ThaiPublica > คอลัมน์ > รวมเรื่องมหากาพย์ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” (4)

รวมเรื่องมหากาพย์ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” (4)

6 กรกฎาคม 2017


บรรยง พงษ์พานิช

บทความนี้เขียนเมื่อเมื่อสี่ปีก่อน ตอนที่เริ่มเขียน Facebookใหม่ๆ ผมได้เขียนบันทึกความทรงจำในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ไว้อย่างยาว 7 ตอน ในวาระที่ครบ 20 ปี ผมขอเอามารวบรวมไว้ในที่นี้อีกครั้งหนึ่งนะครับ เผื่อคนที่สนใจและยังไม่ได้อ่าน

ตอนที่ 3ผมได้สรุปกระบวนการแก้ไขระบบสถาบันการเงิน ที่ทำให้ระบบหยุดไหล หยุดล่ม ไม่ต้องยึดเข้ามาเป็นของรัฐหมด ถึงแม้จะยังไม่กลับมาขยายตัวเพื่อรองรับเศรษฐกิจ แต่ใช้เวลาปรับตัวต่ออีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา ลองเปรียบเทียบ บ้านเพิ่งโดนนำ้ท่วมใหญ่ วินาศสันตะโร พอนำ้ลดก็จะต้องเก็บกวาด แยกของเน่าของเสีย จัดแจงซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ประปา จัดสร้างเขื่อนกั้นนำ้ (เช่น ระบบบริหารความเสี่ยง) ฯลฯ ก่อนที่พร้อมจะเข้าไปหาซื้อทรัพย์ใหม่เข้าบ้าน ขยายตัวได้อีก ก็โน่นแหละครับ ปี 2544 โดยธนาคารกรุงไทยเป็นหัวหอกบุกตะลุย ทำให้เกิดสภาพแข่งขันขึ้นใหม่

วันนี้จะเล่าถึงกระบวนการด้านองค์กรเพื่อการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ปรส.) ซึ่งถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจัดการกับบริษัทเงินทุนที่ถูกระงับกิจการในวันที่ 5 ส.ค. 2540 รวม 58 แห่ง ซึ่งหลังจากทำหน้าที่พิจารณาแผนที่ทุกคนเสนอเข้ามา แล้วให้ผ่านแค่ 2 แห่ง (เกียรตินาคิน กับ BIC) ปิดถาวร 56 แห่งเมื่อ 8 ธ.ค. 2540 แล้ว เลยต้องทำหน้าที่จัดการกับทรัพย์สินที่ติดอยู่ (ส่วนใหญ่เป็น NPL) ประมาณ 850,000 ล้านบาท ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องค้างคาใจสังคมหลายฝ่ายว่าทำไมต้องรีบต้องร้อนเทกระจาดขาย ได้เงินเพียง 190,000 ล้านบาท เป็นคดีความยาวนาน มหากาพย์เรื่องหนึ่ง ผมจะขอเล่าในมุมที่ผมรับรู้เข้าใจนะครับ

คณะกรรมการฯ และเลขาธิการฯ คนเดิม พอรู้หน้าที่ว่าต้องรับเผือกร้อนสุดๆ ทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินที่ว่า ท่านก็เลยแสดงความสามัคคี ลาออกโดยพร้อมเพรียงกัน ทำให้รัฐบาลต้องไปควานหา อ้อนวอนให้ผู้มีความสามารถ มาช่วยสะสางภาระกิจสำคัญนี้ ก็ไปได้คุณอมเรศ ศิลาอ่อน กับคุณวิชรัตน์ วิจิตรวาทการ (คู่พระเอกของผมโผล่มาอีกคู่แล้วครับ) ที่ยอมมารับตำแหน่งประธานฯ และเลขาฯ ยอมเหน็ดเหนื่อยทำเรื่องยาก แล้วเลยต้องตกระกำกลายเป็นผู้ต้องหาทั้งทางสังคมและทางกฎหมายอย่างน่าเห็นใจยิ่ง

ไอ้ทรัพย์สิน 850,000 ล้านบาทนี้ มีทรัพย์สินประกอบการ กับพวกของตกแต่ง เช่น ตึก ที่ดิน รูปภาพ เฟอร์นิเจอร์ รูปภาพ ฯลฯ อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นเงินให้กู้ซึ่งในที่สุดเป็น NPL กว่า 90% ในตอนแรก มีการพยายามแยกหนี้ดีออกมา โดยจัดตั้งธนาตารรัตนสิน (มี ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย เป็นประธาน) เพื่อซื้อหนี้ดีออกไป แต่ไปๆ มาๆ ไม่มีหนี้ดีให้ซื้อ เลยต้องไปทำอย่างอื่น แล้วก็เลิก ก็ขายไป

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า ทรัพย์สินมูลค่าเกือบ 1/3 ของ GDP ขณะนั้นประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท และส่วนใหญ่เป็นหนี้เสีย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ รวมทั้งผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง ทั้งระบบเศรษฐกิจหลายล้านคน จะจัดการกับมันยังไง ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วว่าไม่ให้ผู้บริหารเดิมดูแลต่อ (ก็ปิดไปแล้ว และผมก็เห็นด้วยไปแล้วในตอนที่แล้วไงครับ) รัฐก็ดูจะมีทางเลือกแค่สองทาง คือ 1) เก็บเอาไว้ (warehousing) แล้วค่อยๆ ดูแล บริหารจัดการ ค่อยๆ เก็บ ค่อยๆ ทวง ว่าๆ กันไป (ผมรับรองว่าดูแลจัดการยากกว่าสต็อกข้าวหลายร้อยเท่า แล้วก็ แฮ่ม…เสียหาย สูญหายได้ง่ายกว่าเยอะ) กับ 2) เทขายออกไป ให้ระบบ ให้เอกชนเข้ามาจัดการ

ประสบการณ์ที่เคยมีในโลกในเรื่องนี้ ช่วงเดียวกันมีอย่างนี้

  • ในอเมริกา มี Saving & Loan Crisis ช่วง 1990 เขาใช้วิธี fire sell ซึ่งได้ผลดีมาก เพราะ สินทรัพย์ไม่ใหญ่ (<5% ของ GDP) กับกลไกตลาดและระบบกฎหมายที่ดีเกื้อหนุน
  • ในสวีเดน มี banking crisis ใหญ่ ปี 1992 รัฐตั้งบรรษัท Securum เพื่อจัดการ bad asset ของระบบ ซึ่งได้ผลดีมาก จัดการได้เร็ว ขายได้เร็ว มีประสิทธิภาพสูง ได้เงินคืนเยอะเป็นประวัติการณ์ recovery rate ดีกว่า 55% เพราะระบบดี และมีประเทศอื่นในยุโรปเข้ามาช่วยซื้อ
  • ใน Peso Crisis ของเม็กซิโกเมื่อปี 1994 รัฐจัดตั้ง Asset Management ขนาดใหญ่ชื่อ FOBAPROA มารับหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ เสร็จแล้วก็เป็นเหมือนรัฐวิสาหกิจในประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลายแหละครับ คือเละ จนถึง 1998 ไม่มีความคืบหน้า แทบจะนั่งทับไว้ แก้ได้น้อยมาก แถมที่แก้ได้บ้างก็มีเรื่องโกงเรื่องกินเต็มไปหมด นี่ถ้านำ้มันไม่ขึ้นราคา สงสัยเม็กซิโกจะฟื้นยาก

แล้วคุณคิดว่า “พี่ไทย” น่าจะเป็นอย่างเม็กซิโกหรือสวีเดนล่ะ

ความจริงมีการพิจารณาที่จะพยายามจัดตั้ง Asset Management เพื่อ Warehouse และค่อยๆ จัดการหนี้เสีย มีการเชิญผู้บริหารของ Securum มาปรึกษา นัยว่าอาจว่าจ้างให้ช่วยบริหารด้วยเลย ซึ่งผมมีโอกาสได้เจอ แต่เขามาดูมาศึกษาแล้วก็สรุปว่าไม่น่าทำได้ ทั้งระบบกฎหมาย ข้อมูล ฯลฯ เรียกว่า “จ้างให้กูก็ไม่ทำ” (นี่โชคดีที่ไม่เชิญพี่เม็กซิโกมา มิฉะนั้นอาจได้ตั้งเพราะนำ้ลายไหลก็ได้) ซึ่งเรื่องนี้เราเห็นได้จาก AMC ของรัฐที่มีการจัดตั้งบ้างในภายหลังว่ามีประสิทธิภาพและกำไร น้อยกว่าของพวกเอกชนเยอะ ไม่ว่าจะ บบส. บสท. สุขุมวิท ฯลฯ ซึ่งน่าจะเป็นเพราะ ห่วย กับ หาย

อีกเรื่องที่สำคัญมาก คือการที่มีทรัพย์สินจำนวนมหึมากว่า 1/3 ของGDP ติดอยู่กับ ปรส. ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าทรัพย์สินพวกนี้จะไม่สามารถสร้างผลิตผลได้ กิจการชะงักงัน หรือทำได้ก็ไม่เต็มที่ เช่น หา working cap ไม่ได้ แถมยังจะตั้งหน้าตั้งตาไซฟ่อน ปล้นจากเจ้าหนี้ทุกวิถีทางอีก การที่รีบคืนทรัพย์ให้กับระบบเพื่อจะได้เริ่มการผลิตตามปกติ และจะได้ขยายตัวต่อไป (เป็น NPL ขยายตัวไม่ได้ มีแต่หด) เป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน ดังนั้น เมื่อรัฐทำเองก็ไม่ได้ไม่ดี ก็นำไปสู่การตัดสินใจสำคัญ คือ การขายทอดตลาด firesale ซึ่งอีกละ…ในความเห็นผม เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ชอบแล้ว (ไอ้เตา…มันเป็นเรื่องความวินาศนะ เขียนมาตั้งนานยังไม่ค่อยด่าใครเลย ชมลูกเดียว เดี๋ยวคนเลิกอ่านนะ…ไม่มันเลย…ผิด norm ไทยๆ หมดเลย)

มีข้อโต้แย้งมากมายว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ น่าจะแยกทรัพย์เป็นหลายประเภทแล้วจัดการต่างกัน ก็น่าจะต้องใช้เวลาสัก 3 ปี ยิ่งบางคนมาวิจารณ์ภายหลังเข้าทำนอง “รู้อะไร ไม่เท่า รู้งี้” ก็ว่ากันไป ความจริงมีความพยายามพิจารณาทุกช่องทาง เช่น พยายามปรับกฎหมายเพื่อให้กระบวนการแก้ไขดีขึ้น สะดวกขึ้น พวกที่เสียประโยชน์ก็โวยวาย เรียกว่าเป็นกฎหมายขายชาติ ล็อบบี้วุฒิสภาวุ่นวายไปหมด กฎหมายเลยออกไม่ได้ ออกช้า หรือไม่ก็บิดเบือน อย่างที่บอกแหละครับทั้งกฎ ทั้งกลไก มันไม่เอื้อ ขณะที่จะรอก็รอไม่ได้อย่างที่บอก

กรณี ปรส. นี้เป็นการกัดลูกปืน (bite the bullets) ครั้งใหญ่ ความไม่มีประสิทธิภาพของระบบ เช่น ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูล ระบบกฎหมาย ต่างๆ ทำให้เกิดความเสียหายกว่า 600,000 ล้านบาท ซึ่งผมคิดว่าเป็นต้นทุนการแก้วิกฤติที่ไม่ได้รั่วไหลเข้ากระเป๋าใคร (ถึงได้ไม่มีงบซื้อสื่อให้เชียร์ไงครับ) (อ้าวไอ้เตา…เล่นฐานันดร 4 เลยนะ คราวนี้) ถือเป็นต้นทุนสูงลิ่ว แต่ไม่มีทางเลือก ผมเชื่อว่าเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจเดินได้อีก และรัฐไม่ต้อง nationalize กิจการเอกชนมากเกินไป ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมเชื่อเลยว่าเราจะเผชิญ หายนะยาวนาน

คนที่เกี่ยวข้อง ตัดสินใจ และปฏิบัติ ในเรื่องนี้ เช่น รัฐบาล กระทรวงการคลัง IMF รวมทั้งผู้ดำเนินการ อย่างคุณอมเรศ คุณวิรัตน์ และทีมงาน ก็น่าจะรู้ว่ามีโอกาสที่จะต้องถูกประณาม ถูกเช็คบิลสูง แต่ผมขอสวนกระแสยกย่องเชิดชูในฐานะผู้ที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงให้เรากลับมาเดินได้อีก ผมจะดีใจและภูมิใจมากถ้าข้อมูลเหล่านี้เป็นประโยชน์ในการยื่นอุทธรณ์คดีที่ท่านได้รับการตัดสินอย่างไม่เป็นธรรม (ขอยืนยันว่าผมไม่ได้สนิทสนมเป็นส่วนตัวกับท่านทั้งสองเลย แถมที่เคยเจอกันท่านก็ไม่เคยเห็นผมอยู่ในสายตาเลย ตามบุคลิกของท่าน)

ถึงตอนนี้ อย่าเพิ่งปักใจว่าผมเป็นพวก เป็นสมุนประชาธิปัตย์นะครับ ตอนฟื้นฟูพระเอกของผมอยู่ ไทยรักไทยเกือบหมดเลย

ต้องขอโทษที่วันนี้หนังฉายช้า เลยต้องไปแข่งกับ โจโควิช-เมอร์เรย์ แถมถูกประกบด้วยคุณชายอีกตั้ง 5 คน เพราะเมื่อเช้า ซ่าไม่เจียมสังขาร ไป bike มากว่า 50 กิโล กลางวันเลยสลบยาว นอนไป 4 ชั่วโมง พบกันใหม่ครับ

(อ่านต่อตอนที่5)
หมายเหตุ: ตีพิมพ์ครั้งแรก เฟซบุ๊ก Banyong Pongpanich วันที่ 7 กรกฎาคม 2556