ThaiPublica > เกาะกระแส > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ > ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 พ.ย. – 5 ธ.ค. 2558: “‘รัสเซีย’ เตือน ‘ไอซิส’ เข้าไทย กบดาน ‘ภูเก็ต-พัทยา-กทม.'” และ “‘พ.ร.บ.จีเอ็มโอ’ ร้อน ชาวเน็ตฮือต้าน”

ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 พ.ย. – 5 ธ.ค. 2558: “‘รัสเซีย’ เตือน ‘ไอซิส’ เข้าไทย กบดาน ‘ภูเก็ต-พัทยา-กทม.'” และ “‘พ.ร.บ.จีเอ็มโอ’ ร้อน ชาวเน็ตฮือต้าน”

5 ธันวาคม 2015


ประเด็นฮอตรอบสัปดาห์ประจำวันที่ 29 พ.ย. – 5 ธ.ค. 2558

  • “รัสเซีย” เตือน “ไอซิส” เข้าไทย กบดาน “ภูเก็ต-พัทยา-กทม.”
  • ฟ้อง 10 ข้อหา มือบึ้มราชประสงค์ “ไม่มีก่อการร้าย”
  • ร้องดำเนินคดี “ทูตสหรัฐฯ” วิจารณ์บทลงโทษ ม. 112
  • รวบ “ตู่-เต้น” ไปไม่ถึงราชภักดิ์ “บิ๊กป้อม” แจง ไม่ห้ามไป แต่อย่าการเมือง
  • “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” ร้อน ชาวเน็ตฮือต้าน
  • “รัสเซีย” เตือน “ไอซิส” เข้าไทย กบดาน “ภูเก็ต-พัทยา-กทม.”

    ธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย
    ธงของกลุ่มรัฐอิสลาม (IS)
    ที่มาภาพ: วิกิพีเดีย

    เหตุการณ์โจมตีกรุงปารีสผ่านไปไม่ถึงเดือน ความกังวลใจก็เดินทางมาถึงไทย ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2558ที่ ผ่านมา พลตำรวจตรี สราวุฒิ การพานิช รองผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ปฏิบัติราชการผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล ได้ลงนามในหนังสือคำสั่ง “ลับมาก” เรื่องให้ติดตามพฤติกรรมของชาวต่างชาติ ซึ่งคาดว่าอาจมีกลุ่มก่อการร้าย ไอซิส [ISIS: Islamic State of Iraq and Syria ชื่อหนึ่งที่แพร่หลายของกลุ่มมุสลิมหัวรุนแรงในนามกลุ่มรัฐอิสลามหรือที่มักเรียกว่ากลุ่ม IS (Islamic State)] หลบซ่อนตัวอยู่ในประเทศไทย

    ทั้งนี้ จากรายงานของหน่วยงานด้านข่าวกรองของประเทศรัสเซีย หรือ “เอฟเอสบี” ได้ประสานผ่านสภาความมั่นคงแห่งชาติ แจ้งเตือนว่ากลุ่มก่อการร้ายไอซิส ซึ่งเป็นชาวซีเรียประมาณ 10 คน ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทย ระหว่างวันที่ 15 ถึง 31 ตุลาคม 2558 ที่ผ่านมา และได้แยกกันไปกบดานในเมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี 4 คน จังหวัดภูเก็ต 2 คน และกรุงเทพมหานคร 2 คน ที่เหลืออีก 2 คนยังไม่ทราบแหล่งกบดาน ดังนั้นจึงขอให้ทางการไทยจับตาพฤติกรรมของกลุ่มผู้ต้องสงสัยด้วย

    กลุ่มคนดังกล่าว มีจุดประสงค์เพื่อก่อการร้าย และทำลายผลประโยชน์ของรัสเซีย รวมถึงพันธมิตรในไทย

    ตำรวจสันติบาลจึงขอให้กำลังพลในสังกัดดำเนินการดังต่อไปนี้

    1. สืบสวนติดตามและพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว

    2. เพิ่มความเข้มในการสืบสวนติดตาม สถานที่เป้าหมายจากฝ่ายรัสเซียที่มีความกังวลว่าจะเกิดเหตุร้าย รวมถึงสถานที่ของประเทศพันธมิตรที่ร่วมสนับสนุนการโจมตีกลุ่มไอเอสในซีเรีย เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน เบลเยียม สวีเดน และออสเตรเลีย เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายในไทยโดยเด็ดขาด

    3. ให้กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 และ 2 เร่งพิสูจน์ข่าวสารของกลุ่มชาวซีเรีย 10 รายที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย

    4. ปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบัน กล่าวคือ สถานที่สำคัญ แหล่งพักอาศัย แหล่งท่องเที่ยวของชาวต่างชาติทั้งหมด โดยเน้นดำเนินการกลุ่มประเทศคู่กรณีที่มีความขัดแย้ง ระหว่างฝ่ายพันธมิตรที่ร่วมโจมตีกลุ่มไอเอส กับกลุ่มเครือข่ายไอสีสเป็นอันดับแรกก่อน

    5. ให้กองบังคับการตำรวจสันติบาล 3 เพิ่มการตรวจตราความปลอดภัยทั้งในสถานที่และบุคคล

    6. ให้รายงานผล ให้ผู้บังคับบัญชาทราบทุกสัปดาห์ โดยให้รายงานครั้งแรกวันพุธที่ 2 ธันวาคม 2558

    ทั้งนี้มีรายงานว่าตัวแทนจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนถึงประเด็นดังกล่าวในวันนี้

    ฟ้อง 10 ข้อหา มือบึ้มราชประสงค์ “ไม่มีก่อการร้าย”

    นายอะเด็ม คาราดัก ขณะถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ที่มาภาพ: ASTVผู้จัดการออนไลน์
    นายอะเด็ม คาราดัก ขณะถูกควบคุมตัวเมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา
    ที่มาภาพ: ASTVผู้จัดการออนไลน์

    เหตุระเบิดที่บริเวณศาลท้าวมหาพรหม โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ บริเวณแยกราชประสงค์ (หรือที่เรียกกันว่าพระพรหมเอราวัณ) เมื่อช่วงหัวค่ำของวันที่ 17 ส.ค. 2558 ที่ผ่านมา ได้ทำให้มีผู้เคาระห์ร้ายทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเสียชีวิต 20 ราย บาดเจ็บ 163 ราย

    แม้จะดูเหมือนไม่มีหวังในช่วงแรก แต่คดีก็คืบหน้าอย่างรวดเร็ว จนสามารถจับกุมนายอะเด็ม คาราดัก และนายมีไรลี ยูซูฟู ชาวต่างชาติผู้ต้องสงสัย ซึ่งในที่สุด นายอะเด็มยอมรับว่าตนเป็นคนวางระเบิด ส่วนนายมีไรลีก็ยอมรับว่าเป็นคนนำระเบิดไปส่งให้นายอะเด็ม

    ล่าสุด วันที่ 29 พ.ย. 2558 เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่าในวันที่ 24 พ.ย. 2558 อัยการทหารพิจารณาสั่งฟ้องนาย อะเด็ม เป็นจำเลยที่ 1 และนายมีไรลี เป็นจำเลยที่ 2 ใน 10 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย

    1. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่ออกใบอนุญาตให้ได้ไว้ในครอบครอง และใช้วัตถุระเบิดในการกระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่น
    2. ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองโดยไม่มีเหตุสมควร
    3. ร่วมกันพยายามกระทำให้เกิดระเบิด
    4. ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    5. ร่วมกันทำให้เกิดระเบิด จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายสาหัส ได้รับอันตรายแก่ร่างกายและทรัพย์สินของผู้อื่น
    6. ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
    7. ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์
    8. ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง
    9. ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
    10. เป็นคนต่างด้าวเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

    โดยไม่มีข้อหาก่อการร้ายแต่อย่างใด

    ร้องดำเนินคดี “ทูตสหรัฐฯ” วิจารณ์บทลงโทษ ม.112

    นายเกล็น ทาวเซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่มาภาพ :https://pbs.twimg.com/profile_images/651570600624807936/QC66ceXj.jpg
    นายเกล็น ทาวเซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ที่มาภาพ :https://pbs.twimg.com/profile_images/651570600624807936/QC66ceXj.jpg

    สืบเนื่องจากในวันที่ 25 พ.ย. 2558 ที่ผ่านมา เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า ณ เวทีเสวนา สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ นายเกล็น ทาวเซนด์ เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย แสดงความกังวลว่า ขณะนี้มีการนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาขัดขวางการอภิปรายสาธารณะมากขึ้น โดยการดำเนินคดีในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ ม.112) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงรัฐบาลทหาร นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกังวลที่ศาลทหารพิพากษาจำคุกพลเรือนผู้กระทำความผิดตามกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ยาวนานเกินไปอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    นายเดวีส์ เน้นย้ำถึงความเคารพและความชื่นชมที่สหรัฐฯ มีต่อพระมหากษัตริย์ไทยอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ชี้ประเด็นสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีว่า ไม่ควรมีคนถูกจำคุกเพราะแสดงความคิดเห็นอย่างสันติ และสหรัฐฯ สนับสนุนอย่างเต็มที่ให้บุคคลหรือองค์กรอิสระที่มีศักยภาพ ค้นคว้าและรายงานประเด็นที่สำคัญนี้โดยปราศจากความกลัวว่าจะถูกเล่นงาน

    การแสดงความเห็นดังกล่าว ทำให้เกิดการแสดงการต่อต้านจากชมรมคนรักในหลัวงในหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ ภูเก็ต เป็นต้น (อ่านรายละเอียดที่นี่) และล่าสุด วันที่ 3 ธ.ค. 2558 เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ รายงานว่าhttp://manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9580000133786 นายสนธิยา สวัสดี ตัวแทนสมาพันธ์ตรวจสอบรัฐไทย (สปท.) เดินทางไปยังกองปราบปราม โดยเข้าพบ พ.ต.อ. ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อนายกลิน ทาวน์เซนด์ เดวีส์ เอกอัคราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กรณีออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงวิจารณ์ถึงบทลงโทษจำคุกแก่ผู้หมิ่นประมาทสถาบันฯ ตามมาตรา 112 ในงานเสวนาสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 พ.ย. ที่ผ่านมา โดยนายสนธิยานำเอาบทความที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง โพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัววิพากษ์วิจารณ์การกระทำของเอกอัคราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยมาให้พนักงานสอบสวนไว้ใช้เป็นหลักฐานประกอบคำพิจารณา

    ทั้งนี้ หนังสือดังกล่าวที่นายสนธิยานำมามอบให้ระบุว่า ต้องการให้พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามถอดเทปถ้อยคำที่นายกลินได้ปราศรัยภายในงานเสวนาดังกล่าว และตรวจสอบพฤติการณ์ของผู้จัดงานดังกล่าวว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ หากพบว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทมาตรา 112 ก็ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป

    เบื้องต้น พ.ต.อ. ณษ ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้ก่อนสั่งการให้พนักงานสอบสวน กก.1บก.ป. เร่งดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมกับนำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป

    รวบ “ตู่-เต้น” ไปไม่ถึงราชภักดิ์ “บิ๊กป้อม” แจง ไม่ห้ามไป แต่อย่าการเมือง

     ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/542894)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/542894)

    จากรายงานของเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์เมื่อวันที่ 30 พ.ย. หลังประกาศนัดหมายรวมพลเดินทางไปที่โครงการอุทยานราชภักดิ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “เมื่อคืนตลอดทั้งคืนมีโตโยต้า คัมรี จอดอยู่หน้าบ้าน พร้อมหน่วยเคลื่อนที่เร็วมอเตอร์ไซค์ 2 คัน ทั้งหมดไม่ได้แต่งเครื่องแบบ ตอนเช้าเปลี่ยนเป็นรถคันนี้ ส่วนมอเตอร์ไซค์ก็ยังอยู่ มีเชฟโรเลตอีกคันหน้าหมู่บ้าน ภรรยาผมไปถามว่ามาทำไม เขาตอบว่าได้รับมอบหมายให้มารักษาความปลอดภัย แต่ทำไมผมรู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย? เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง วันนี้ผมเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์แน่นอน”

    ขณะเดียวกัน ทางด้าน เว็บไซต์ข่าวสดรายงานถึงการให้สัมภาษณ์ของนายณัฐวุฒิก่อนเคลื่อนขบวน ซึ่งย้ำว่าจะไปสักการะและสังเกตการณ์เท่านั้น ไม่มีเจตนาเล่นเกมการเมือง ขอเรียกร้องเจ้าหน้าที่ทหารที่เฝ้าบริเวณหน้าบ้านให้ถอนกำลังออกจากพักของตน ยืนยันว่าการเดินทางไปอุทยานราชภักดิ์ เป็นประโยชน์เพราะมีประชาชนมีส่วนร่วมช่วยรัฐบาลตรวจสอบ หลังจากมีความไม่ชัดเจน

    ทั้งนี้ ตามนัดหมายแล้ว นายณัฐวุฒิจะเดินทางไปพร้อมกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. โดยนัดพบกันที่ตลาดมหาชัยเมืองใหม่ จังหวัดสมุทรสาคร แต่ในที่สุด ก็มีเจ้าหน้าที่ทหารจากกรมทหารสื่อสารที่ 1 ค่ายกำแพงเพชรอัครโยธิน อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร และ มทบ.16 จ.ราชบุรี ประมาณ 50 นาย ได้เข้าควบคุมต้ว นายณัฐวุฒิขณะรอเดินทางไปยังอุทยานราชภักดิ์ ก่อนนำตัวขึ้นรถตู้สีขาวออกจากบริเวณดังกล่าวไป และเมื่อนายจตุพรมาถึง ก็ถูกควบคุมตัวไปเช่นกัน

    อย่างไรก็ดี ทั้งสองได้รับการปล่อยตัวในช่วงเย็นวันเดียวกัน

    อนึ่ง ในวันเดียวกัน มติชนออนไลน์ รายงานถึงคำชี้แจงของ พ.อ. วินธัย สุวารี โฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต่อการควบคุมตัวนายณัฐวุฒิและนายจตุพรว่า เนื่องจากเจ้าหน้าที่มองเป็นการพยายามเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างชัดเจน พฤติกรรมเริ่มจากการป่าวประกาศเชิงชี้นำ ในทำนองปลุกปั่นให้เกิดความไม่เรียบร้อยได้ เจ้าหน้าที่คงใช้ดุลพินิจจากพฤติกรรมจากหลายวาระ รวมทั้งการกล่าวต่อสาธารณะ และใช้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนมาตลอด โดยเฉพาะการอ้างใช้คำว่า “ทุจริต” ซึ่งหน่วยงานหรือผู้มีหน้าที่โดยตรงยังไม่มีใครกล่าวถึง เป็นการใช้เพียงความรู้สึกทั้งสิ้น ซึ่งหลังจากนี้ หากมีการกล่าวอ้าง ให้ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรโดยที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ จะมีการใช้มุมทางกฎหมายเข้ามาพิจารณาดำเนินการอย่างจริงจัง

    ต่อมา วันที่ 1 ธ.ค. 2558 เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ รายงานว่าพล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงการควบคุมตัวดังกล่าว่า ไม่ได้ห้ามหากเป็นการไปกราบไหว้สักการะตามปกติ แต่ไม่ใช่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง แต่ควรให้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ตรวจสอบให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งขณะนี้ตนได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ดังนั้นจึงอยากให้รอผลตรวจสอบก่อน ทั้งนี้ ได้ห้ามนำมวลชนไปด้วยเพราะจะเป็นการเรียกแขกและไม่อยากให้เคลื่อนไหว แต่ถ้าไปด้วยความบริสุทธิ์ ตนพร้อมจะพาไปด้วยตนเองและจัดเจ้าหน้าที่ดูแลอำนวยความสะดวก

    “พ.ร.บ.จีเอ็มโอ” ร้อน ชาวเน็ตฮือต้าน

    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/543168)
    ที่มาภาพ: เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ (http://www.thairath.co.th/content/543168)

    เว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 58 ผู้ใช้งานเว็บไซต์ Change.org เริ่มรณรงค์เพื่อต่อต้าน พ.ร.บ.จีเอ็มโอเสรี ซึ่งทางรัฐบาลเพิ่งให้การอนุมัติ ภายใต้หัวข้อ “หยุด พ.ร.บ.จีเอ็มโอ ก่อนซ้ำเติมเกษตรกรไทยให้ตายคาแผ่นดินเกิด” ซึ่งหลังจากการอนุมัติของรัฐบาลในครั้งนี้ ได้สร้างประเด็นร้อนที่วิพากษ์กันในโซเซียลเน็ตเวิร์กอย่างมากมาย

    ทั้งนี้ เจ้าของเรื่องยังกล่าวถึงประเด็นด้านสุขภาพผู้บริโภคในกรณีที่รับประทานอาหารที่มีกระบวนการผลิตจากการตัดต่อพันธุกรรมหรือ จีเอ็มโอ ว่า แม้ผู้บริโภคจะคิดว่าไม่ได้รับผลกระทบโดยตรง แต่ในทางกลับกันผู้บริโภคต่างหากที่จะเป็นผู้จ่ายต้นทุนด้วยสุขภาพของตนเองโดยไม่มีใครมาชดเชย

    ขณะเดียวกัน เรื่องดังกล่าวยังถูกพูดถึงในเฟซบุ๊กเพจ เกี่ยวกับการทำเกษตรทางเลือกหรือออแกนิกส์ฟาร์ม รวมไปถึงมูลนิธิและผู้ที่มีบทบาทด้านสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และสิทธิผู้บริโภค

    ในแง่กฎหมาย พ.ร.บ. มีประเด็นหลักสำคัญ 9 ประการที่ละเลยและเพิกเฉย ได้แก่ ประเด็นที่ 1 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ยึดหลักความปลอดภัยไว้ก่อน ประเด็นที่ 2 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้คำนึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจและสังคม ประเด็นที่ 3 ร่างกฎหมายฉบับนี้โดยหลักการคือการเปิดเสรีจีเอ็มโอ ประเด็นที่ 4 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บังคับให้ต้องทำการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ประเด็นที่ 5 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้บังคับให้การขึ้นบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อมต้องทำการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ ประเด็นที่ 6 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้กำหนดผู้รับผิดชอบความเสียหายที่เกิดจากจีเอ็มโอในบัญชีปลดปล่อยสู่สิ่งแวดล้อม ประเด็นที่ 7 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่มีบทคุ้มครองเกษตรกรที่พืชผลถูกจีเอ็มโอปนเปื้อน ประเด็นที่ 8 ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ได้ระบุหลักประกันทางการเงินกรณีเกิดความเสียหายจากจีเอ็มโอ และประเด็นที่ 9 ร่างกฎหมายฉบับนี้ขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างรุนแรง

    โดยมีข้อเรียกร้องในสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. พิจารณายกเลิก พ.ร.บ. การให้เสรีการตัดต่อพันธุกรรม จีเอ็มโอ เพื่อเกษตรกรไทยไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือของผู้ผลิตปุ๋ยเคมีและเมล็ดพันธุ์