ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 11-17 พ.ย. 2560: “แพทย์ สธ.” ขับรถชน รปภ. “ทับ-ลากร่าง” – โดนหนัก 5 ข้อหา-สธ. ตั้ง คกก. สอบ

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 11-17 พ.ย. 2560: “แพทย์ สธ.” ขับรถชน รปภ. “ทับ-ลากร่าง” – โดนหนัก 5 ข้อหา-สธ. ตั้ง คกก. สอบ

18 พฤศจิกายน 2017


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 11-17 พ.ย. 2560

  • แพทย์ สธ. ขับรถชน รปภ. “ทับ-ลากร่าง” – โดนหนัก 5 ข้อหา-สธ. ตั้ง คกก. สอบ
  • นายกฯ ยืนยัน ครม.ประยุทธ์ 5 “ประวิตร-อนุพงษ์-ฉัตรชัย” ยังอยู่ครบ – ปฏิเสธควบกลาโหม
  • ยื่นคำขาด “หยัดดัน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม” ไม่งั้นเจอม็อบ
  • ทางหลวงโต้ ถนนไทยไม่ได้อันตรายอันดับ 1 ของโลก
  • รัสเซียเผยภาพ แฉ สหรัฐฯ ช่วยไอเอส – โดนชาวเน็ตจับผิด ชี้ ภาพจากเกม
  • แพทย์ สธ. ขับรถชน รปภ. “ทับ-ลากร่าง” – โดนหนัก 5 ข้อหา-สธ. ตั้ง คกก. สอบ

    นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์ เขต 12
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ (https://www.prachachat.net/?p=71300)

    กลายเป็นเรื่องใหญ่ลากยาวข้ามอาทิตย์ กับเหตุการณ์ที่ นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์ เขต 12 ขับรถชน-ทับ-ลากร่าง นายสมชาย ยามดี หรือ นัท เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข ได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อคืนวันที่ 10 พ.ย. 2560 ที่ผ่านมา

    จากกรณีดังกล่าว หลังจากมีการตรวจสอบพยานหลักฐานทั้งหมด เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหากับ นพ.ยอร์น ทั้งหมด 5 ข้อกล่าวหา คือ

    1. กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส
    2. ขับรถยนต์ขณะเมาสุราเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายสาหัส
    3. พยายามฆ่าคนตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    4. ขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
    และ 5. ขับรถโดยประมาทเฉี่ยวชนแล้วไม่ช่วยเหลือ

    ส่วนในเรื่องของวินัยราชการนั้น เว็บไซต์แนวหน้ารายงานว่า ล่าสุด ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงกรณีอุบัติเหตุรถชนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีนายแพทย์ณัฐวุฒิ ประเสริฐสิริพงศ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน และมอบให้แพทย์หญิงพรรณพิมล วิปุลากร โฆษกและรองปลัดกระทรวงสาธารณสุข รับผิดชอบในเรื่องนี้ โดยเว็บไซต์คมชัดลึกได้รายงานคำให้สัมภาษณ์ของนายแพทย์ณัฐวุฒิว่า คดีอาญาจะเป็นหน้าที่ของตำรวจ ส่วนวินัยราชการจะเป็นเรื่องของ สธ. โดยในเรื่องของวินัยราชการนั้นจะพิจารณาในส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ การดื่มสุรา ซึ่งก็จะพิจารณาคู่ขนานไปกับทางคดี แต่จะประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอข้อมูลหลักฐานที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเก็บได้มาพิจารณาเป็นหลัก ขณะเดียวกัน จะเชิญ นพ.ยอร์น จิระนคร สาธารณสุขนิเทศก์เขต 12 มาให้ข้อมูลด้วยเช่นกัน คาดว่าจะใช้เวลาในการพิจารณาขั้นตรวจสอบข้อเท็จจริงไม่เกิน 1 สัปดาห์ จากนั้นจะนำข้อมูลเสนอผู้บริหารและสอบด้านวินัยราชการต่อไป

    อนึ่ง เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจรายงานว่า นางจำปี ศรีโพธิ์ทอง แม่บ้านที่กระทรวงสาธารณสุข ภรรยานายสมชาย บอกว่า “เมื่อคืน (13 พ.ย. 2560) ก็ได้คุยกับคุณหมอยอร์น เลขาฯคุณหมอ เราก็ขอให้เขาดูแลนายสมชายให้ดีที่สุด เรื่องอื่นเราไม่ได้สนใจ สามารถคุยกันทีหลังได้ แต่ตอนนี้เราขอให้ดูแลนายสมชายให้ดี ให้กลับมาเป็นปกติ ครบ 32 สติสตังค์อยู่ครบ สามารถทำงานได้เหมือนเดิม แม้เรายากจนหาเช้ากินค่ำ แต่ก็ทำงาน ดูแลเลี้ยงตัวเอง วันนี้และพรุ่งนี้เราก็ยังดูแลกัน”

    นายกฯ ยืนยัน ครม.ประยุทธ์ 5 “ประวิตร-อนุพงษ์-ฉัตรชัย” ยังอยู่ครบ – ปฏิเสธควบกลาโหม

    พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

    เว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า เมื่อวันที่ 17 พ.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว ครั้งที่ 6/2560 ถึงการปรับ “ครม.ประยุทธ์ 5″ ว่า เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อถามย้ำว่าได้นำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ แล้วหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ยัง เพราะมีขั้นตอนการทำงานเกี่ยวกับเอกสารอีกมากมาย ขอไม่ต้องเป็นห่วง ตนจะทำให้ดีที่สุด ส่วนกระแสข่าวตนเองนั่งควงตำแหน่ง รมว.กลาโหมนั้น ยังไม่มี 

    เมื่อถามว่า พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมยังอยู่ในรายชื่อ ครม.ประยุทธ์5 ใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า “ทำไมล่ะ รังเกียจเขาหรือไง ข่าวใครเป็นคนพูด หนังสือพิมพ์ลง คุณก็ไปเชื่อหนังสือพิมพ์สิ” พร้อมกล่าวอีกว่า ยืนยันว่า พล.อ. ประวิตร, พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ยังอยู่ เมื่อถามต่อว่า พล.อ. ฉัตรชัย สาลิกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ เพื่อนของท่านยังอยู่ด้วยใช่หรือไม่ พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ยังอยู่ แต่อยู่ตรงไหนยังไม่รู้ ส่วนจะมีรายชื่อ ครม. คนใหม่เพิ่มจำนวนเท่าใดนั้น ก็ไม่รู้เช่นกัน

    ยื่นคำขาด “หยัดดัน พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม” ไม่งั้นเจอม็อบ

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์สำนักข่าวสิ่งแวดล้อม (https://greennews.agency/?p=15784)

    เว็บไซต์สำนักข่าวสิ่งแวดล้อมรายงานว่า ตัวแทนเครือข่ายภาคประชาสังคม ในนามเครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน ประมาณ 30 คน เดินทางมายังศูนย์บริการประชาชน บริเวณสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ตั้งแต่ช่วงเช้าของวันที่ 14 พ.ศ. 2560 เพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ยุติการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. … โดยให้เหตุผลว่าการปรับแก้กฎหมายดังกล่าว นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้แล้ว ยังเอื้อให้เกิดการละเมิดทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพมากยิ่งขึ้น

    น.ส.จินดารัตน์ เพิ่มลาภวิรุฬห์ หนึ่งในเครือข่ายฯ ได้อ่านแถลงการณ์เรื่องขอให้ยุติการเดินหน้าร่างกฎหมายสิ่งแวดล้อม โดยมีสาระสำคัญเรียกร้องใน 2 ประเด็น ได้แก่

    1. ขอให้ยุติการดำเนินการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมฯ  และปรับปรุงสาระสำคัญทั้งฉบับให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฯ พ.ศ. 2560 มาตรา 58 โดยในขั้นตอนของการปรับปรุงต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนด้วย

    2. หากรัฐบาลไม่ยอมยุติการผลักดันร่างกฎหมาย ทางเครือข่ายฯ จะนัดหมายเดินรวมตัวกันที่ทำเนียบรัฐบาลใน วันที่ 6 ธ.ค. 2560 และจะปักหลักไปจนกว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะยุติการเดินหน้าร่างกฎหมาย พร้อมทั้งตั้งต้นจัดทำกฎหมายใหม่

    ตอนหนึ่งของแถลงการณ์ ระบุว่า เครือข่ายฯ ได้จัดเวทีวิเคราะห์ประเด็นปัญหาและข้อเสนอแนะต่อการปฏิรูประบบการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ และได้นำเสนอข้อมูลสู่การพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อย่างเป็นทางการมาแล้ว 2 ครั้ง แต่สิ่งที่ภาคประชาชนเสนอกลับไม่ได้รับการพิจารณาบรรจุในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ แต่อย่างใด

    ทั้งนี้ การฟังแต่ไม่ได้ยิน ของ ทส. เป็นการแสดงเจตนาชัดแจ้งว่าการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ให้ความสำคัญที่จะเอื้อให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่มากกว่าการรักษาสิ่งแวดล้อม เห็นได้จากการนำเนื้อหาของคำสั่งหัวหน้า คสช. ตามรัฐธรรมนูญฯ ชั่วคราว มาตรา 44 บรรจุลงไปในร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ด้วย  ประชาชนจึงไม่อาจยอมให้ความไม่เป็นธรรมนี้ดำรงอยู่ต่อไปและบังคับใช้กับประชาชนทั่วประเทศได้

    อนึ่ง เครือข่ายฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องถึง พล.อ. ประยุทธ์ โดยมีนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้อำนวยการส่วนประสานมวลชน และองค์กรประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ

    ทางหลวงโต้ ถนนไทยไม่ได้อันตรายอันดับ 1 ของโลก

    วันที่ 13 พ.ย. 2560 เว็บไซต์ไทยพีบีเอสรายงานว่า แผนงานสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนระดับจังหวัด (สอจร.) ร่วมกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) เปิดผลรายงานความปลอดภัยทางถนน ปี 2559 ซึ่งประเทศไทยได้จัดทำขึ้นเป็นครั้งที่ 3

    รายงานดังกล่าวพบว่า ปี 2559 มีจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน 22,356 คน โดยเพิ่มจากรายงานความปลอดภัยทางถนนปี 2558 ที่จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนอยู่ที่ 19,479 คน

    จำนวน 3 ใน 4 ของผู้เสียชีวิตเป็นผู้ชาย อันดับ 1 ช่วงวัยที่เสียชีวิตสูงสุด คือ วัยรุ่นและวัยทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 15-29 ปี

    และเมื่อเทียบอัตราส่วนผู้เสียชีวิตต่อประชากร 1 แสนคน พบว่า 10 อันดับที่เสียชีวิตน้อยที่สุด ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพมหานคร 14.3 ยะลา 17.2 แม่ฮ่องสอน 18.2 สตูล 18.3 อำนาจเจริญ 18.4 ปัตตานี 20.1 ศรีสะเกษ 21.8 นราธิวาส 22.4 สุโขทัย 23.0 และน่าน 23.6

    นายแพทย์วิทยา ชาติบัญชาชัย ผู้อำนวยการศูนย์ความร่วมมือแห่งองค์การอนามัยโลกและโรงพยาบาลขอนแก่น เปิดเผยว่า รายงานฉบับนี้สะท้อนว่าสถานการณ์ความรุนแรงของอุบัติเหตุบนถนนเพิ่มขึ้น แม้ที่ผ่านมาจะมีการขับเคลื่อนเรื่องความปลอดภัยทางถนนในทุกภาคส่วนอย่างเข้มข้น ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุทางถนนวิเคราะห์ตรงกันว่า อาจจะต้องทบทวนยุทธศาสตร์ด้านความปลอดภัยทางถนนที่ประเทศไทยนำมาใช้ ที่เน้นแต่การรณรงค์และทำพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งควรต้องเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มงวดมากขึ้น เพราะเป็นจุดอ่อนมานานแล้ว

    นายแพทย์วิทยากล่าวด้วยว่า ในรายงานพบว่า ปี 2559 จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุด ได้แก่ จังหวัดระยอง ร้อยละ 72.2 ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่าประเทศลิเบีย ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของโลก เพราะจังหวัดระยองมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งประชากรในพื้นที่ ประชากรแอบแฝง และนักท่องเที่ยว ส่งผลให้ความเสี่ยงมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่การบังคับใช้กฎหมายยังมีข้อจำกัด

    รายงานดังกล่าว ทำให้ร้อนถึงกรมทางหลวงต้องออกมาตอบโต้ โดยเว็บไซต์เดลินิวส์รายงานว่า นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) ซึ่งดูแลทางหลวงทั่วประเทศกว่า 7 หมื่นกม. เปิดเผยว่า ได้หารือนายสุจิณ มั่งนิมิตร ผอ.สำนักอำนวยความปลอดภัยของทล. เนื่องจากไม่สบายใจถึงตัวเลขที่มีการรายงานจากเครือข่ายฮูในประเทศไทย  จากข้อมูลที่ทราบเบื้องต้นมีการเก็บจาก 3 ส่วน ได้แก่  1. ใบมรณบัตรของกระทรวงมหาดไทย (มท.) กับ กระทรวงสาธารณสุข 2. รายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และ 3. ผู้จด พ.ร.บ. กับบริษัทกลางคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จำกัด  ซึ่งเก็บข้อมูลจากผู้เสียชีวิตเป็นหลัก โดยไม่ได้วิเคราะห์ถึงสาเหตุที่แน่ชัด เช่นพฤติกรรมการขับขี่ของคนไทยที่เป็นสาเหตุหลักของการเกิดอุบัติเหตุทางถนน กว่า 90% ที่เหลือเกิดจากสภาพถนนและสภาพรถ รวมทั้งไม่ได้วิเคราะห์ถึงมาตรฐานถนนทางหลวง พร้อมทั้งยืนยันว่า กรมทางหลวงก่อสร้างถนนได้มาตรฐานระดับสากล โดยอิงมาตรฐานจากแอสโต (aashto) องค์กรชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างงานทางในระดับโลกของอเมริกา

    กระนั้น นายธานินทร์ยอมรับว่าทางหลวงทั่วประเทศมีจุดเสี่ยงอันตรายทั้งหมด 141 จุด เนื่องจากสภาพการก่อสร้างเดิมที่เป็นทางโค้งลาดชัน ตัดเขาหรือทางลงเขา แต่ได้ร่วมกับกระทรวงที่ดินโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง และการท่องเที่ยวญี่ปุ่น หรือเอ็มลิท (MLIT) แก้ไขอยู่โดยใช้โมเดลของญี่ปุ่นแก้ไขปัญหา เนื่องจากลดอุบัติเหตุได้ถึง 70% แต่ปัจจัยหลักคือ การเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงของคนไทย ต้องมีวินัยในการขับขี่เหมือนคนญี่ปุ่น หากมีวินัย ไม่ประมาท ก็สามารถผ่านจุดเสี่ยงได้อย่างปลอดภัย เพราะมีมาตรฐานการป้องกัน เช่น ป้ายเตือนความเร็ว ทาพื้นถนนสีแดงกันลื่น อย่างไรก็ตาม ทล. ไม่ได้ปัดความรับผิดชอบ ต้องดูแลรักษาระบบถนนให้ได้มาตรฐาน พร้อมร่วมมือกับผู้เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนอย่างต่อเนื่อง

    ด้านนายสุจิณ มั่งนิมิตร ผอ.สำนักอำนวยความปลอดภัยของ ทล. กล่าวว่า การอ้างอิงตัวเลขดังกล่าวเป็นการคำนวณตัวเลขเสียชีวิตในภาพรวมไม่ได้เจาะจง หรือคำนวณอัตราการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจริงบนท้องถนน เนื่องจากประเทศไทยขาดการเชื่อมข้อมูลแบบสากล ทำให้ได้และใช้ข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจะส่งผลต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย  อยากย้อนถามฮูว่าถ้าตัวเลขที่ระบุออกมาเป็นข้อเท็จจริง  นั่นหมายความว่า  ประเทศไทยจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนทุกวันเท่ากับช่วงเทศกาล  เพราะสถิติอุบัติเหตุของไทยที่เกิดสูงสุดช่วงเทศกาลสงกรานต์ 7 วันอันตราย เฉลี่ยแล้วเสียชีวิตสูงสุด 470 คน ต่อ 7 วัน หรือสูงสุดตลอดทั้งปี ก็จะมีผู้เสียชีวิตสูงสุดที่ 21,000-22,000 คนต่อปีเท่านั้น  หรือเฉลี่ยวันละ 67 คน  เป็นไปไม่ได้ที่นอกช่วงเทศกาลจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติบนท้องถนนถึง 67 คนต่อวัน ที่เครือข่ายฮูนำมาใช้

    รัสเซียเผยภาพ แฉ สหรัฐฯ ช่วยไอเอส – โดนชาวเน็ตจับผิด ชี้ ภาพจากเกม

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์วอยซ์ทีวี (https://goo.gl/TC9cUg)

    วันที่ 15 พ.ย. 2560 เว็บไซต์วอยซ์ทีวีรายงานว่า กระทรวงกลาโหมรัสเซียเผยแพร่ภาพถ่ายทางอากาศหลายภาพลงบนเว็บไซต์ของตัวเอง โดยบอกว่าภาพถ่ายเหล่านี้ถูกบันทึกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา และเป็นหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ากองกำลังของสหรัฐฯกำลังให้การคุ้มกันขบวนรถของกลุ่มก่อการร้ายไอเอส บริเวณชายแดนรอยต่อระหว่างซีเรียและอิรัก แต่รูปภาพ 1 ใบ กลับถูกผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียตรวจพบว่าไม่ใช่ภาพถ่ายจริง แต่เป็นภาพนิ่งจากเกมบนสมาร์ทโฟนที่ชื่อว่า “AC-130 Gunship Simulator: Special Ops Squadron” ซึ่งเป็นเกมเกี่ยวกับสงครามเวียดนาม และภาพถ่ายอีก 4 ใบก็เป็นภาพจากปีที่แล้วที่เครื่องบินจู่โจมของกองทัพอิรัก ทิ้งระเบิดใส่ฐานที่มั่นของกลุ่มไอเอสในอิรัก

    ขณะนี้ กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้ลบรูปภาพดังกล่าวออกจากบัญชีเฟซบุ๊กและทวิตเตอร์ไปแล้ว โดยอธิบายว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ที่โพสต์รูปภาพผิด และไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นก็ได้โพสต์รูปภาพชุดใหม่ ที่ยังคงยืนยันว่ากองกำลังของสหรัฐฯให้การช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้ายไอเอสในตะวันออกกกลางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ 

    รัสเซียกล่าวหาสหรัฐฯมาเป็นเวลานานว่าแอบให้การช่วยเหลือกลุ่มก่อการร้ายไอเอสในอิรักและซีเรียอย่างลับๆ ซึ่งสหรัฐฯให้การปฏิเสธมาตลอด โดยพันเอก ไรอัน ดิลลอน โฆษกของกองกำลังพันธมิตรที่นำโดยสหรัฐฯให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์เกี่ยวกับการที่กระทรวงกลาโหมรัสเซียนำภาพจากเกมมากล่าวหาสหรัฐฯว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจ เพราะรัสเซียก็ทำแบบนี้บ่อยๆ ที่มักกล่าวหาสหรัฐฯโดยไม่มีมูลความจริงใดๆ