได้ ให้เลือกตั้งได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ส่วนกรณีคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่มีความกังวลว่าจะเกิดสุญญากาศ พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่าไม่มีวันเกิดสุญญากาศได้  เพราะ กกต. เก่ายังอยู่ ส่วน กกต. ใหม่คิดว่าต้องทำให้ทัน ถ้าเลือกใหม่ได้ทันก็ทำไป แต่ถ้าไม่ทัน ชุดเก่าก็จะเป็นคนจัดการเลือกตั้ง จบมั้ย จบ พอได้แล้ว พาดหัวข่าวกันทุกวัน

หนุนสร้างท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ ลดปัญหาเซ็กส์ทัวร์

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีนายฮามัท บาห์ รัฐมนตรีกระทรวงท่องเที่ยวประเทศแกมเบียระบุว่าประเทศไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวเซ็กส์ทัวร์ ว่า มีคำกล่าวอย่างนี้มานานแล้ว เราต้องยอมรับความจริงที่ว่ายังมีคนที่หากินในอาชีพเหล่านี้อยู่ จะต้องไปแก้ปัญหาเรื่องรายได้ เรื่องอาชีพ ให้กับคนที่ยังหากินในทางที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งยังมีอยู่จำนวนมาก  แต่ในส่วนที่ดีก็มีมากเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นที่พัทยาหรือชลบุรี

“อย่าพูดทำให้ประเทศเสียหายมากนัก ถ้าเขาว่ามา เราก็ต้องทำตามกฎหมายให้ได้ บังคับใช้กฎหมายให้ได้ เพื่อให้มันดีขึ้น แล้วก็ต้องสร้างพัทยาหรือสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงคุณภาพโดยไม่มีเรื่องเหล่านี้ สื่อก็ต้องช่วยกันทำความเข้าใจ ประเทศก็ต้องชี้แจงให้ได้ ดำเนินการตามกฎหมายให้ได้” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ทั้งนี้ การดำเนินการตามกฎหมายจะมีผู้เดือดร้อนเยอะ ทั้งผู้เดือดร้อนโดยสุจริตและไม่สุจริต แต่ต้องดูว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบในวงกว้างจนเกินไป จนทำให้เกิดผลกระทบในส่วนรวมอื่นๆ

กำชับ “ทส.-สตช.”ทำคดี “เปรมชัย” ตามข้อเท็จจริง

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคืบหน้าการดำเนิคดีนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 4 คน ลักลอบล่าสัตว์ป่าภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ว่าได้กำชับกระทรวงกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) และสำนักงานตำตรวจแห่งชาติ (สตช.) ไปแล้วว่าต้องทำคดีให้ตรงตามข้อเท็จจริง โดยกระบวนการหลังจากนี้เป็นเรื่องของตำรวจที่ต้องไปพิสูจน์สอบสวน หาหลักฐานพยานต่างๆ แล้วนำไปสู่การทำสำนวนให้อัยการสั่งฟ้อง หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่าอย่าไปตัดสินคนว่าคนนี้ต้องทุจริตวันนี้ คาดว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไปคาดการณ์ล่วงหน้าอย่างนั้นไม่ได้ ต้องให้เป็นเรื่องของกฎหมาย เป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรม  ไม่ใช่ว่าคนรวยติดคุกไม่ติดคุก คนละเรื่องกัน  คิดอย่างนั้นสังคมก็ปั่นป่วนหมด ก็ขอให้เชื่อมั่นแล้วกัน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

สั่งแล้วลงโทษเด็ดขาด ขรก. โกงเงินคนยากไร้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามกรณีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) รายงานเรื่องการทุจริตเงินผู้ยากไร้ โดยตั้งข้อสังเกตว่าอาจมีการเชื่อมโยงกับข้าราชการระดับสูงในกระทรวงว่า ได้สอบถามไปทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งระบุว่างบประมาณผู้ยากไร้มีมายาวนานแล้ว และกำหนดว่าสามารถให้เป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ เพื่อไปทำประโยชน์ดูแลผู้ยากไร้ แต่ก็มีคนมาแสวงโอกาส ซึ่งเป็นเรื่องกระบวนการภายในที่จะต้องตรวจสอบออกมา

“ผมได้สั่งการไปแล้วว่าต้องลงโทษโดยเด็ดขาดทั้งวินัยและอาญา และสั่งให้ออกมาปฏิบัติหน้าที่ที่สำนักนายกฯ ถ้าตรวจสอบแล้วไม่ผิดก็กลับไปทำงานได้เหมือนเดิม ขอให้เข้าใจว่าเป็นเรื่องความผิดปกติในการใช้เงินของราชการ ให้แยกกรณีออกจากกันจากเรื่องโยกย้าย ส่วนจะมีการเชื่อมโยงกับการโยกย้ายตำแหน่งหรือไม่ ต้องหาหลักฐานมาตรวจสอบ” นายกรัฐมนตรีกล่าว

หวังโอไอซี เข้าใจการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้

พล.อ. ประยุทธ์ ตอบคำถามถึงความคาดหวังของรัฐบาลจากการที่คณะผู้แทนชาติสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) เดินทางลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ตนคาดหวังว่ามันจะดีขึ้น คือสร้างความเข้าใจกับเขาในเวทีประเทศอิสลามหรือโลกมุสลิม ให้เขาเข้าใจว่าการแก้ปัญหาภาคใต้เราไม่ได้แก้ไขแบบที่อื่นๆ แต่มีวิธีการที่แตกต่างกันออกไป ไม่ใช่การรบกัน ไม่ใช่การใช้อาวุธ แต่แก้ปัญหาโดยการบังคับใช้กฎหมายกับเรื่องการพัฒนา พัฒนาในทุกอย่าง

ทั้งนี้รัฐบาลมีโครงการต่างๆ ลงไปมากมายใน 3  จังหวัดภาคใต้ มีงบประมาณลงไปพอสมควร ในเรื่องการสร้างเศรษฐกิจใหม่ ให้ความสำคัญจัดเป็นพื้นที่พิเศษ หรือกิจกรรมในเรื่องการพัฒนา เรื่องการศึกษา แม้กระทั่งเปิดเวทีแสดงความคิดเห็นให้ทุกภาคส่วนที่ขัดแย้งกัน เห็นไม่ตรงกัน มารับฟังปัญหาซึ่งกันและกันในเวทีเดียวกัน เพื่อจะได้นำไปสู่ข้อสรุปว่าจะแก้กันอย่างไร

“ที่ผ่านมาฝั่งแต่ละฝ่ายประชุม รัฐบาลอยู่ตรงกลาง ก็แก้อะไรไม่ได้ แต่วันนี้รัฐบาลทำและประชุมมาหลายครั้งแล้ว เอาภาครัฐ ข้าราชการ ภาคประชาชน นักธุรกิจ ชาวไทยพุทธ ชาวไทยมุสลิม มาคุยกันในเวทีเดียวกันเพื่อให้แก้ปัญหาให้ได้วันนี้รัฐบาลมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ซึ่งใช้มากเกินไปกฎหมายก็เสียหายอีก สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้ เพราะทุกคนไม่ร่วมมือ ดังนั้น รัฐบาลก็ต้องใช้กฎหมายตอบสนองป้องกันความเสียหาย การบาดเจ็บสูญเสียของประชาชนได้อย่างไร รัฐบาลจะมุ่งเน้นตรงนั้น แล้วนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน” นายกรัฐมนตรีกล่าว

ประกาศ วันที่ 12 เมษายน เป็นวันหยุด

พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติประกาศให้วันที่ 12 เมษายน 2561 เป็นวันหยุดเพิ่มเติม ในช่วงเทศกาลสงกรานต์โดยในส่วนรัฐบาลยังคงมีมาตรการอำนวยความสะดวกในการเดินทางของประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเรื่องการลดการสูญเสียทางจราจร พล.อ. ประยุทธ์ ระบุว่าก็ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยการบังคับใช้กฎหมาย แต่วันนี้ปัญหาอยู่ที่คน จะโทษเจ้าหน้าที่อย่างเดียวไม่ได้ ปัญหาเกิดจากการไม่รู้จักควบคุมตัวเอง รัฐบาลก็มีกฎหมายบังคับใช้ ถ้าทำผิดก็ดำเนินคดี ก็มีอยู่แค่นั้น ก็ได้แต่เตือน

“ปีนี้ผมบอกไปแล้วว่าไม่ให้เอาตัวชี้วัดว่าสงกรานต์จะตายเท่าไหร่ เพราะผมจะวัดและประเมินผลจากการสูญเสียทั้งปี ปีหนึ่งคนตายเท่าไหร่จากเรื่องจรราจร ถ้ามามองช่วงเทศกาล 4-5 วันคงไม่ใช่ แต่จะต้องทำให้ประชาชนมีจิตสำนึกว่าถ้ากินเหล้าเมื่อไหร่อย่าขึ้นรถ คนขับที่กินเหล้าแล้วขับรถก็อย่าไปขึ้นรถ คนขับกินเหล้า ไม่ได้พักผ่อน ขับรถควงกะทีเดียวยาวเหยียดก็อย่าไปขึ้น” นายกรัฐมนตรีกล่าว

แต่ที่ผ่านมาทุกคนก็ยอมรับกัน เพราะถึงเวลาก็อยากกลับบ้าน คนขับจะเป็นยังไงก็ช่าง เดี๋ยวก็ถึงบ้าน ห้อยพระเอา จะไปได้ที่ไหนเล่า แล้วจะไปโทษตำรวจ โทษรัฐบาล เขาก็เต็มทีแล้ว ทั้งที่มันเกิดขึ้นจากคนขับรถ ฉะนั้นคนขับรถกับคนโดยสารก็ต้องเตือนดูแลกัน

มติ ครม. มีดังนี้ 

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐตรี

แก้ กม.ตลาดหลักทรัพย์ – แยกกองทุนพัฒนาตลาดทุนอิสระ ทุน 5.7 พันล้าน

นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (ชุดยกระดับการกำกับดูแลตลาดทุนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล)  เนื่องจากกฎหมายฉบับเดิมมีการประกาศใช้ตั้งแต่ปี 2535 มีความไม่ยืดหยุ่นและยังไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล ไม่มีการคุ้มครองประโยชน์แก่ผู้ลงทุนเท่าที่ควร และยังขาดการบูรณาการการส่งเสริมด้านการลุงทุน

ทั้งนี้สาระสำคัญดังกล่าว เช่น มีการปรับปรุงบทนิยามการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ และหลักเกณฑ์ในการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ให้เหมาะสม เพื่อให้กฎหมายมีความยืดหยุ่นและครอบคลุมมากขึ้นในรองรับกรณีของ “ฟินเทค” (FinTech) หรือบางบริษัทอาจเข้ามาร่วมในศูนย์ทดสอบและพัฒนานวัตกรรมที่นำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการให้บริการทางการเงิน (Regulatory Sandbox) การกำหนดทุนจดทะเบียนขั้นต่ำเป็นอำนาจของคณะกรรมการ ก.ล.ต. ซึ่งในอดีตกำหนดไว้ค่อนข้างสูงเพราะถือว่าบริษัทหลักทรัพย์นั้นต้องมีความมั่นคงแต่ปัจจุบันมีกรณีของสตาร์ทอัปเข้ามาจึงต้องการอำนวยความสะดวกให้แก่บริษัทใหม่ๆ ที่จะเข้ามาเพิ่มเติม

กำหนดให้สำนักงาน ก.ล.ต. ด้วยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ก.ล.ต. มีอำนาจสั่งให้บริษัทจดทะเบียนจัดประชุมผู้ถือหุ้นในกรณีที่ไม่สามารถใช้กลไกปกติในการบริหารจัดการบริษัทได้ ปรับปรุงเกี่ยวกับบทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกำกับดูแลตลาดหลักทรัพย์ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล รวมไปถึงการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดทุน โดยให้อำนาจ ก.ล.ต. เปิดให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่บริษัทหลักทรัพย์ที่เป็นสมาชิกสามารถซื้อขายหลักทรัพย์จดทะเบียนทุกประเภทในตลาดหลักทรัพย์ สามารถเชื่อมโยงตลาดหลักทรัพย์ประเทศอื่น เพื่อส่งเสริมการแข่งขัน และการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพ รวมทั้งเพิ่มความรับผิดชอบและกลไกในการตรวจสอบดูแลการบริหารจัดการกองทุนรวมของบริษัทหลักทรัพย์ ตลอดจนกำหนดให้มีหารจัดตั้งกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF) และเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความชัดเจน และความโปร่งใสในการดำเนินงานของ ก.ล.ต. โดยต้องเสนอแผนพัฒนาตลาดทุนแก่กระทรวงการคลังทราบทุกปีรวมทั้งปรับปรุงบทกำหนดโทษให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น

“จะมีการแยกกองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุนออกเป็นนิติบุคคลเป็นอิสระต่างห่างจากตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีบทบาทในการพัฒนาตลาดทุนโดยเฉพาะ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการกำหนดนโยบายและบูรณาการงานด้านการพัฒนาตลาดทุนไทยโดยตลาดหลักทรัพย์จะต้องโอนเงินหรือสินทรัพย์เพื่อเป็นทุนประเดิมให้แก่กองทุนเป็นจำนวน 5.7 พันล้านบาท พร้อมทั้งมีหน้าที่จ่ายเงินให้แก่กองทุนฯ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 90 ของรายได้ในแต่ละปี” นายณัฐพรกล่าว

เห็นชอบลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนห้างหุ้นส่วน-บริษัทจำกัด

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียน การขอตรวจเอกสาร การขอสำเนาเอกสารพร้อมคำรับรอง และค่าธรรมเนียมอื่นที่เกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด พ.ศ. …. เนื่องจากธนาคารโลกได้มีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยปรับปรุงค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนและบริษัทจำกัด โดยให้กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมแบบคงที่ (Flat Rate) และปรับค่าธรรมเนียมอื่นๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบธุรกิจใช้บริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น จึงมีการลดอัตราค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนผ่านช่องทางดังกล่าวลงร้อยละ 30 โดยจะมีผลบังคับใช้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2563

ทั้งนี้ มีกรณีที่ได้รับการปรับปรุงค่าธรรมเนียม เช่น การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วน มีอัตราการจดทะเบียนปัจจุบันที่ 1,000-5,000 บาท ซึ่งเป็นอัตราไม่คงที่อัตราขึ้นลงตามขนาดของธุรกิจที่จดทะเบียน ขณะที่อัตราปรับปรุงใหม่กำหนดแบบคงที่อยู่ที่ 1,000 บาท และสำหรับผู้จดทะเบียนผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 700 บาท สำหรับการจดทะเบียนการแปรสภาพห้างหุ้นส่วนเป็นบริษัทจำกัดเดิมมีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ระหว่าง 5,000-250,000 บาท อัตราปรับปรุงใหม่อยู่ที่ 5,000 บาท และผู้จดทะเบียนผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์มีอัตราค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 3,500 บาท เป็นต้น

“เพราะหลักการจดทะเบียนฯ ไม่ควรให้เกิดความยุ่งยาก ซึ่งการใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ช่วยอำนวยความสะดวกลดขั้นตอนที่ซ้ำซ้อนให้แก่ผู้ประกอบการ และช่วยลดค่าใช้จ่ายของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่รับจดทะเบียนได้ รวมถึงค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนไม่ควรขึ้นกับขนาดของธุรกิจ เนื่องจากการจัดเก็บภาษีจะเป็นไปตามผลกำไรของธุรกิจอยู่แล้ว โดยการลดอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะทำให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าสูญเสียรายได้ไป 300 ล้านบาท จากเดิมมีรายได้จากช่องทางดังกล่าวประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี” นายณัฐพรกล่าว

ชื่นมื่น รายงานตลาดละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาไร้ชื่อไทย

นายณัฐพรกล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานผลการทบทวนรายชื่อตลาดที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาสูงในประเทศคู่ค้าของสหรัฐอเมริกา (Out-of-Cycle Review of Notorious Market) ประจำปี 2560 ของสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) โดยถือเป็นข่าวดีที่ไม่ปรากฏชื่อย่านการค้าหรือศูนย์การค้าในประเทศไทย ทั้งประเภทที่เป็นตลาดทั่วไป และตลาดออนไลน์ ว่าเป็นตลาดที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา (Nototious Market)

อนึ่งในอดีตตั้งแต่ปี 2550 มีย่านการค้าในเมืองไทยที่ถูกระบุว่าเป็นตลาดที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาทั้งหมด 13 แห่ง ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า, คลองถม, สะพานเหล็ก, บ้านหม้อ, ตลาดนัดจตุจักร, ศูนย์การค้ามาบุญครอง, ตลาดนัดถนนวิทยุ, ถนนสุขุมวิทซอย 3-19, พัฒน์พงศ์, หาดกะรน หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต, ศูนย์การค้าไอทีซิตี้ พัทยา และตลาดโรงเกลือ

“ในปี 2560 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการปราปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะ 13 ย่านการค้า มีการจับกุมการละเมิดในพื้นที่ดังกล่าวได้กว่า 900 คดี ยึดของกลางได้เกือบ 150,000 ชิ้น ซึ่งทางสหรัฐฯ ได้ชื่นชมการดำเนินงานของไทย โดยเฉพาะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามที่ดำเนินการอย่างเข้มงวดและจริงจัง และมีการจัดตั้งศูนย์ปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อตรวจตราจับกุมร่วมกับเอกชนเจ้าของสิทธิ์ และหน่วยงานรัฐและเอกชนเจ้าของพื้นที่มีการสอดส่องดูและไม่ให้มีการจำหน่ายสินค้าที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาในพื้นที่” นายณัฐพรกล่าว

ต่อเวลาเบิกจ่ายเงิน “โครงการเกษตรประชารัฐ”

มีรายงานเพิ่มเติมว่าที่ประชุม ครม. อนุมัติขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายค่าแรงงาน  ในการดำเนินคืบหน้าการดำเนินโครงการเกษตรประชารัฐ (โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรยั่งยืนเดิม) ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยเบิกจ่ายงบประมาณค่าจ้างแรงงานโครงการของชุมชนในพื้นที่อำเภอเมืองสกลนคร จ.สกลนคร จำนวน 5 ชุมชน เป็นเงินทั้งสิ้น 4.56 ล้านบาท

โดยทั้ง 5 ชุมชนดำเนินการตามแผนงานโครงการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่สามารถเบิกจ่ายค่าแรงงานได้ทันตามระยะเวลาที่กำหนด คือ ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2560  เนื่องจากบัญชีที่เกษตรกรเปิดไว้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ถูกปิดไปแล้ว จึงจำเป็นต้องเสนอคณะรัฐมนตรีขออนุมัติหลักการให้ขยายระยะเวลาเบิกจ่ายงบประมาณดังกล่าวออกไป

ทั้งนี้ ผลสรุปโครงการเกษตรประชารัฐ  มีชุมชนที่เข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 24,147 โครงการสร้างรายได้ให้เกษตรกรที่เข้าร่วมเป็นแรงงาน 2.25 ล้านราย เฉลี่ยรายละ 4,400 บาท และพบว่า 80.78% ของโครงการในชุมชนสามารถสร้างรายได้หรือผลประโยชน์กลับมาให้โครงการ 195,200 บาท หรือ  21.76% ของงบสนับสนุนเฉลี่ย 897,130 บาทต่อโครงการโครงการนี้ได้ส่งผลให้เกิดกระแสเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก 54,040 ล้านบาท คิดเป็น 2.73 เท่า จากงบประมาณที่ชุมชนเบิกจ่าย 19,783.67 ล้านบาท

อนึ่ง โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อฯ ปิดโครงการไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ครม. ได้มีมติให้เปลี่ยนชื่อเป็น “โครงการเกษตรประชารัฐ” เพื่อความเหมาะสม เนื่องจากโครงการต่างๆ ที่ดำเนินการโดยเกษตรกรมีลักษณะคล้ายกับโครงการประชารัฐ ซึ่งหากมีการดำเนินงานในระยะที่ 2 จะจัดให้ดำเนินการภายใต้โครงการประชารัฐของรัฐบาล

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัติ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (ขวา-ซ้าย) ที่มาภาพ: www.thaigov.go.th

มอบ กต. คุมคณะกรรมการ ติดตามนักโทษหนีคดีใน ตปท.

พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ครม. ถึงการติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีไปต่างประเทศ เนื่องจากที่ผ่านมามักจะถูกวิจารณ์ว่ารัฐบาลไม่สามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดกลับมาดำเนินคดีได้ ซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งเนื่องจากมีหลายหน่วยงานรับผิดชอบ ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานอัยการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่แต่ละหน่วยงานมีบทบาทหน้าที่ของตัวเอง

“จึงได้ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้นมา 1 ชุด โดยให้กระทรวงการต่างประเทศกำกับในภาพรวม เพื่อประสานการทำงานและกำหนดภารกิจของแต่ละหน่วยให้มีความชัดเจน ว่าใครทำอะไร และติดขัดในขั้นตอนไหน เพราะเรื่องนี้ไม่ได้มองเพียงภายในประเทศ และขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศปลายทางด้วย” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ได้เห็นชอบการลงนามหนังสือแสดงเจตจำนงระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษและสำนักงานตำรวจแห่งประเทศเนเธอร์แลนด์สำหรับการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ ตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอ ซึ่งร่างหนังสือแสดงเจตจำนงมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างกรอบการทำงานพื้นฐานสำหรับความร่วมมือระหว่างผู้ร่วมดำเนินการทั้งสองฝ่ายในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรูปแบบของกิจกรรมความร่วมมือจะครอบคลุมในด้านต่างๆ คือ 1) การแบ่งปันข้อมูลในด้านการบังคับใช้กฎหมาย 2) การปฏิบัติการประสานงานในด้านการบังคับใช้กฎหมาย และ 3) การสร้างความเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นทางด้านเครือข่ายความร่วมมือที่มีอยู่

นายกฯ สั่งการ ครม.สัญจร เตรียมถก กม.แรงงานต่างด้าว

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ในที่ประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีได้สั่งการถึงเรื่องกฎหมายแรงงานต่างด้าว ตามที่ได้มีการออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารจัดการการทำงานของแรงงานต่างด้าว ให้นำร่างพระราชกำหนดเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ที่ จ.เพรชบุรี ในวันที่ 6 มีนาคม 2561 นี้

“นายกรัฐมนตรีได้เน้นย้ำว่าจะต้องช่วยกันทำความเข้าใจร่างกฎหมายฉบับใหม่ดังกล่าว เพื่อให้นายจ้างและลูกจ้างเกิดความเข้าใจที่ตรงกันว่ากฎหมายนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้แรงงานต่างด้าวเพื่อเข้ามาแย่งงานแรงงานไทย แต่แรงงานไทยยังได้รับการคุ้มครองในเรื่องประโยชน์ต่างๆ ซึ่งนายกฯ กำชับว่าให้ทำความเข้าใจ อธิบายความให้ชัดเจน เพราะเป็นห่วงว่าจะถูกบิดเบือนไปให้เข้าใจว่าแรงงานต่างด้าวมาแย่งงานของแรงงานไทย” พล.ท. สรรเสริญกล่าว

เปิดช่องหน่วยงานรัฐรับซื้อยางเพิ่ม กำหนด “ทีโออาร์” ได้เอง

พล.ท. สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี รายงานผลการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง คือ กรมบัญชีกลาง และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ในเรื่องการแก้ไขปัญหายางพาราโดยมีข้อสรุปว่า ต่อจากนี้หน่วยงานของรัฐสามารถกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมลงไปในทีโออาร์ถ้ามีบริษัทใดที่จะมารับงานประมูลของรัฐ ให้สามารถซื้อยางจากการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) และอนุญาตให้ซื้อจากองค์กรหรือบริษัทใดก็ได้ แต่จะต้องซื้อยางใหม่จากเกษตรกร ไม่ใช่ยางเก่าในสต็อก และไม่ถือว่าเป็นการล็อกสเปกแต่อย่างใด เพื่อทำให้สามารถพยุงราคายางและดูแลราคายางของเกษตรกรให้อยู่ในราคาที่พอใจ

“นายกรัฐมนตรีมีข้อสังเกตว่า หน่วยงานรัฐกว่า 20 กระทรวงยังมีการใช้ยางพาราในปริมาณน้อย รวมแล้วต่อเดือนแค่หลักพันตัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยมีคำสั่งให้หน่วยงานรัฐซื้อยางพาราจากเกษตรกรให้มากขึ้น นายกรัฐมนตรีจึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหามาตรการซื้อยางพาราจากเกษตรกรให้มากขึ้น โดยอาจให้มีการใช้หรือสั่งซื้อยางพาราพ่วงไปในการทำสัญญาทีโออาร์ต่างๆ ตามความจำเป็น เพื่อป้องกันตกต่ำของราคายางพารา สิ่งสำคัญตอนนี้คือต้องเร่งระบายยางพาราใหม่ที่อยู่ในมือของเกษตรกรก่อน จากนั้นค่อยไปเร่งระบายยางพาราที่อยู่ในสต็อกอีกกว่า 140,000 ตัน ที่เหลืออยู่ 300,000 ตัน” พล.ท. สรรเสริญ กล่าว

ชู “สินค้าจีไอ” สร้างรายได้กว่า 200 ล้าน เตรียมจดทะเบียนเพิ่มใน ตปท.

พ.อ. อธิสิทธิ์ ไชยนุวัฒน์ ผู้ช่วยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. รับทราบรายงานผลการดำเนินงานด้านสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (สินค้าจีไอ) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ จากการดำเนินการส่งเสริมและคุ้มครองสินค้าจีไอตั้งแต่ปี 2547 จนถึงวันที่ 8 มกราคม 2561 ปัจจุบันมีสินค้าจีไอที่ขึ้นทะเบียนรวม 84 สินค้า เช่น ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ชามไก่ ลำปางฯ และได้จัดทำหนังสือจีไอไทยแลนด์ 2560 รวบรวมรายละเอียดของสินค้า 79 รายการ ตลอดจนส่งเสริมการจดทะเบียนสินค้าจีไอใน 4 ประเทศ ได้แก่ สหภาพยุโรป เวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย

นอกจากนั้นจะส่งเสริมให้มีการจดทะเบียนสินค้าเพิ่มขึ้น 6 รายการ ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศจีน จดทะเบียนข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ ส่วนกัมพูชาจดทะเบียนกาแฟดอยตุง ขณะที่เวียดนามจดทะเบียนมะขามเพชรบูรณ์ ลำไยอบแห้งสีทอง ลำพูน

“ตลาดจีไอได้สร้างผู้ประกอบวิสาหกิจชุมนุม 350 ราย สร้างรายได้ให้ชุมชนกว่า 200 ล้านบาท โดยนายกรัฐมนตรีสั่งการให้ตั้งเป้าหมายการดำเนินการเพิ่มมูลค่าสินค้าจีไอของไทยมากขึ้น โดยสร้างแรงจูงใจในการขึ้นทะเบียนจดสินค้าจีไอของแต่ละชุมชนที่มีศักยภาพในการนำสินค้า โดยเฉพาะสินค้าเกษตรมาขึ้นทะเบียน เช่น จัดกิจกรรมสัปดาห์ขึ้นทะเบียนสินค้าจีไอตามชุมชน ซึ่งเรื่องนี้มอบให้คณะทำงานโครงการไทยนิยมยั่งยืน กระทรวงมหาดไทย ไปสำรวจว่าแต่ละชุมชนมีศักยภาพด้านใดที่จะจดทะเบียนสินค้าได้บ้าง” พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าว

ครม.สัญจร รอบ 2 ลงพื้นที่ สมุทรสาคร-เพชรบุรี

พ.อ. อธิสิทธิ์ กล่าวว่า ในวันที่ 5-6 มีนาคม 2561 นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีจะลงพื้นที่ตรวจราชการ ที่ จ.สมุทรสาคร และ จ.เพชรบุรี รวมถึงร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม.สัญจร) ครั้งที่ 2/2561 ที่ จ.เพชรบุรี

โดยในวันที่ 5 มีนาคม 2561 นายรัฐมนตรีมีกำหนดการเยี่ยมชมมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพแรงงาน ต.บางหญ้าแพรก และเยี่ยมชมบริษัท ไทยยูเนี่ยนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เพื่อตรวจสอบคุณภาพสินค้าประมง และพบปะพนักงาน แรงงานของบริษัท จากนั้นเดินทางเยี่ยมชมองค์การสะพานปลาสมุทรสาคร เพื่อรับฟังบรรยายสรุปภาพรวมการดำเนินงาน และการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ และตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมการแจ้งเข้าออกของเรือประมงพาณิชย์

สำหรับในช่วงบ่าย นายกฯ เดินทางตรวจราชการที่ จ.เพชรบุรี เพื่อเยี่ยมชมโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ และชมระบบบำบัดน้ำเสียและการกำจัดขยะ รวมถึงเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชนธนาคารปู แพปลา และพบปะผู้นำท้องถิ่นของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 จากนั้นจะเป็นการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง) และชมการสาธิตสกุลช่างเมืองเพชร

ส่วนวันที่ 6 มีนาคม 2561 ในช่วงเช้า นายกรัฐมนตรีจะเป็นประธานการประชุมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ที่ห้องประชุมรอยัลดุสิต บอลลูมเอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน จ.เพชรบุรี จากนั้นเวลา 09.00 น. เป็นการประชุม ครม. อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ส่วนช่วงบ่ายเยี่ยมชมวิสาหกิจชุมชน ศูนย์ข้าวชุมชน ต.ไร่มะขาม อ.บ้านราด และพบปะประชาชน ที่องค์การบริหารส่วนตำบลไร่มะขาม จากนั้นเดินทางกลับกรุงเทพฯ

“แฟลตดินแดง” เฟส 1 แล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ เม.ย.นี้

พล.ท.สรรเสริญ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. ได้รับทราบความคืบหน้าการจัดสร้างอาคารที่พัก เพื่อดูแลชุมชนแฟลตดินแดง โดยโครงการก่อสร้างดังกล่าวในเฟสแรกจะแล้วเสร็จในเดือนเมษายน ปี 2561 เฟสที่ 2 จะแล้วเสร็จกลางปี 2563 เฟสที่ 3 แล้วเสร็จปี 2565 และเฟสที่ 4 แล้วเสร็จในปี 2567 ซึ่งโครงการทั้งหมดถือเป็นของขวัญพิเศษ ที่มอบให้กับประชาชนและนายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำถึง ความจริงใจในการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน

อนึ่งโครงการก่อสร้างพี่พักฯ ชุมชนแฟลตดินแดง มีจำนวนทั้งสิ้น 20,292 ยูนิต สำหรับรองรับผู้อยู่อาศัยแฟลตดินแดงเดิม จำนวน 6,546 ยูนิต และรองรับข้าราชการ ประชาชนผู้มีรายได้ปานกลาง ผู้มีรายได้น้อยและผู้เดือดร้อนจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้อีกจำนวน 13,746 ยูนิต โครงการทั้งหมด 4 เฟสจะใช้เวลาการก่อสร้างรวม 8 ปี

อ่านรายละเอียดมติครมเพิ่มเติม