ThaiPublica > เกาะกระแส > เปิด 3 วิธี พลิก “คดีคลองด่าน” ไม่ต้องจ่าย “ค่าโง่” – ข้องใจรัฐสู้คดีไม่เต็มที่ จี้ฟ้องแพ่งเอกชนร่วมทุจริต

เปิด 3 วิธี พลิก “คดีคลองด่าน” ไม่ต้องจ่าย “ค่าโง่” – ข้องใจรัฐสู้คดีไม่เต็มที่ จี้ฟ้องแพ่งเอกชนร่วมทุจริต

13 พฤษภาคม 2016


บรรยากาศการเสวนาวิชากา เรื่อง "กรณีค่าโง่คลองด่าน - หยุดความเสียหายของชาติ" ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
บรรยากาศการเสวนาวิชาการ เรื่อง “กรณีค่าโง่คลองด่าน-หยุดความเสียหายของชาติ” ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2559 ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีจัดงานเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ “กรณีค่าโง่คลองด่าน-หยุดความเสียหายของชาติ” เพื่อหาแนวทางในการยุติการจ่ายเงิน “ค่าโง่” ฐานผิดสัญญา ในการดำเนินโครงการก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษพื้นที่ จ.สมุทรปราการ (คลองด่าน) ให้กับกิจการร่วมค้า NVPSKG ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด (ที่ตัดสินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการอีกทีหนึ่ง) หลังจากมีคำพิพากษาจากศาลยุติธรรมในหลายคดีที่ระบุว่าโครงการนี้มีการทุจริตอย่างเป็นระบบ โดยการร่วมมือกันระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ นักวิชาการ ไปจนถึงเอกชน

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2558 ให้จ่ายค่าโง่ในโครงการคลองด่าน ให้กับกิจการร่วมค่า NVPSKG รวมมูลค่ากว่า 9,600 ล้านบาท โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด งวดแรก จ่าย 40% โดยจ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2558 งวดที่สอง จ่าย 30% โดยจะต้องจ่ายภายในวันที่ 21 พฤษภาคม 2559 และงวดสุดท้าย จ่าย 30% โดยจะต้องจ่ายภายในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2559

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2559 พ.ต.อ. สีหนาท ประยูรรัตน์ รักษาราชการแทนเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้ออกมาเปิดเผยว่า คณะกรรมการธุรกรรมได้มีมติอายัดสิทธิ์ในการเรียกร้องเงินค่าโง่จากโครงการคลองด่าน ของกิจการร่วมค้า NVPSKG ที่เหลืออีก 2 งวด รวมเป็นเงินกว่า 4,700 ล้านบาท และ 32 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากพบว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ทุจริตและแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ

ขณะที่สำนักข่าวอิศรารายงานว่า รัฐบาลเตรียมยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองพิจารณาคดีนี้ใหม่ โดยยึดแนวคำพิพากษาของศาลฎีกา ที่ตัดสินให้รัฐไม่ต้องจ่ายค่าโง่ในโครงการก่อสร้างทางด่วนบางนา-บางพลี-บางปะกง มูลค่า 6,200 ล้าน ให้กับเอกชน เพราะโครงการดังกล่าวมีการทุจริต ทำให้สัญญาที่ทำไว้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

(อ่าน ความเป็นมาโครงการคลองด่าน และเหตุใดภาครัฐถึงต้องจ่าย “ค่าโง่” ให้กับเอกชน ทั้งที่อาจมีส่วนร่วมในการทุจริต)

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมการเสวนาวิชาการที่จุฬาฯ มีทั้งตัวแทนจากภาครัฐ ภาคเอกชน สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ซึ่งเนื้อหาในการเสวนามีทั้งเล่าเบื้องหลังการต่อสู้คดีคลองด่านของภาครัฐที่มีคำถามว่าภาครัฐได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่หรือไม่ รวมไปถึงการหาแนวทางในการไม่ต้องจ่ายค่าโง่ด้วยการยื่นให้ศาลปกครองหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่

ยื่นศาลปกครองพิจารณา “คดีคลองด่าน” ใหม่แล้ว

นายอภิชัย ชวเจริญพันธ์ อดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) ในฐานะผู้ลงนามในคำสั่งยกเลิกสัญญาโครงการคลองด่านกับกิจการร่วมค้า NVPSKG เมื่อปี 2546 กล่าวว่า หลังจากตนเข้ารับตำแหน่งอธิบดี คพ. ได้เพียง 1 วัน นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) ในขณะนั้น ก็ส่งข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาของโครงการนี้ที่ให้ทีมรวบรวมพร้อมความเห็นขอให้ยกเลิกสัญญามาให้ตนพิจารณา เนื่องจาก “บริษัท นอร์ธเวสต์ วอเตอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่เป็นเอกชนรายเดียวที่มีประสบการณ์ในการก่อสร้างบ่อบำบัดน้ำเสียตามทีโออาร์ของโครงการ ได้ถอนตัวออกจากกิจการร่วมค้า NVPSKG ก่อนที่จะเซ็นสัญญากับ คพ.

“ถือเป็นความกดดันอย่างมากที่หลังจากรับตำแหน่งเพียงวันเดียวก็ถูกขอให้ยกเลิกสัญญาโครงการที่มีมูลค่ากว่า 23,000 ล้านบาท แต่ถึงอย่างไรก็ต้องทำ เพราะข้อมูลทุกอย่างมันชัดเจนมาก ว่าการที่บริษัทนอร์ธเวสต์ฯ ถอนตัว ทำให้สาระสำคัญของสัญญาเปลี่ยนไป นอกจากนี้ ยังไม่ยื่นฟ้องกิจการร่วมค้า NVPSKG กับตำรวจ ฐานฉ้อโกงด้วย 3-4 ครั้ง” นายอภิชัยกล่าว

นายอภิชัยกล่าวว่า แต่ในเวลาต่อมา นายประพัฒน์ ตนและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ กลับถูก ทส. ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายจากการยกเลิกโครงการคลองด่าน โดยยึดเอาคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ตัดสินตามคำชี้ขาดของอนุญาโตฯ ที่ให้ คพ. จ่ายเงินงวดที่เหลือในสัญญา อีก 4 งวด แก่กิจการร่วมค้า NVPSKG มาเป็นฐานในการเอาผิด ซึ่งเมื่อเดือนมีนาคม 2559 นายประพัฒน์ ตน และผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ ไปยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ เนื่องจากมี “พยานหลักฐานใหม่” เป็นคดีพิพากษาของศาลอาญาชั้นต้น ที่ให้จำคุกนายปกิต กิระวานิช อดีตอธิบดี คพ. (ผู้เซ็นสัญญาให้กิจการร่วมค้า NVPSKG ได้ทำโครงการคลองด่าน เมื่อปี 2540 ทั้งที่บริษัทนอร์ธเวสต์ฯ ถอนตัว) กับพวก เป็นเวลา 20 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อาญา) มาตรา 157 ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลปกครองว่าจะหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่หรือไม่

สภาพล่าสุดบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่มาภาพ : Google Earth
ภาพถ่ายทางอากาศของบ่อบำบัดน้ำเสีย ต.คลองด่าน อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ ที่ไม่เคยถูกใช้งานหลังเกิดคดีทุจริต ที่มาภาพ: Google Earth

ข้องใจรัฐสู้เต็มที่หรือไม่ – เปิด 3 วิธีพลิกคดี ไม่ต้องจ่าย “ค่าโง่”

ด้านนายณกฤช เศวตนันทน์ อดีตที่ปรึกษากฎหมายของ คพ. ซึ่งเป็นผู้ทำสำนวนฟ้องกิจการร่วมค้า NVPSKG ฐานฉ้อโกง หลังรู้ว่าบริษัทนอร์ธเวสต์ฯ ถอนตัวตั้งแต่ก่อนเซ็นสัญญากับ คพ. ได้กล่าวตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการต่อสู้คดีคลองด่านทั้งหมดของภาครัฐ โดยเฉพาะ ทส. และ คพ. ว่าทำอย่างเต็มที่แล้วจริงหรือไม่ โดยตั้งข้อสังเกตไว้ถึง 6 ประการ

  1. หลังจากนายประพัฒน์พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ ทส. และนายอภิชัยพ้นจากตำแหน่งอธิบดี คพ. ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนตัวบริษัทเอกชนที่ถูกว่าจ้างให้มาฟ้องกิจการร่วมค้า NVPSKG ขณะที่การดำเนินคดีคลองด่านก็ไม่เต็มที่เหมือนเดิม สะท้อนว่าเมื่อการเมืองและนโยบายเปลี่ยน เรื่องคดีความก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
  1. หลังจากศาลแขวงดุสิตมีคำตัดสินในคดีอาญาว่า กิจการร่วมค้า NVPSKG มีความผิดฐานฉ้อโกงจริง เมื่อปี 2552 น่าสงสัยว่าเหตุใด คพ. ถึงไม่ฟ้องคดีแพ่งตามไปด้วย เพราะหากฟ้องตามไปเชื่อว่าจะมีคำตัดสินในคดีแพ่งไปสู้คดีในศาลปกครองแล้ว
  1. กว่าที่อนุญาโตฯ จะมีคำชี้ขาดให้ คพ. จ่ายเงินค่างวดโครงการคลองด่านที่เหลือให้กับกิจการร่วมค้า NVPSKG ก็ปี 2554 น่าสงสัยว่า นิติกรของ คพ. ได้นำคำตัดสินของศาลแขวงดุสิตไปยื่นให้อนุญาโตฯ ได้ประกอบการพิจารณาคดีด้วยหรือไม่ เพราะแม้ภายหลังศาลอุทธรณ์จะพิพากษากลับยกฟ้อง แต่ก็เกิดขึ้นหลังจากอนุญาโตฯ มีคำชี้ขาดไปแล้ว
  1. พอ คพ. แพ้ในชั้นอนุญาโตฯ ปรากฎว่า กิจการร่วมค้า NVPSKG ก็ไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครองต่อ คำถามก็คือ ทำไมไม่ฟ้องต่อศาลแพ่ง ส่วนตัวมองว่าเพราะกิจการร่วมค้า NVPSKG ต้องการเลี่ยงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ อาญา) มาตรา 46 ที่ระบุว่า การพิจารณาคดีแพ่งให้ยึดข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญา
  1. คำพิพากษาของศาลปกครอง กรณีบริษัทนอร์ธเวสต์ฯ ถอนตัว แย้งกับคดีพิพากษาของศาลแขวงดุสิต จึงน่าสนใจว่า กรณีนี้นิติกรของ คพ. และอัยการ ทำงานอย่างไร
  1. ในคำพิพากษาของศาลอาญา ที่ให้จำคุกนายปกิตกับพวก เป็นเวลา 20 ปี ฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ได้พูดด้วยว่า สัญญาที่ คพ. ทำกับกิจการร่วมค้า NVPSKG ในโครงการคลองด่านไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำถามก็คือ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ คพ. จะยึดคำพิพากษาในคดีนี้ไปฟ้องแพ่งกับกิจการร่วมค้า NVPSKG หรือยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดกับกิจการร่วมค้า NVPSKG ในฐานะผู้สนับสนุนให้นายปกิตกับพวกกระทำความผิด

“ส่วนแนวทางจะไม่ต้องจ่ายค่าโง่มีหรือไม่ ส่วนตัวเห็นว่าทำได้ 3 วิธี หนึ่ง หากศาลฎีกาตัดสินว่ากิจการร่วมค้า NVPSKG มีความผิดฐานฉ้อโกงจริง วิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าโง่ เพราะคดีแพ่งกับคดีอาญาจะมาคู่กัน สอง หากศาลปกครองยอมหยิบคดีนี้ขึ้นมาพิจารณาใหม่ตามคำร้องของนายประพัฒน์กับพวก ก็อาจไม่ต้องจ่ายค่าโง่หากศาลปกครองตัดสินต่างไปจากเดิม และสาม หาก คพ. นำคำพิพากษาคดีนายปกิตกับพวกไปฟ้องแพ่งกับกิจการร่วมค้า NVPSKG ก็อาจจะทำให้ไม่ต้องจ่ายค่าโง่” นายณกฤชกล่าว

สรุป 5 บทเรียน ชี้กระบวนการยุติธรรมไร้ประสิทธิภาพ

นางสาวเพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ กล่าวสรุปบทเรียนจากโครงการคลองด่านว่ามีด้วยกันอย่างน้อย 5 ข้อ ประกอบด้วย 1. การจัดการสิ่งแวดล้อมของภาครัฐไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานการศึกษาทางวิชาการ มีรายงานกี่ฉบับเมื่อถึงเวลาตัดสินใจก็โยนทิ้งหมด 2. การใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมากไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา 3. คดีนี้เป็นการคอร์รัปชันเชิงนโยบายที่สมบูรณ์แบบที่สุดโครงการหนี่ง ทั้งภาครัฐ ข้าราชการ นักวิชาการ และภาคเอกชน ต่างให้ความร่วมมือฮั้วอย่างพร้อมเพรียงกัน 4. การต่อสู้และตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ ของสังคมจะต้องอาศัยความร่วมมือกัน จะทำงานแค่ภาคส่วนใดภาคส่วนหนึ่งไม่ได้ และ 5. กระบวนการยุติธรรมของภาครัฐยังมีข้อจำกัดมากมาย ขาดอิสระในการทำงาน และบางครั้งตรวจสอบอะไรไม่ได้เลย

นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ ผู้อำนวยการสถาบันอิศรา สื่อมวลชนผู้เชี่ยวชาญการทำข่าวสืบสวน กล่าวว่า คดีคลองด่าน ช่วยสะท้อนว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไร้ประสิทธิภาพมากๆ เพราะหลังจาก ป.ป.ช. ได้ชี้มูลคดีนี้ไปเมื่อปี 2550 (คดีคลองด่าน ป.ป.ช. แยกสำนวนพิจารณาเป็น 2 กรณี กรณีที่ดิน ชี้มูลปี 2550 กรณีโครงการ ชี้มูลปี 2554) ปรากฏว่า แทนที่อัยการจะส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะมีนายวัฒนา อัศวเหม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นหนึ่งในผู้ถูกกล่าวหา แต่ปรากฏว่าอัยการกลับแยกฟ้องศาล นำผู้ถูกกล่าวหาที่เป็นอดีตข้าราชการกรมที่ดินไปฟ้องศาลอาญาปกติ ซึ่ง ป.ป.ช. ก็โต้แย้ง แต่อัยการก็ไม่ยอม กว่าที่จะศาลจะชี้เป็นการฟ้องผิดศาล คดีก็วนไปวนมาจนหมดอายุความ ที่สุดก็เลยเอาผิดนายวัฒนาได้เพียงคนเดียว โดยศาลฎีกาฯ ได้ตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 10 ปี

“แต่ปัจจุบัน นายวัฒนาก็ยังไม่ถูกนำตัวมาลงโทษ ยังคงเสวยสุขอยู่ที่ไหนสักแห่ง เพราะไม่มีหน่วยงานรัฐไหนมาเป็นเจ้าภาพในการติดตามนายวัฒนามาเข้าคุก” นายประสงค์กล่าว

นางดาวัลย์ จันทรหัสดี ผู้แทนกลุ่มเรารักคลองด่าน จ.สมุทรปราการ ภาคประชาสังคมที่ต่อสู้คดีคลองด่านอย่างแข็งขัน กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่ได้ให้บทเรียนอะไรเลย เพราะคนที่ร่วมกันทุจริตก็ยังอยู่ดี แถมยังมีการทุจริตซ้อนการทุจริตอีกชั้น นั่นคือการทุจริตการตรวจสอบ เพราะคนทำหน้าที่กลับเกี่ยวข้องกับผู้ถูกกล่าวหาในโครงการ เช่น อดีตรัฐมนตรีบางคนที่มีนามสกุลเดียวกับภาคเอกชนที่ถูกกล่าวหา หรือในช่วงที่มีการตรวจสอบหนักๆ ในวุฒิสภา ก็เคยมีความพยายามล็อบบี้ตนให้ถอนคำร้องที่ยื่นไว้กับ ป.ป.ช. แต่ตนไม่ยอม

“อยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาว่าคดีคลองด่านยังสามารถฟ้องได้ที่ไหนอีกบ้าง คดีนี้เริ่มเมื่อปี 2540 ต่อให้ข้อหาที่มีโทษหนักที่สุดก็มีอายุความแค่ 20 ปี คืออยู่ได้จนถึงปี 2560 เท่านั้นก็จะหมดอายุความแล้ว ไม่อยากให้เรื่องนี้จบแล้วจบเลย แต่อยากให้นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในอนาคตด้วย” นางดาวัลย์กล่าว