ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 มี.ค. 2559: “ไทยพีบีเอสแจง นักข่าวรับเงินเอแบคโพล พ้นสภาพนานแล้ว” และ “คนไทยตกงานแห่รับเงินทดแทนกว่า 1.2 แสนคน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 มี.ค. 2559: “ไทยพีบีเอสแจง นักข่าวรับเงินเอแบคโพล พ้นสภาพนานแล้ว” และ “คนไทยตกงานแห่รับเงินทดแทนกว่า 1.2 แสนคน”

19 มีนาคม 2016


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 13-19 มี.ค. 2559

  • ไทยพีบีเอสแจง นักข่าวรับเงินเอแบคโพล พ้นสภาพนานแล้ว
  • คนร้ายบุกโรงพยาบาลรับสถาปนาบีอาร์เอ็น-บิ๊กตู่ลั่น 6 เดือนต้องจบ
  • ขนส่งฯ สั่ง “GRABBIKE” ยุติบริการทันที
  • “องอาจ” จี้ คืนเรียนฟรี 12 ปี ให้เด็กไทย
  • คนไทยตกงาน แห่รับเงินทดแทนกว่า 1.2 แสนคน
  • ไทยพีบีเอสแจง นักข่าวรับเงินเอแบคโพล พ้นสภาพนานแล้ว

    จากกรณีที่เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 2558 สำนักข่าวอิศรา ได้นำเสนอข่าวมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงกรณีการดำเนินงานของสำนักวิจัยเอแบคโพลล์และหน่วยงานเครือข่าย ซึ่งนำไปสู่การพบว่า มีการจ่ายค่าตอบแทนสื่อมวลชน จำนวน 163 รายการ รวมเป็นเงิน 4,420,500 บาท รายงานระบุรายชื่อนักข่าวของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ว่าเป็นผู้ที่รับเงินค่าตอบแทนมากที่สุด เป็นเงิน 2,150,866 บาท จนนำไปสู่การตั้งคณะกรรมการตรวจสอบจาก 4 องค์กร คือ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และมีผลออกมาว่า มีผู้สื่อข่าว 3 ราย ที่มีพฤติการณ์รับเงินจริง ซึ่งถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม โดยทั้งสามนั้นประกอบด้วย อดีตผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์ช่อง 5, ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (สทท.) และ อดีตผู้ประสานงานโครงการพิเศษ ไทยพีบีเอส

    ล่าสุด ผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา รายงานว่า ในช่วงเช้าวันที่ 13 มี.ค. 2559 งานสื่อสารองค์การองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือ ไทยพีบีเอส ได้ส่งหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงถึงสำนักข่าวอิศรา โดยนอกจากยืนยันในความยึดมั่นในความโปร่งใส ตรวจสอบได้ รวมทั้งให้ความร่วมมือกับการตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด ยังได้เปิดเผยว่า พบว่ามีผู้ปฏิบัติงานคนหนึ่ง ที่ออกไปทำงานในวันที่ 16 ธันวาคม 2552 ให้ข้อมูลเป็นเอกสารว่า ได้รับมอบหมายให้ออกไปทำงานแถลงข่าวที่สำนักวิจัยเอแบคโพล

    “เมื่อทำงานเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่สำนักวิจัยเอแบคโพลแจ้งว่า มีเอกสารจะมอบให้เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติม และได้ยื่นเอกสารขนาดเอ 4 ให้ ระบุว่า เป็นผลการสำรวจที่สำนักวิจัยได้เก็บรวบรวมไว้เป็นสถิติ ต่อมาภายหลังได้ดูเอกสารดังกล่าว พบว่ามีซองกระดาษคล้ายซองจดหมายขนาดเล็กสอดมาในเอกสารดังกล่าวด้วย เมื่อเปิดออกพบว่าข้างในมีเงินสดอยู่จำนวนหนึ่ง และไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ โดยคิดว่าตนเองสามารถรับเงินดังกล่าวไว้ได้ และเข้าใจว่า สำนักวิจัยคงมอบเงินให้เป็นสินน้ำใจกับนักข่าวทุกคน ที่ไปทำข่าวให้ ดังนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงจึง สรุปว่า การกระทำของพนักงานคนดังกล่าว เป็นการกระทำที่ขัดต่อข้อบังคับ จริยธรรม ของกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน พ.ศ. 2551 และข้อบังคับด้านจริยธรรมของวิชาชีพ จึงมีมูลกล่าวหาว่า พนักงาน ส.ส.ท. คนดังกล่าว กระทำผิดวินัย”

    และต่อมาพนักงานคนดังกล่าวได้พ้นสภาพจากการเป็นพนักงานของ ส.ส.ท. เมื่อเดือนสิงหาคม 2553 ดังนั้นจึงไม่สามารถดำเนินการตามระเบียบ ส.ส.ท. ว่าด้วยข้อปฏิบัติทางวินัย และการดำเนินการทางวินัยของพนักงานและลูกจ้าง

    คนร้ายบุกโรงพยาบาลรับสถาปนาบีอาร์เอ็น-บิ๊กตู่ลั่น 6 เดือนต้องจบ

    ปลอกกระสุนที่ตกอยู่ภายในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000026505)
    ปลอกกระสุนที่ตกอยู่ภายในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ (http://manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000026505)

    13 มี.ค. 2559 เป็นวันครบรอบ 56 ปีการสถาปนา “บีอาร์เอ็น” (BRN: Barisan Revolusi Nasional Melayu Pattani) หรือขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี ได้เกิดเหตุวางระเบิดและกราดยิงเจ้าหน้าที่ในหลายจุดของจังหวัดนราธิวาส รวมทั้งมีการบุกเข้าไปในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส โดยแม้จะไม่มีการทำร้ายบุคลากรของโรงพยาบาลและผู้มาใช้บริการ แต่เหตุการณ์ดังกล่าวทั้งหมดก็ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย

    ต่อมา วันที่ 14 มี.ค. 2559 เว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ รายงานว่าต่อกรณีดังกล่าว พล.ต. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการด่วนให้เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับประชาชน ตรวจเข้มพื้นที่เสี่ยง เช่น จุดจอดรถ หรือบริเวณที่มีประชาชนจำนวนมาก และให้หน่วยรักษาพยาบาลต่างๆ ให้ความช่วยเหลือและดูแลผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่ รวมทั้งได้กำชับให้ติดตามจับกุมตัวผู้กระทำผิดให้ได้โดยเร็ว

    “รัฐบาลยอมไม่ได้กับพฤติกรรมที่อยู่เหนือกฎหมาย โดยจะเร่งปราบปรามผู้ก่อการร้าย ผู้มีอิทธิพล ผู้ค้ายาเสพติด น้ำมันเถื่อน และค้ามนุษย์ ให้เห็นผลภายใน 6 เดือน เพื่อคืนความสงบสุขสู่สังคม ขจัดปัญหาความรุนแรงหรือการทำลายล้างชีวิตผู้อื่น ผู้ที่กระทำผิดจะต้องถูกดำเนินคดีโดยเร็ว”

    และยังกล่าวว่า “ท่านนายกฯ ย้ำว่า การขจัดความเลวร้ายต่าง ๆ ภายใน 6 เดือนนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน โดยเฉพาะปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้นั้น ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาและการลงทุน ดังนั้น หากพี่น้องชาวใต้ต้องการให้บ้านเมืองดีขึ้นจะต้องร่วมใจกัน อย่าให้ผู้ร้ายที่ทำลายชีวิตทั้งชาวพุทธหรือมุสลิม และแทรกซึมอยู่กับประชาชนมากดดัน คนเหล่านี้จะต้องไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป”

    และในเวลาต่อมา วันที่ 15 มี.ค. 2559 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ เรื่อง “การขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดยะลา และจังหวัดปัตตานี ยกเว้นอำเภอแม่ลาน” โดยเป็นการขยายเวลาออกไปอีก 3 เดือน

    ขนส่งฯ สั่ง “GRABBIKE” ยุติบริการทันที

    ที่มาภาพ: หน้าเฟซบุ๊ก matichonweekly (https://goo.gl/XNGvts)
    ที่มาภาพ: หน้าเฟซบุ๊ก matichonweekly (https://goo.gl/XNGvts)

    16 มี.ค. 2559 หน้าเฟซบุ๊ก matichonweekly รายงานว่านายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขนส่งฯ) เปิดเผยว่า จากการหารือร่วมกับ ผู้บริหารจาก GrabBike ประชุมเพื่อรับทราบถึงระเบียบ และข้อกฎหมายในการให้บริการรถจักรยานยนต์สาธารณะ โดยสรุปว่า กรมการขนส่งทางบกไม่ปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการเรียกใช้บริการรถสาธารณะ แต่ต้องอยู่ภายใต้กรอบที่กฎหมายอนุญาตเท่านั้น

    ขณะนี้การให้บริการของ GrabBike ยังขัดต่อกฎหมาย เนื่องจากไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์สาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ขับขี่ไม่มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ ไม่มีข้อมูลในศูนย์ประวัติผู้ขับรถสาธารณะ ไม่ได้วิ่งอยู่ในเส้นทางหรือท้องที่ที่ได้รับอนุญาต รวมทั้งไม่ได้เป็นกลุ่มรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ได้รับการจัดระเบียบจาก คสช. ในช่วงที่ผ่านมา

    ขนส่งฯ จึงขอให้ บริษัท GrabBike ยุติการให้บริการตั้งแต่บัดนี้ หากฝ่าฝืนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง จะดำเนินการตรวจสอบตามกฎหมายในทุกขั้นตอน

    ด้าน พ.อ. กัณฑ์ชัย ประจวบอารีย์ รองผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ระบุด้วยว่า ช่วงที่ผ่านมา คสช. ได้เข้าจัดระเบียบการให้บริการด้วยรถจักรยานยนต์รับจ้าง เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและเป็นธรรมแก่ผู้ใช้บริการ โดยรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมาย สังเกตได้จากแผ่นป้ายทะเบียนรถซึ่งต้องเป็นพื้นสีเหลือง ตัวอักษรสีดำ และผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ต้องสวมเสื้อวินรูปแบบใหม่ มีบัตรติดเสื้อ โดยมีข้อมูลตัวคน บัตร และรถต้องถูกต้องตรงกัน มีใบอนุญาตขับรถจักรยานยนต์สาธารณะเท่านั้น

    “องอาจ” จี้ คืนเรียนฟรี 12 ปี ให้เด็กไทย

    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news/69728)
    นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์มติชนออนไลน์ (http://www.matichon.co.th/news/69728)

    เว็บไซต์มติชนออนไลน์ รายงานว่าเมื่อวันที่ 14 มีนาคม นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการปรับแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญก่อนที่ให้ประชาชนลงประชามติว่า คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปิดเผยถึงการปรับแก้ไปแล้วบางส่วน เช่น เรื่องสิทธิเสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ กรธ.พยายามให้ประชาชนมีสิทธิไปไม่น้อยไปกว่าที่ผ่านมา รวมถึงมีการปรับแก้อำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามข้อเรียกร้องของหลายฝ่าย แต่ยังมีเรื่องที่เคยนำเสนอให้ กรธ. พิจารณาปรับแก้ที่ยังเงียบอยู่ คือ เรื่องเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กไทยที่ กรธ.ลดสิทธิของเด็กไทยที่จะได้เรียนฟรี 12 ปี อย่างมีคุณภาพ เป็นเหลือแค่ 9 ปี โดย กรธ. ได้ร่างบทบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในมาตรา 50 ว่า “รัฐต้องดำเนินการให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาภาคบังคับที่มีคุณภาพ อย่างทั่วถึงโดยไม่เรียกเก็บค่าใช้จ่าย” ขณะที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปี 2550 บัญญัติไว้ในส่วนที่ 8 สิทธิ และเสรีภาพในการศึกษาตามมาตรา 49 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการได้รับการศึกษาไม่น้อยว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพ โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย”

    “ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องให้ กรธ. คืนสิทธิของเด็กไทยที่เคยได้เรียนฟรี 12 ปี เหมือนเดิมที่ควรให้เด็กไทยได้สิทธิเรียนฟรีเพียง 9 ปี ตามการศึกษาภาคบังคับเท่านั้น และขอเสนอให้ กรธ.ให้ความสำคัญกับการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ ให้รัฐมีบทบาทสำคัญในการดูแลเด็กก่อนวัยเรียน และเด็กแรกเกิดอย่างจริงจัง ซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญของพัฒนาการของเด็ก เติบโตอย่างมีคุณภาพทั้งร่างกาย และสติปัญญา รวมทั้งพัฒนาการทางสมองของเด็ก เมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่นก็จะเป็นวัยรุ่นที่ไม่ก่อปัญหาให้กับสังคม และเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพช่วยสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ถ้ารัฐไม่ให้ความสำคัญกับการดูแลเด็กตั้งแต่แรกเกิด และเด็กก่อนวัยเรียนอย่างจริงจัง รัฐก็จะสูญเสียพลังสร้างสรรค์สังคม และต้องเสียเงินงบประมาณมากมายกับการแก้ไขปัญหาสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เราไม่ช่วยกันพัฒนาเด็กให้มีคุณภาพเท่าที่ควรตั้งแต่แรกเกิดด้วย” นายองอาจกล่าว

    คนไทยตกงานหนัก แห่รับเงินทดแทนกว่า 1.2 แสนคน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/591918)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/591918)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2559 ม.ล.ปุณฑริก สมิติ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงสถานการณ์การว่างงานในปี 2559 ว่า แนวโน้มเรื่องการว่างงานยังต้องติดตาม เนื่องจากตัวเลขของผู้ขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานในระบบกรมจัดหางานประกันสังคม ในเดือน ก.พ. 2559 มีจำนวน 123,087 คน มีอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.58 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปี 2558 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.83 เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. ที่ผ่านมาที่มีจำนวน 114,150 คน อยู่ที่ร้อยละ 19.02

    อย่างไรก็ตาม ตัวเลขผู้ถูกเลิกจ้างที่ขึ้นทะเบียนขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานของกรมการจัดหางานเดือน ก.พ. 2559 อยู่ที่ 7,915 คน มีอัตราการเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 26.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 แต่ภาพรวมยังถือว่าการเลิกจ้างร้อยละ 26.06 ยังต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ย 3 ปี ในช่วงเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 41.01 ทั้งนี้ การจ้างงานลูกจ้างในระบบประกันสังคมในเดือน ก.พ. มีจำนวน 10,348,753 คน มีอัตราการเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.90 เมื่อเทียบกับเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.10 ยังชะลอตัว

    ม.ล.ปุณฑริก กล่าวต่อว่า ขณะนี้แนวโน้มในภาพรวมในตลาดแรงงาน การจ้างงาน ว่างงาน และการเลิกงานยังถือว่าอยู่ในภาวะปกติ จากการเฝ้าระวังสถานการณ์จากระบบเตือนภัยด้านแรงงาน โดยใช้ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจในรูปแบบดัชนีผสม 13 ตัว ส่งสัญญาณด้านการจ้างงานในสภาพปกติอยู่ในเกณฑ์สีเขียว (ถ้าไม่เกิน 5 ตัวจะแสดงภาวะปกติ ซึ่งมีเพียงดัชนี 1 ตัว คือ มูลค่าการส่งออก ที่ชะลอตัว) ส่วนแนวโน้มการว่างงานจากระบบเตือนภัยด้านแรงงาน ซึ่งอาศัยข้อมูลการว่างงานผู้มีงานทำภาคเอกชนของสำนักงานสถิติแห่งชาติ แสดงสถานะปกติ แนวโน้มการเลิกจ้าง จากระบบเตือนภัยด้านแรงงาน ซึ่งอาศัยข้อมูลการแจ้งและตรวจพบจากกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ก็ยังแสดงสถานะปกติ แต่กระทรวงแรงงานได้ให้ส่วนราชการในพื้นที่ทุกจังหวัดติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านแรงงาน โดยให้รายงานเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านแรงงานทุกเดือน รวมถึงจับตาแนวโน้มและสัญญาณตัวเลขการเลิกกิจการการเลิกโรงงาน และความเคลื่อนไหวของการจ้างงานของธุรกิจทุกขนาดในพื้นที่จังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมจัดทำทะเบียนกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกันปัญหา และสามารถให้คำแนะนำช่วยเหลือแก้ไขได้ทันท่วงที

    ด้าน นายอารักษ์ พรหมณี อธิบดีกรมการจัดหางาน (กกจ.) กล่าวว่า กรมการจัดหางานได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยรามคำแหง จัดงานนัดพบแรงงานครั้งใหญ่ ในระดับปริญญาตรี ภายใต้ชื่องาน Bangkok Jobs & Career Expo 2016 ระหว่างวันที่ 22-23 มี.ค. นี้ ที่หอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช โดยมี พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล รมว.แรงงาน เป็นประธาน ในวันที่ 22 มี.ค. การจัดงานโดยมุ่งตลาดแรงงานไปที่กลุ่มบัณฑิต ไม่ใช่เพราะมีคนจบปริญญาตกงานเยอะ คนที่ตกงานเป็นเพราะเลือกงาน กรมจัดงานลักษณะนี้มาตลอดอยู่แล้ว เพียงแต่ครั้งนี้จัดยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุด เพราะไม่ได้มีแค่สมัครงานอย่างเดียว ยังมีกิจกรรมให้คำปรึกษาและแนะแนวอาชีพ เพื่อเป็นการเสริมให้บัณฑิตจบใหม่ หรือคนที่ต้องการเปลี่ยนงานมีช่องทางเลือกอาชีพที่สนใจได้สมัครงานและสัมภาษณ์งานกับนายจ้างโดยตรง มีบริษัทชั้นนำกว่า 40 บริษัท ตำแหน่งงานกว่า 6,000 อัตรา นอกจากนี้สมาคมอุตสาหกรรมถ่ายแบบและผู้ประกอบการไทยจะเปิดเวที Casting คนสนใจเป็นนางแบบ นายแบบ หากผ่านเกณฑ์จะได้รับการพิจารณาเป็นนางแบบในสังกัด ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานนัดพบแรงงานแล้วมีการเฟ้นหาคนรุ่นใหม่เข้าสู่วงการถ่ายแบบ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักสถิติแห่งชาติ ได้เผยผลสำรวจการทำงานของประชากร เดือน เม.ย. 2558 ระบุว่า มีผู้มีงานทำ 37.53 ล้านคน ว่างงาน 3.24 แสนคน โดยมีผู้ว่างงานที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษามากที่สุดจำนวน 1.39 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 7.1 หมื่นคน ระดับประถมศึกษา 5.4 หมื่นคน และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 4.9 หมื่นคน