เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2561 นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ตรวจเยี่ยมพร้อมมอบนโยบาย บริษัท การท่าอากาศยาน จำกัด (มหาชน) (ทอท.) หรือ AOT รวมไปถึงลงตรวจเยี่ยมการทำงานของรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ ก่อนจะแถลงข่าวว่า จากรายงานของนายนิตินัย ศิริสมรรถการ ผู้อำนวยการใหญ่ AOT พบว่าจำนวนผู้โดยสารที่เดินทางมายังสนามบินทั้ง 6 แห่งในปีที่ผ่านมาถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 100 ล้านราย และทำให้สนามบินหลายแห่งไม่สามารถรองรับได้อย่างมีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจนเกิดความแออัด อย่างเช่นสนามบินหลักในกรุงเทพฯ คือสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ เช่นเดียวกับสนามบินเชียงใหม่และสนามบินภูเก็ต
ทั้งนี้ แนวทางแก้ไข AOT ได้ดำเนินโครงการขยายสนามบินอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างอาคารผู้โดยสารระยะที่ 2 ของสนามบินสุวรรณภูมิและเชื่อมโยงสู่อาคารผู้โดยสารหลักผ่านรถไฟฟ้า มีการสร้างหลุมจอดเครื่องบินเพิ่ม 28 หลุม และสร้างทางวิ่งหรือรันเวย์อีก 1 ทาง
“ขณะนี้เราวิ่งตามตัวเลข เพราะทุกครั้งที่ขยายมันก็เต็ม ถ้าผู้โดยสารเพิ่มขึ้นด้วยอัตรานี้ มันก็จะพีคทุกปี พอปี 2564-2565 พวกระบบรางจะเสร็จ การท่าฯ ก็ถึงจะได้พักหายใจหายคอบ้าง” นายไพรินทร์กล่าว
นายไพรินทร์กล่าวต่อไปว่า สำหรับนโยบายของรัฐบาลในขณะนี้คือพยายามจะขยายการท่องเที่ยวที่เป็นจุดแข็งของไทยออกไปยังเมืองรองต่างๆ เพื่อลดความแออัดของและสนามบินและการท่องเที่ยวในเมืองหลัก รวมถึงลดความเสื่อมโทรมของสถานที่ท่องเที่ยวจากความแออัดดังกล่าว ขณะเดียวกัน จังหวัดรองหลายจังหวัดถือว่ายังมีศักยภาพในการท่องเที่ยวที่ควรได้รับการสนับสนุน ซึ่งหน้าที่ของ AOT คือเชื่อมโยงการเดินทางของนักท่องเที่ยวไปยังเมืองรองต่างๆ เหล่านี้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม สำหรับแผนดำเนินการว่าจะมีจังหวัดใดบ้างคงต้องรอให้แผนภาพรวมแล้วเสร็จ โดยปัจจุบันได้จัดตั้งคณะความร่วมมือระหว่างกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาและกระทรวงคมนาคมไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าอีก 3-6 เดือนจะต้องได้ข้อสรุป
“ตัวอย่างของการท่องเที่ยวเมืองรองในญี่ปุ่นคือเมืองฟุกุโอกะ ที่ปัจจุบันได้พัฒนาระบบและเมืองจนปัจจุบันคนไทยก็ไปท่องเที่ยวเรียกว่าตลอดทริปโดยไม่ต้องเข้าไปยังเมืองใหญ่อีก ก็ช่วยลดความแออัดได้” นายไพรินทร์กล่าว
ขณะที่แนวทางการพัฒนารถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ นายไพรินทร์กล่าวว่าจะเริ่มมาตรการเร่งด่วนโดยให้เริ่มเดินรถขบวนแรกตั้งแต่ 05:30 เพื่อลดความแออัดของการเดินทางในช่วงเช้า นอกจากนี้ อาจจะพิจารณาเริ่มเดินรถที่สถานีกลางทาง เนื่องจากปัจจุบันผู้โดยสารหลายรายจะเลือกเดินทางย้อนกลับไปต้นทางก่อน ซึ่งกลับไปเพิ่มความแออัดมากขึ้นและเสียเวลาโดยใช่เหตุ นอกจากนี้ ยังพิจารณาจะให้นำขบวนรถขนส่งกระเป๋ามาปรับปรุงใหม่ให้เป็นขบวนโดยสารแทน
ขณะที่การจัดซื้อรถขบวนใหม่ นายไพรินทร์กล่าวว่าอาจจะต้องรอความชัดเจนของโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี เนื่องจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ทเรลลิงก์เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ โดยคาดว่าช่วงกลางปีจะได้ข้อสรุปว่าใครจะบริหารจัดการเดินรถทั้งระบบและสามารถวางแผนจัดซื้อได้ตรงกับระบบทั้งหมด หากเร่งจัดซื้อไปก่อน ซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี อาจจะทำให้เสียเปล่าได้
ขณะที่ประเด็นราคาอาหารในสนามบินของ AOT แพงเกินไป รวมทั้งอาจจะมีประเด็นการไม่ปฏิบัติตามสัญญาของ AOT และเอื้อประโยชน์ระหว่างกัน นายไพรินทร์กล่าวว่า ต้องแยกเป็นประเด็นถูกหรือแพงและการทำผิดสัญญา ในประเด็นแรกจากที่ไปสำรวจหลายวันก่อน รวมทั้งวันนี้ที่ลงไปในสถานีรถไฟฟ้าก็พบว่ามีหลากหลายราคาตั้งแต่ถูกจนถึงร้านที่มีการบริการที่แพงขึ้นมา ส่วนประเด็นเรื่องสัญญาจากรายงานของ AOT ยังยืนยันว่าทำถูกต้องตามสัญญาคือไม่ได้ตั้งราคาเกิน 20-25% จากราคาอาหารตามห้างสรรพสินค้าภายนอก แต่เรื่องความเหมาะสมของสัญญาว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรสามารถมาทบทวนใหม่หลังหมดสัญญารอบนี้
“สัญญาถูกต้องครับ ผอ. นั่งอยู่ด้วย เท่าที่รายงานเขาปฏิบัติตามสัญญา เราควบคุมราคาอาหารปลายทาง ส่วนทางผู้รับสัมปทานหลักจะไปหาร้านอย่างไรตกลงอย่างไรเป็นอีกเรื่อง ชัดเจนนะ ผมอยากเรียนอย่างนี้ว่าผมไม่อยากว่าฟังมาทางหนึ่งแล้วมาชนกัน อะไรเป็นข้อเท็จจริงก็เป็นข้อเท็จจริง เนื่องจาก ทอท. เป็นหน่วยราชการ เขาพูดโกหกไม่ได้ เหมือนกันผมเป็นข้าราชการผมพูดโกหกไม่ได้ ดังนั้น ชัดเจนในข้อสัญญา เราพูดอย่างไรก็อย่างนั้น ถ้าจับได้ว่าผิดสัญญาเมื่อไหร่ก็ว่ากัน ฟ้องร้องได้อะไรได้ ไม่เช่นนั้นพูดไปแล้วไม่จบ มาบอกว่าร้านค้าของพนักงาน ไม่ใช่พื้นที่สนามบิน ซึ่งไม่มี” นายไพรินทร์กล่าว
ข่าวหรือบทความที่เกี่ยวข้อง
