ThaiPublica > เกาะกระแส > ขสมก. แจ้ง “เบสท์ริน” ยกเลิกสัญญาซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน พร้อมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครอง

ขสมก. แจ้ง “เบสท์ริน” ยกเลิกสัญญาซื้อรถเมล์ NGV 489 คัน พร้อมยื่นอุทธรณ์ศาลปกครอง

13 เมษายน 2017


นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แถลงข่าวยกเลิกสัญญาโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงคมนาคม

เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2560 เวลา 16.30 น. นายสมศักดิ์ ห่มม่วง รองปลัดกระทรวงคมนาคม รักษาการผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) แถลงข่าวยกเลิกสัญญาโครงการจัดซื้อรถเมล์เอ็นจีวีจำนวน 489 คัน กับบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัด ณ ห้องประชุม 1 กระทรวงคมนาคม โดยมีคณะผู้บริหาร ขสมก. และสื่อมวลชนร่วมแถลงข่าว

นายสมศักดิ์กล่าวว่า ตามที่ตนเคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 จะเร่งพิจารณาเรื่องนี้ให้ได้ข้อยุติภายใน 15 วัน หลังจากที่ได้มอบหมายให้คณะกรรมการตรวจรับรถ ขสมก. พิจารณาตรวจรับรถของคู่สัญญาแล้วได้ข้อสรุปดังนี้

    1. คู่สัญญา คือ บริษัทเบสท์รินฯ ไม่สามารถพิสูจน์ถิ่นกำเนิดสินค้าได้
    2. บริษัทเบสท์รินฯ ไม่สามารถส่งมอบรถเมล์เอ็นจีวีทั้งหมด 489 คัน ได้ครบภายในวันที่ 29 ธันวาคม 2559
    และ 3. ขสมก. ได้ดำเนินกการคิดค่าปรับส่งมอบรถล่าช้า จนเกินวงเงินค้ำประกัน 10% ของมูลค่าโครงการ (330 ล้านบาท)

จากนั้น ทาง ขสมก. ได้ส่งเรื่องให้คณะทำงานด้านกฎหมายพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดในสัญญา พบว่าคู่สัญญาทำผิดสัญญา ข้อ 2.1 ข้อ 7 ข้อ 8 และข้อ 16 จึงทำเรื่องเสนอผู้อำนวยการ ขสมก. ตัดสินใจยกเลิกสัญญา ซึ่งตนได้ลงนามในหนังสือแจ้งบอกสัญญาจัดหารถเมล์เอ็นจีวี 489 คัน กับบริษัทเบสท์รินฯ แล้วเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2560

“กรณีนี้เปรียบเสมือนการว่าจ้างผู้รับเหมาก่อสร้างตึก 4 ชั้น แต่สร้างได้ 3 ชั้น ผู้รับเหมาเจ๊ง ถามว่าผมจะตรวจรับได้หรือไม่ สัญญาระบุไว้ว่าต้องสร้างตึก 4 ชั้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ และถ้าปฏิบัติแตกต่างไปจากที่กำหนด ก็ไม่รู้จะทำสัญญากันไปทำไม และเมื่อพิจารณาจากค่าปรับ กรณีส่งมอบรถเมล์ล่าช้าจนเกิน 10% ของมูลค่าโครงการ จึงเป็นเหตุให้ผม ในฐานะรักษาการผู้อำนวยการ ขสมก. ตามทำหนังสือแจ้งบอกเลิกสัญญากับบริษัทเบสท์รินฯ จากนั้นในวันที่ 26 เมษายน 2560 ผมจะทำเรื่องรายงานกรณีบอกเลิกสัญญากับบริษัทเบสท์รินฯ ให้บอร์ด ขสมก. รับทราบ รวมทั้งขออนุมัติบอร์ดเริ่มกระบวนการจัดหารถเมล์ใหม่ คาดว่าจะเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพิจารณาภายในเดือนพฤษภาคม 2560” นายสมศักดิ์กล่าว

นายสมศักดิ์กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมา ขสมก. ได้ทำหนังสือแจ้งยอดค่าปรับให้บริษัทเบสท์รินฯ รับทราบไปแล้ว 2 ครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรก ประธานคณะกรรมการตรวจรับรถทำหนังสือแจ้งบริษัทเบสท์รินฯ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2560 ยอดค่าปรับนับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2560 ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2560 คิดเป็นเงิน 455 ล้านบาท ครั้งที่ 2 แจ้งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2560 ยอดค่าปรับตั้งแต่วันที่ 30 ธันวาคม 2559 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2560 คิดเป็นเงินค่าปรับ 780 ล้านบาท ซึ่งเกินวงเงิน 10% ของมูลค่าโครงการ ตามที่กำหนดในสัญญา นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้ ขสมก. ต้องบอกเลิกสัญญา ถึงแม้ ขสมก. จะยืดระยะเวลาการตรวจรับรถออกไปอีก คู่สัญญาก็ไม่น่าจะนำรถเมล์เอ็นจีวีมาส่งมอบให้ครบตามจำนวน 489 คันได้ เพราะรถเมล์เอ็นจีวี 99 คัน ยังถูกอายัดอยู่ที่ด่านศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากรที่จะต้องดำเนินการเรียกเก็บภาษี ไม่เกี่ยวกับ ขสมก.

รถเมล์เอ็นจีวี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ศาลปกครองกลาง มีคำสั่งให้ ขสมก. ตรวจรับรถ การบอกเลิกสัญญาถือว่าขัดคำสั่งหรือไม่ นายสมศักดิ์กล่าวว่า ผมได้รวบรวมเอกสารหลักฐานทั้งหมดส่งให้อัยการยื่นคำร้องขออุทธรณ์ต่อศาลปกครอง ซึ่งทางอัยการขอให้ ขสมก. ชี้แจงเพิ่มเติมในบางประเด็น ทาง ขสมก. ก็ทำหนังสือชี้แจงอัยการแล้ว หากพิจารณาตามคำสั่งศาลปกครองกลางให้ดี ศาลมีคำสั่งให้ ขสมก. ตรวจรับรถตามเงื่อนไขของสัญญา ศาลไม่ได้สั่งให้ ขสมก. รับรถเมล์ทั้ง 389 คัน ซึ่ง ขสมก. ก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาล กล่าวคือ ดำเนินการตรวจรับรถตามกระบวนการจนเสร็จสิ้น เมื่อถึงขั้นตอนสุดท้าย เป็นหน้าที่ของผู้อำนวยการ ขสมก. ต้องตัดสินใจ ผมจึงตัดสินใจบอกเลิกสัญญา เพราะในสัญญาเขียนไว้ชัดเจน ทำให้ผมไม่สามารถตัดสินใจอย่างอื่นได้

“ผมก็ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น โดยส่วนตัวผมไม่เคยรู้จักกับผู้บริหารบริษัท เบสท์ริน กรุ๊ป จำกัดมาก่อน ไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกัน การเป็นผู้บริหาร เมื่อถึงเวลาตัดสินใจก็ต้องตัดสินใจ แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของสัญญาและข้อเท็จจริง และยึดผลประโยชน์ของ ขสมก. เป็นหลัก หากผมไม่ตัดสินใจวันนี้ กระบวนการจัดหารถเมล์ใหม่ก็ไม่สามารถเริ่มต้นได้” นายสมศักดิ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า อัยการสอบถาม ขสมก. เพิ่มเติมประเด็นไหน กล่าวว่า ยกตัวอย่างเช่น ทำไม ขสมก. ตรวจรับรถแค่ 389 คันไม่ได้ ทำไมต้องตรวจรับให้ครบ 489 คัน นายสมศักดิ์กล่าวว่าประเด็นนี้ ขสมก. ก็ตอบตามหลักการที่ผมกล่าวไปแล้วข้างต้น อีกคำถามคือ รถเมล์ผลิตที่จีนส่งไปประกอบมาเลเซียแตกต่างกับรถเมล์ที่ผลิตในจีนอย่างไร ประเด็นนี้ใน TOR ระบุไว้กว้างว่าเป็นรถที่ผลิตในประเทศหรือนอกประเทศก็ได้ ซึ่ง TOR ถูกนำมากำหนดไว้ในสัญญา จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา แต่การที่บริษัทเบสท์รินฯ ชนะการประมูล โดยการยื่นข้อเสนอจะนำรถผลิตที่จีน ประกอบมาเลเซีย มาส่งมอบให้ ขสมก. ซึ่งข้อเสนอของผู้ชนะการประมูลกำหนดไว้ในสัญญาตรงนี้ถือเป็นสาระสำคัญหรือไม่ หาก ขสมก. ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา ก็เท่ากับว่าไม่ให้ความสำคัญกับผู้ประมูลรายอื่นที่ยื่นข้อเสนอเข้ามาแล้วแพ้บริษัทเบสท์รินฯ